สีสันชีวิต
* ทีม สมอ.
มิเชล สแปน
( Michel Spann )
ผู้ พิ ทั ก ษ์ เ ม ล็ ด พั น ธุ์
ชายหนุ่มคนนี้
เดินทางเพื่อค้นหา
และเก็บรักษาทรัพยากรสำคัญ
สำหรับอนาคต
ด้วยสำนึกหน้าที่ต่อธรรมชาติ
ก้าวข้ามพรมแดน
สู่ความเป็นโลกทั้งผองพี่น้องกัน
ชีวิตส่วนตัว
ผมเป็นชาวฮอลแลนด์ เกิดที่เมือง Utrecht ปี ค.ศ. ๑๙๖๑ อายุ ๔๒ ปี จบโรงเรียนมัธยมแล้ว
เข้าเรียนต่อที่ Utrecht University ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์อยู่ประมาณครึ่งปี
ก็เปลี่ยนไปเลือกเรียนอย่างอื่นอีกหลายวิชา แต่ก็ไม่ทำให้ผมหายเบื่อวิชาเหล่านั้น
ครอบครัวผมมาจากหลายชาติ ยายเป็นชาวเบลเยี่ยม ตามาจากอินโดนีเซีย ด้วยเหตุผลนี้
ผมจึงมีแรงดลใจ อยากรู้จักวัฒนธรรมที่หลากหลายของคนหลายสัญชาติ ผมเคยได้ยินเรื่องราวต่างๆ
เกี่ยวกับประเทศ อินโดนีเซีย สมัยเป็นนักเรียน นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมอยากมาศึกษาทางตะวันออก
ตอนอายุ ๒๐ ปีผมและเพื่อนซื้อตั๋วเครื่องบินมาเมืองไทย ส่วนใหญ่ผมอยู่ต่างจังหวัด
โบกรถไปเที่ยว ตามที่ต่างๆ ซึ่งผู้คนไม่ค่อยไป ผมอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่
ครั้งหนึ่ง ผมไปอยู่ที่ อำเภอ ลำปลายมาศ บุรีรัมย์ และนครราชสีมา ที่นั่นผมได้เรียนรู้
วิถีชีวิตธรรมชาติบ้านนอก และการอยู่ร่วมกัน โดยไม่มีเครื่องจักรกล
ไม่มีไฟฟ้า ทีวี หมู่บ้านหนึ่งที่ผมไปอยู่ ทั้งหมู่บ้านมีทีวีขาวดำ
๑ เครื่อง เปิดได้เฉพาะ วันอาทิตย์ เสาอากาศก็ต้องผูกไว้กับต้นไม้
คนทั้งหมู่บ้านจะมาดูทีวีที่นี่ บางคน มีวิทยุทรานซิสเตอร์เล็กๆ ถนนก็เป็นฝุ่น
ทุกบ้านมีควายไว้ไถนาอย่างน้อย ๑ ตัวแต่บางบ้านก็มีมากกว่า พื้นที่นา
อยู่ในระยะที่ สามารถ จะเดินทาง ไปทำงานได้ สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่มีเฉพาะ
ในภาคอีสานของประเทศไทย เป็นตัวอย่าง ของการดำรงชีวิต แบบพึ่งตนเอง
ผมช่วยพวกเขาปลูกข้าว ไถนาและเกี่ยวข้าว ช่วยหาเห็ด ทำงานเกี่ยวกับ
เครื่องจักสาน และอีกหลายๆ อย่าง
ผมแปลกใจตัวเอง ที่มาจากโลกตะวันตก ได้มาเรียนรู้ชีวิตด้วยการสัมผัสกับธรรมชาติ
ผู้คนที่อยู่ล้อมรอบ วัฒนธรรม ที่แตกต่างกัน ผมคิดว่าธรรมชาติเหมาะกับทุกคน
ใครก็ตามที่มาอยู่แบบนี้ ก็เหมือนได้มาอยู่ ในครอบครัว เดียวกัน หลังจากอยู่เมืองไทยปีกว่า
ผมก็ไปออสเตรเลีย ทำงานด้านเกษตรที่นั่นประมาณ ๑ ปี แล้วกลับมา อยู่เมืองไทยอีกครึ่งปี
จากนั้นเดินทางต่อ ไปยังอินเดีย ปากีสถาน เนปาล ในที่สุดผมก็กลับบ้าน
หลังจากเดินทางอยู่ ๓ ปี ฮอลแลนด์เปลี่ยนไปมาก แต่จริงๆ แล้ว ผมรู้ว่า
ผมต่างหากที่เปลี่ยนไป ผมไม่ชิน กับความเป็นอยู่ ในฮอลแลนด์อีกต่อไป
หลายสิ่ง เริ่มเปลี่ยนไป ผมมีประสบการณ์ชีวิตมากมาย ที่มหาวิทยาลัย
ไม่ได้สอน
ในประเทศฮอลแลนด์ คนที่จบจากมหาวิทยาลัย รู้เรื่องเศรษฐกิจและวิชาการต่างๆ
มากมาย แต่บริษัท ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยอยากได้ คนเหล่านี้เข้าทำงาน แต่กลับต้องการคนที่มีการศึกษา
จากประสบการณ์ มากกว่า พวกที่เรียนจบ มาจากห้องเรียน เพราะคนที่เรียนจบมาสูงๆ
มีความรู้แค่ตัวหนังสือ แต่ขาด ประสบการณ์ ไม่รู้ว่า จะทำงาน กับคนทั่วไปอย่างไร
ไม่รู้วิธีที่จะทำตัวให้แจ่มแจ้ง ไม่รู้วิธีการทำงานกลุ่ม ไม่มีการปฏิบัติธรรม
ทางศาสนา ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา แต่น่าจะต้องมีแนวทางใด
ทางหนึ่ง ที่ทำให้เรา ได้รู้จักตัวเอง และรู้จักผู้อื่นด้วย เพื่อที่จะเติบโตขึ้นในทิศทางที่ถูกต้อง
หน้าที่การงาน
ผมทำงานที่มูลนิธิหรือองค์กร The Court of Eden ในประเทศฮอลแลนด์ มูลนิธินี้ก่อตั้งมาได้
๒๔ ปี หัวหน้าผมชื่อ กูซ ลิเบอทเวต (Guus libertwets) เขาจะเก็บเมล็ดพืชพันธุ์ผักต่างๆ
โดยเริ่มสะสม ทีละเล็ก ทีละน้อย และไม่เคยหยุดสะสมเลย จนมีคนเริ่มเข้ามาช่วยทำงานมากขึ้นๆ
ผมรู้จักเขาเมื่อประมาณ ๗ ปี มาแล้ว เพื่อนเล่าเรื่องมูลนิธินี้และคิดว่าผมอาจสนใจ
ตอนนั้นผมกำลังมีโครงการจะไปประเทศอิหร่าน แต่ผม ก็ลองไป ที่มูลนิธิก่อน
และได้ทำงานที่นั่น ครั้งแรกที่ได้พบกับคุณกูซ เราคุยและโต้เถียงกันด้วย
ต่างคน ต่างก็โมโห แต่หลังจากนั้น ๗ ปีมาแล้ว เราไม่โต้เถียงกันอีกเลย
มันแปลกจริงๆ เราเถียงกันเรื่องงาน เช่น ทำอย่างไร จะทำงานร่วมกันได้
และเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่างๆ ในที่สุดทุกอย่างก็ตกลงก็ได้
เป้าหมายการทำงานของมูลนิธิ
The court of Eden
เราต้องปลูกจิตสำนึกของคนในโลกไปเรื่อยๆ จนกว่าสักวันหนึ่ง
เราไม่ต้องทำงานนี้อีกแล้ว เมื่อคนเกิด จิตสำนึก และเริ่มหันกลับมาปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร
อย่างธรรมชาติ เพื่อเป็นอาหาร ไม่ใช่ทำเกษตร เพื่อการค้าส่งออก แต่เป้าหมายจริงๆ
ก็คือเพื่อให้เมล็ดพันธ์ พืชต่างๆ ยังคงมีชีวิต สืบต่อไป หรือจนกว่า
คนทั้งหลาย จะกลับมา ใช้เมล็ดพันธ์ต่างๆ กันอีก รวมทั้ง
ต้องปลุก ให้ประชาชน ตื่นขึ้นมาดูว่า มีอะไรเกิดขึ้นในโลก เพราะมันเป็น
การสูญเสีย อย่างใหญ่หลวง ถ้าเราทอดทิ้งเมล็ดพันธุ์ ที่เคยมีมาแล้ว
เป็นพันปี เราควรจะกตัญญู ต่อสิ่งที่ ทำให้เรามีชีวิตอยู่ อยากให้พวกเขา
ตระหนักว่า อะไรคือ ความสำคัญ ของชีวิต เราจะไม่มีอากาศบริสุทธิ์ หายใจอีกแล้ว
เราไม่ดูแลอาหารที่เรากิน น้ำก็เน่า ชุมชน ก็แตกสลาย เราควรต้องกลับมาทำงาน
ร่วมกัน ตรงจุดนี้ ดังนั้น เรื่องเมล็ดพันธุ์ จึงเป็นเรื่องพื้นฐาน
ความเป็นอยู่ ของมนุษย์
ความสนใจเรื่องเมล็ดพันธุ์
ผมเห็นว่าเป็นความสวยงามอย่างหนึ่งของธรรมชาติ ธรรมชาติมีทุกสิ่งทุกอย่าง
และให้เรามานาน ทั้งเมล็ด พันธุ์พืชและผักต่างๆ นับพันชนิด ซึ่งมีคุณค่าอย่างสูงในตัวของมันเอง
แต่ทุกวันนี้ ผู้คนทั่วโลก หยุดผลิต เมล็ดพันธุ์ การตัดไม้ทำลายป่า
ทำให้ต้นไม้ต่างๆ ต้องตายลงอย่างมาก มองคล้ายกองขยะ มันเป็นเรื่อง
น่าละอายใจ ที่คนส่วนมาก ไม่ให้ความเคารพ ต่อธรรมชาติ ธรรมชาติต้องการความช่วยเหลือ
และเราต้องทำ อะไรบางอย่าง เพื่อไม่ให้เมล็ดพันธุ์ผักต่างๆ ต้องสูญพันธุ์
นั่นเป็นความสนใจหลัก เราไม่อาจรอคอย ให้ใครมาช่วย
โดยเฉพาะถ้าเรารู้ เรานี่แหละต้องทำเอง
การเคลื่อนไหวของ
The court of Eden
ในประเทศฮอลแลนด์ เราเคยออกทีวีและรายการวิทยุหลายครั้ง มีกลุ่มเด็กๆ
มาเยี่ยมชมมูลนิธิ ได้เรียน การปลูกต้นไม้ และการทำวิจัยเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์โดยการทำงานร่วมกัน
แม้ในขณะนี้ เราก็กำลัง ทำงานร่วมกับ กลุ่มทางเมืองไทย ที่เชียงใหม่
ซึ่งมีการเก็บ เมล็ดพันธุ์ และแลกเปลี่ยนข้อมูล ทางอินเทอร์เน็ต เราทำ
หลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุด คือการให้การศึกษา เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ผัก
เก็บเมล็ดพันธุ์จากที่ใดบ้าง
จากทั่วโลก ตอนเริ่มต้นคุณกูซติดต่อกับคนที่ทำงานอยู่ในสถานทูตประเทศต่างๆ
ในฮอลแลนด์ เมื่อคน เหล่านั้น กลับบ้าน เราจะให้พวกเขานำเมล็ดพันธุ์มาให้
นอกจากนั้น เรายังฝาก ให้เขานำเมล็ดพันธุ์ มาจากประเทศ ทางอเมริกาเหนือ
อเมริกาใต้ อาฟริกา ยุโรป ตะวันออก และทางเอเชีย เช่น ประเทศจีน และ
ประเทศทางเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย เราได้เมล็ดพันธุ์ผัก
ซึ่งเป็นผักพื้นเมืองเก่าแก่ ของชาวฮอลแลนด์ ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งถูกนำไปปลูก
สมัยที่อินโดนีเซีย เป็นเมืองขึ้น ของฮอลแลนด์ ซึ่งปัจจุบัน เมล็ดพันธุ์ผักชนิดนี้
ไม่มีใครปลูก ในฮอลแลนด์แล้ว
เมื่อเกิดความต้องการเมล็ดพันธุ์
มีองค์กรต่างๆทั่วโลกช่วยกันสะสมเมล็ดพันธุ์ต่างๆ เอาไว้ บางแห่งทำงานแบบนี้มาแล้ว
๒๐-๓๐ ปี ใครต้องการ ก็ขอไป เราก็ตรวจสอบว่า มีองค์กรใด เก็บสะสมไว้บ้าง
ผมคิดว่าเวลานี้ เราควรจะร่วมมือ กันทำงาน และเผยแพร่ ความคิดนี้ออกไป
วิธีเก็บเมล็ดพันธุ์
เราถามคนพื้นเมืองว่า การเก็บเมล็ดพันธุ์ต้องทำอย่างไร ผมเคยขี่จักรยานไปตามสถานที่ต่างๆ
เพื่อเก็บ เมล็ดพันธุ์ผัก ผมจะถามข้อมูลและจดบันทึกไว้ เช่น ชื่อเมล็ดพันธุ์
ได้มาจากไหน วันที่เท่าไร รวมถึงวิธีการ และ ขั้นตอน รายละเอียดต่างๆ
เกี่ยวกับการปลูกไว้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ข้าว ผมเคยเก็บเมล็ดพันธุ์
จากเมืองไทย และลาว ไปทดลองปลูกที่สเปน เราเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวนี้ไว้
ที่ฮอลแลนด์ และตอนนี้ เราสามารถ นำเมล็ดพันธุ์ กลับมาปลูก ที่ชุมชนมั่นยืน
จ.ชัยภูมิ ซึ่งมีจำนวน ๙๙ ชนิด ชุมชนนี้ จะเริ่มปลูกข้าวทั้ง ๙๙ ชนิด
ดังกล่าว ในฤดูฝน ที่จะมาถึงนี้ และจะเฝ้าดูว่า ผลจะเป็นอย่างไร
เหตุผลในการสะสมเมล็ดพันธุ์
เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับอาหารของมนุษย์ เราต้องการผลิตอาหารขึ้นมาทดแทน
ถ้าไม่มีการปลูกอีกเลย เพราะบางคน ไม่นิยมปลูก แล้วบางคนไม่สนใจที่จะเก็บไว้
เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก็จะสูญพันธุ์ และต้นไม้ เหล่านั้น ก็จะไม่เหลืออีกต่อไป
โดยปกติคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสังเกตว่า เมล็ดพันธุ์ผัก ลดจำนวนลงมาก
ถ้าเราเข้าไป ในซูเปอร์มาร์เก็ต จะมองเห็นผักผลไม้เพียงไม่กี่ชนิด
เช่น มะเขือเทศ ซึ่งปกติ จะมีถึง ๖๐๐ ชนิด
แม้บางครั้งจะมีผักผลไม้แปลกๆ ใหม่ๆ ในซูเปอร์มาร์เก็ตก็ตาม แต่ที่จริงแล้ว
ความหลากหลาย ของผัก ผลไม้ต่างๆ ลดลงตลอดเวลา เช่น ทุเรียนต้นหนึ่งอายุ
๑๐๐-๒๐๐ ปี มีหลากหลายชนิด แต่คนนิยมปลูก ไม่กี่ชนิด ที่เรารู้จักกันดี
เช่น หมอนทอง ชะนี เป็นต้น วันนี้คนทั่วโลก หยุดปลูกพืชหลากหลาย หันมาปลูก
ชนิดเดียวกันหมด โดยขาดความเข้าใจว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมีอันตราย
และไม่ได้ให้ผลผลิต มากมาย อย่างที่คิด แต่กลับทำลายดินและน้ำ ทำให้คนเจ็บป่วย
และยากจนลง เป็นต้นเหตุให้คน ต้องสูญเสียที่ดิน ในการทำเกษตร และต้องย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
งานของเราคือช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีก โดยเฉพาะชาวไร่
ชาวนา ที่ต้องการทำเกษตรกรรม แบบดั้งเดิม แม้ว่าโอกาสที่จะกลับไปทำอย่างเดิมไม่ง่ายนักก็ตาม
แต่เรายังมีเมล็ดพันธุ์มากมาย ที่ไม่ได้ใช้ปลูก แล้วแต่อาจเป็นเมล็ดพันธุ์ที่น่าสนใจใกล้เคียงกับเมล็ดพันธุ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ซึ่งสามารถ นำมา ผสมพันธุ์ เพื่อให้เกิดความหลากหลาย ขึ้นได้อีก แต่เราไม่สามารถทำได้
หาก เป็นการทำเกษตร แบบเชิงเดี่ยว การทำเกษตร แบบเชิงเดี่ยว เราจะต้องลดชนิดของเมล็ดพันธุ์ลง
และต้องใช้เมล็ดพันธุ์ ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งการทำเช่นนี้ ทำให้อาหาร
หรือผลไม้ที่ผลิตขึ้นใหม่นั้น มีรสชาติคล้ายๆ กัน ความแข็งแรง ของต้นไม้ก็ลดลง
จึงเป็นเรื่องยาก ที่จะทำให้เกิดผลผลิต ที่น่าสนใจขึ้นมา หรืออีกนัยหนึ่ง
คือจะทำให้เกิด การขายผลผลิตได้ยาก ในท้องตลาด
การปฏิวัติสีเขียว Green Revolution
ครั้งแรกเป็นการทำลายล้างธรรมชาติอย่างรุนแรง
ระบบเกษตรกรรม พืชเชิงเดี่ยว จะเน้นเรื่องผลผลิตระบบนี้ เริ่มตั้งแต่ยุคที่เราเรียกว่า
การปฏิวัติสีเขียว ประมาณปี ค.ศ. ๑๙๖๐ โครงการแบบนี้มีแทบทุกแห่งในโลก
เพื่อให้มีการแข่งขัน ทางด้านผลผลิต แข่งขันกัน ในตลาด การค้าโลก ตอนที่เริ่มโครงการใหม่ๆ
เป้าหมาย ก็เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ของการผลิต อาหาร ลดความยากจน ในส่วนต่างๆ
ของโลก ปรากฏว่าโครงการนี้ไม่ได้ผลตามเป้าหมาย เพราะการทำเกษตร แบบเชิงเดี่ยว
เราได้ผลผลิตสูงแค่ ๒-๓ ปีแรกเท่านั้น จากนั้นคุณภาพของดิน จะเสื่อม
ลงเรื่อยๆ เพราะไม่มี ปุ๋ยเคมี ที่พอเพียง การเพาะปลูกแบบนี้ไม่ใช่การกระทำเพื่อยังชีพ
ไม่ได้ช่วยใคร ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร ที่ไหนๆ ในโลกนี้ หรือที่เมืองไทย
แต่ถ้าเขาบอกว่าประสบผลสำเร็จ ในการทำเกษตรเชิงเดี่ยว และ ได้ผลผลิตมาก
สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปก็คือ นำผลผลิตสู่ตลาดโลก ซึ่งทำให้รัฐบาล ของแต่ละประเทศ
ได้เงินมากขึ้น เท่านั้น เช่น ในอเมริกา สามารถผลิตข้าว ได้ในราคาที่ถูกกว่า
ข้าวที่ผลิตในเมืองไทย เพราะเขาใช้ เครื่องจักรกลหนัก ในการทำเกษตร
บางแห่งเขาใช้เครื่องบินในการหว่านเมล็ดข้าว ใช้ระบบชลประทาน แบบอัตโนมัติ
ใช้สารเคมี ทุกชนิด เพื่อให้ผลผลิตออกมา ทันตามที่เขาต้องการ และสามารถขายในราคาที่ถูกกว่าได้อีกด้วย
การทำเกษตรแบบนี้ ทำให้เกิดมีการแข่งขัน และแก่งแย่งทางตลาดสูงมาก
ซึ่งเกษตรกรที่ยากจน จะเป็นฝ่าย พ่ายแพ้ จนชาวนาหลายคน ต้องเลิกทำนา
ในประเทศของผม เกษตรกรต้องต่อสู้กันเองอย่างหนัก เพื่อเพิ่ม ผลผลิต
ให้มากกว่ารายอื่นๆ ต้องเพิ่มเงินลงทุนสูงขึ้น เครื่องจักรกลเพิ่มขึ้น
ต้องใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์ เข้ามาช่วย ในการจำหน่าย ผลผลิตมากขึ้น
เขาเรียกมันว่า อุตสาหกรรม การค้า (Trade mill) ความเป็นอยู่ ของพวกเขา
ต้องเปลี่ยนเป็นธุรกิจ การแข่งขันเอาชนะการเอาเปรียบกัน ถ้าเราใช้ระบบ
การเกื้อกูลกัน ระบบพึ่งพาตัวเอง ในการดำรงชีพหรือใช้ระบบ ที่ธรรมชาติให้เรามา
เราจะรวย ผมคิดว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่ร่ำรวย
มองไปที่พื้นดินทุกแห่ง สภาพภูมิอากาศ ความหลากหลาย ของพืชพันธุ์
ธัญญาหาร ต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ
ผมเคยอ่านงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งทำมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๓๒ เขาส่งชาวตะวันตก
มาตรวจภูมิประเทศ ในประเทศไทย ดูความยากจน ผลการวิจัยระบุว่า ประเทศไทย
ไม่มีความยากจน ทุกคนในประเทศไทย มีอาหารการกิน
อย่างเหลือเฟ้อ มีโรงเรียนพอให้เด็กเข้าเรียนได้ มีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล
แบ่งปัน กันกินกันใช้ ความยากจน อย่างที่ชาวตะวันตก เข้าใจก็คือ
คนไม่มีอะไรจะกิน คนไม่แบ่งกันกินกันใช้ มีแต่แก่งแย่ง แข่งขัน เอาเปรียบกัน
และไม่มีงาน ในโรงงานอุตสาหกรรมให้ทำ และในที่สุด พวกเขา ก็ไม่สามารถ
อยู่ในสังคม แบบในเมืองได้ สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นในเมืองไทย
ในช่วงเวลานั้น แต่ตอนนี้ ประเทศไทย มีปัญหา เหมือนประเทศ ทางตะวันตก
มากขึ้นเรื่อยๆ
เผยโฉมทุนนิยมมหันตภัยโลก
เกี่ยวกับเรื่องบริษัทข้ามชาติ ซึ่งมีอเมริกาเป็นหัวหอก พวกเขาต้องการเปิดการค้าที่สมบูรณ์แบบ
ไม่มีภาษีพิเศษ ไม่ว่าใคร จะขายสินค้าอะไร ให้ประเทศไหน ก็ไม่ต้องเสียภาษีพิเศษ
ที่เรียกว่า "Free Trade"นี่คือ การเล่น คำพูด ในระบบทุนนิยม
"Free"ในความรู้สึกของพวกทุนนิยม ไม่ได้มีความหมายสวยหรู
เหมือนใน ความรู้สึก ของชาวพุทธ เป็นสิ่งเหลือเชื่อ จากประสบการณ์ของชาวพุทธ
คำว่า "Freedom" หมายถึง การไม่ติดยึด ในสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
แต่พวกทุนนิยมหมายถึงความใหญ่ความรวยที่ไม่มีขีดจำกัด และไม่มี ข้อกำหนดว่า
ประเทศเล็กๆ ยังต้องการกฎระเบียบทางการค้าอยู่ ดังนั้นประเทศที่รวยกว่า
สามารถที่จะผลิต สิ่งของ ได้มากกว่า เพราะเขาใช้เครื่องจักรกล ซึ่งเขาได้พัฒนากันมาแล้วหลายปี
เขาจึงเป็นประเทศที่ร่ำรวย
ตอนนี้เขาต้องการที่จะขยายโดยไม่มีขีดจำกัด คุณจะเห็นโรงงานสามารถย้ายไปตั้งที่ไหนก็ได้ในโลกนี้
โดยเฉพาะในที่ที่ค่าจ้างแรงงานราคาถูก ผมอยากใช้คำว่าการค้าขายแบบทาส
Bondage Trade หรือ Slave Trade เพราะระบบนี้เอื้ออำนวยให้มีการดูดเงินจากประเทศที่มีทุนน้อยอยู่แล้ว
ระบบดังกล่าว ได้ถูกนำมาใช้ กับเรื่องของ เมล็ดพันธุ์ ด้วยเช่นกัน
เช่น ถ้าบริษัทหนึ่ง สามารถนำ เมล็ดพันธุ์มาสู่ตลาด ด้วยวิธีทาง วิทยาศาสตร์
ที่ดีที่สุด และใช้ปุ๋ยเคมีมาก ทำให้เขาได้เงินมาก นี่คือสิ่งที่เรียกว่าสงคราม
บริษัทเหล่านี้ มีอำนาจที่จะเปลี่ยน สิ่งที่เราต้องกิน คุณภาพอาหารกำลังลดลง
อำนาจเหล่านี้ ผลักดันวิถีการดำเนินชีวิต ตามธรรมชาติ ออกไปจากชีวิตของเราเป็น
"สงครามต่อต้านการพัฒนา" นี้เป็นคำที่พวกทุนนิยมชอบใช้ เพื่อการเจริญเติบโต
เพื่อทำให้สมบูรณ์ และเพื่อสิ่งที่ดีกว่า แต่โดยความจริงแล้ว มันเป็นเรื่องของ
การทำลายล้าง ทั้งสิ้น ประเทศเล็กๆ ได้รับความทุกข์ทรมาน สาเหตุมาจาก
ประเทศใหญ่ๆ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา และฮอลแลนด์ เป็นต้น
แต่ถ้าเรามองไปที่สังคมของประเทศเหล่านั้น จะเห็นว่าตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่
มีอาชญากรรม มีผู้ติดยาเสพติด มากมาย ในอเมริกามีเปอร์เซ็นต์ของนักโทษสูงที่สุดในโลก
มันเป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวจริงๆ ประเทศร่ำรวย
เหล่านี้มีความเครียดสูง เป็นสงครามอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งพยายามที่จะขจัดวิถีชีวิต
และการทำเกษตร แบบเรียบง่าย ของฝ่ายตรงข้าม
ผมมีความเชื่อมั่นอย่างสูงว่า ประชาชนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายต้องชนะ
ถ้าเราซื้อเมล็ดพันธุ์และผลิตภัณฑ์ จากเขาก็เท่ากับ เป็นการสนับสนุนให้ระบบของเขาต่อเนื่องไปได้
ลองหยุดและคิด เกี่ยวกับเรื่อง ที่เรา กำลังจะทำ
เราจะรู้ว่าควรทำอะไร นี่คือวิธีการสอนโดยไม่ต้องสอน เราสามารถต่อสู้
ผู้ที่ใหญ่กว่าด้วย การพึ่งพาตนเอง ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๕๓ เมษายน ๒๕๔๖)
|