หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร


ตอน บ้านนอกเที่ยวชายเล ( ตอนจบ )
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่น้อยจะได้อยู่กับญาติในบางนรา ความจริงเธอก็เริ่มคิดถึงบ้าน ที่แว้งบ้างแล้ว เพราะจากมา เสียหลายวัน เธอคิดถึงคลองพื้นทราย ที่มีเกล็ด แร่ระยิบระยับ คิดถึงป่ายาง ป่าสาคู และทิวเขา ที่โอบล้อมบ้านท่าฝั่งคลองของเธอ คิดถึงเพื่อนๆ และคิดถึงโรงเรียน ที่จะเปิดเรียน พอดีกับ วันที่พ่อ พาครอบครัวกลับไป

แต่วันนี้อีกเหมือนกันที่จะเป็นวันแสนวิเศษอีกวันหนึ่งเพราะผู้ใหญ่จะพาไปเที่ยวชายเล น้อยจะได้เห็น หาดทราย ที่ยาวเหยียด สุดลูกหูลูกตา เห็นลูกคลื่น ที่ลมทะเลซัด ให้มันม้วนตัวเข้ามา ที่หาดทราย ดังโครมๆ เธอกะไว้ว่าจะแอบดื่มน้ำทะเลเสียสักหน่อย พี่แมะเคยบอกว่า มันมีรสเค็ม เหมือนเกลือ ถ้าจริง ก็จะได้กลับไปเล่าให้เพื่อนๆ ที่แว้งฟัง แล้วเธอก็จะวิ่งจับปูลม ตัวเล็กๆ ที่ปรีดาบอกว่า มันวิ่งเร็วมาก จนจับไม่ทัน

สำคัญที่สุดคือเธอจะได้ลงว่ายน้ำโต้คลื่นในทะเลให้สนุก ก็เธอว่ายน้ำในคลองแว้งเป็นนี่นา

ว่ายในทะเลก็คงเหมือนกับว่ายน้ำคลองแหละน่า

"น้อยอย่าลืมเอาเสื้อกางเกงติดกันไปด้วยล่ะ" พี่แมะเตือน

"ใส่แล้วคันยุบยิบ รู้อยู่แล้วนี่นาว่าน้อยไม่ชอบ ไม่เอาไปหร็อก" น้อยว่า

เสื้อกางเกงตัวนั้นเป็นมรดกที่น้อยได้รับต่อมาจากพี่แมะ ตัวเสื้อเป็นทางขวางสีเขียว สลับขาว เว้าแขน ทั้งสองข้าง คอเสื้อเว้าลึกลงมาเป็นคอกลมเฉยๆ ปกก็ไม่มี มีแค่กระดุม เม็ดโตสีเขียว ตรงปลายคอเสื้อ ข้างละหนึ่งเม็ด กางเกงเป็นสีเขียว ล้วนรูปร่าง เหมือนกางเกงลิง ที่เขาต่อ ให้ติดเข้ากับตัวเสื้อ เวลาสวม ก็ปลดกระดุมออก สวมกางเกงก่อน แล้วดึงตัวเสื้อ ขึ้นมาจนสุด แล้วจึงติดกระดุม ผ้าที่ใช้เย็บ เป็นผ้าอะไร ไม่รู้ มันยืดได้ หดเหมือนแผ่นยาง น้อยไม่เคยชอบมันเลย สักนิดเดียว เพราะสวมแล้ว รู้สึกคับตึงแน่น จนอึดอัด สู้นุ่งผ้าปาเต๊ะถุงเล็กไม่ได้

"ก็เขาไม่ได้ไว้ สำหรับใส่เล่นนี่ เขาให้ใส่เล่นน้ำ แล้ววันนี้เราจะไปเล่นน้ำไม่ใช่เหรอ น้อยเอาไปเหอะ ไหนๆ ก็เอามาแล้ว" พี่แมะว่า

พี่แมะได้เสื้อกางเกงตัวนี้เป็นของฝากจากสิงคโปร์นานมาแล้ว และบัดนี้ มันตกมาเป็นของน้อย เพราะพี่แมะ โตไป แถมยังอวบอ้วน สมบูรณ์ด้วย

"นั่นแหละ ไม่เห็นมีเพื่อนน้อยใส่เสื้อแบบนี้เล่นน้ำในคลองแว้งสักคน ทำลูกโป่งก็ไม่ได้" น้อยเถียง เพราะไม่ต้องการ เอาเสื้อกางเกงติดกัน ตัวนั้น ไปชายทะเลด้วย

"เอาไปเถอะน้อย" ปรีดาว่า "ดายังไม่มีชุดว่ายน้ำอย่างนี้เลย สวยออก ใส่แล้วเหมือนสาวน้อย เล่นน้ำ เปี๊ยบเลย"

น้อยเบนความสนใจไปทางปรีดาทันที ถามว่า

"เขาเรียก "ชุดว่ายน้ำ" หรือดา แล้วสาวน้อยเล่นน้ำอะไร?"

"แอ๊ดเต้อวินเลี่ยมไง ว่ายน้ำเก่งชะมัด สวยด้วย เขาใส่ชุดว่ายน้ำแบบของน้อยนี่แหละ พี่นีย์ว่า เขาเป็นดารา ที่ขาสวยที่สุด ของฮ็อนลี่วู้ด" ปรีดาอธิบาย

น้อยก้มลงมองขาตะเกียบเก้งก้างของตนก่อนที่จะตอบปรีดาว่า

"แต่น้อยใส่แล้ว มันไม่ได้สวย เหมือนแอ๊ด-อะไร คนที่ดาว่าหรอก ไม่เอาดีกว่า แล้วน้อยก็ยังไม่เป็นสาวด้วย"

"ดานึกออกแล้ว เดี๋ยวเราใส่กันสองคน เป็นสาวน้อยเล่นน้ำ สองคนเลย ดีไหม น้อยเอาไปเหอะ" ปรีดาว่า

"ดาก็มีเหมือนกันใช่ไหมล่ะ 'ชุดว่ายน้ำ' น่ะ" น้อยเปลี่ยนมาเรียกชุดมรดกของเธอตามปรีดาบ้าง

"น่า เดี๋ยวเราใส่เหมือนกันได้ก็แล้วกัน ไปกันเหอะ พี่นีย์เขาเตรียมของไปกินแยะเลย เขาเรียกว่า ไปกินข้าว ชายเลไง นานๆ จะได้ไปกันสักที เราไปช่วยกันขนของไปหน้าบ้าน แล้วก็ไปเรียกรถแซ้กซีด้วย ต้องเรียก ตั้งสี่คันแหละ ดาว่า" ว่าแล้วปรีดาก็ฉวยถุงเสื้อผ้า ที่จะเปลี่ยน สำหรับเล่นน้ำ มาถือไว้ พลางฉุดน้อย ออกไป

น้อยเป็นสุขมากที่ได้นั่งรถแซ้กซีคันเดียวกับปรีดา ที่นั่งบนรถแซ้กซี เป็นเก้าอี้หวาย มีพนักเอน แล้วบน ที่นั่ง ยังมีเบาะนุ่มๆ รองด้วย ตรงท้ายรถคันที่เด็กทั้งสองนั่ง พี่สุนีย์ได้ให้คนถีบรถ บรรทุก ข้าวปลา อาหาร ไปจนเต็ม ส่วนเสื่อสาด เอาไว้ท้ายคันที่พี่แมะ นั่งไปกับพี่สุนีย์ พ่อกับแม่ นั่งคันที่สาม ป้าคิมกับลุงเกลื่อน นั่งคันที่สี่

ถึงรถแซ้กซีจะเหมือนกันทุกคันน้อยก็ยังรู้สึกว่าคันที่เธอนั่งนั้นโก้ที่สุดในขบวน ปรีดานั่งหน้าเริ่ด ร้องทักคน ที่เดินอยู่ริมถนนน ฟากโน้นทีฟากนี้ที จนน้อยคิดในใจว่า ญาติคนนี้ ช่างมีคนรู้จัก มากเสียจริงๆ บางที ปรีดา ก็บอกคนถีบรถแซ้กซี ให้ดีดกระดิ่งรูปร่างกลมๆที่ติดอยู่กับคันจับดัง กรุ๋งกริ๋ง กรุ๋งกริ๋ง กรุ๋งกริ๋ง ให้นานๆ จนคนที่เดินอยู่ริมถนน พากันหันมามอง แล้วปรีดา ก็จะร้องทัก พลางร้องบอกเขา อย่างอยากอวด เต็มทีว่า

"ดาจะไปเที่ยวชายเลค่ะ"

ผู้ใหญ่บางคนก็ทักตอบปรีดาว่า

"โอ้โฮ! ไปกันเป็นขบวนเลยเทียวนะวันนี้ อ้อ! หมอก็ไปด้วย สนุกกันใหญ่เลยซี ใช่ไหมดา" แล้วปรีดา ก็จะเป็น คนร้องตอบ "ไปกินข้าวชายเลด้วยค่ะ ไปกันหมดเลย"

น้อยหันไปมองข้างหลังอย่างนึกสนุกไปกับปรีดาด้วย เธอเห็นพี่สุนีย์บ่นพึมพำ เพราะไม่สามารถ ควบคุมปรีดาได้ เห็นพ่อกับแม ่นั่งยิ้มกันอยู่ในรถคันที่สาม พ่อกำลังชี้ให้แม่ดูตึกสร้างใหม่หลังหนึ่ง ป้าคิมกับลุงเกลื่อน นั่งในแซ้กซีคันสุดท้าย หน้าตายิ้มแย้มกันทั้งนั้น น้อยจะไม่รู้สึกเป็นสุข กระไรได้

เสียงกระดิ่ง กรุ๋งกริ๋ง กรุ๋งกริ๋ง ดังติดๆ ขึ้นกว่าเดิม คราวนี้ปรีดาเป็นคนเอื้อมมือไปดีดเอง

"ถึงหน้าตลาดแล้ว คนมาก เราต้องดีดกระดิ่งให้มากกว่าเก่า คนจะได้หลีกทางให้เราไง"

น้อยอยากลองขอดีดบ้าง ก็พอดี รถคันของพี่สุนีย์ เข้ามา ติดอยู่ข้างหลัง เสียงพี่นีย์ร้องดุมาว่า "หยุดเดี๋ยวนี้นะดา เดี๋ยวเหอะ" น้อยก็เลย อดดีดกระดิ่งรถ แซ้กซีอย่างที่ใจต้องการ กำลังนึก เสียดายโอกาส ปรีดาก็กระซิบว่า

"ไม่เป็นไร น้อย เดี๋ยวพอไปถึงชายเล ดาค่อยขอเขาให้น้อยลองดีดนะ นะ"

ครู่ใหญ่ขบวนรถแซ้กซีทั้งสี่คันก็เกือบถึงชายทะเล น้อยได้ยินเสียงลมพัดอู้ ผสมกับเสียงคลื่น ที่ซัดหาดทราย ดังครืนๆ เป็นระยะ น้อยรู้สึกว่าเสียงคลื่นนั้นเหมือนเสียงขู่คำราม อยู่ไม่น้อย แล้วยังมี อีกเสียงหนึ่ง ที่เธอไม่เคยได้ยิน มาก่อนเลยในชีวิต ฟังเหมือนมีเสียงโหยหวน ผสมอยู่ในนั้นด้วย อยู่ที่แว้ง เธอได้ยินแต่เสียง ของป่าเขาลำเนาไพร เสียงนกร้อง เสียงฝนที่ตกลงมา บนหลังคาจาก ที่บ้าน ล้วนแต่เป็น เสียงสดใส แต่เสียงที่ชายทะเลนี่ ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เธอเหลียวมอง ไปรอบตัว เพื่อหาที่มา ของเสียง แปลกประหลาด ที่ปนอยู่ในสายลมนั้น

"เสียงสนต้องลมน่ะน้อย เพราะนะ น้อยชอบไม้?" ปรีดาถาม เมื่อเห็นน้อยแหงนมองไป ที่แนวสนทะเลรอบๆ เพื่อหาที่มา ของเสียง เธอไม่รู้ว่า จะตอบปรีดาอย่างไรดี เพราะฟังดูน่ากลัว มากกว่าเพราะ

"เสียงมันแปลก นี่เหรอต้นสน ต้นมันใหญ่นะ แต่ใบมันเล็กยังกะเข็มยาวๆ แล้วเสียงลม ที่พัดมาถูกใบเข็ม ของมันก็แปลก น้อยไม่เคยได้ยินมาก่อน ลมพัดออกแรง แต่ต้นสนมันไม่ยักกะหัก แปลกจัง เขาเรียกว่า "สนต้องลม" เหรอดา ?"

"ดาว่าตามเพลงที่พี่นีย์เขาร้องหนะน้อย" ปรีดาตอบแล้วร้องเป็นเพลงนิดหนึ่งว่า " '...ดูสนฉงนใจ เหตุไฉนไย..มิโค่น ต้องลมพัดโอน อ่อนโยนตามสายลม' " ก่อนที่จะหยุดไป
"เพลงอะไรน่ะดา เพราะจัง ร้องต่ออีกซี" น้อยว่า

"ความรักก็เหมือนกัน เมื่อแรกนั้นรักหวานชื่น ทุกค่ำทุกคืน สดชื่นน่าเชยชม แต่แล้วเมื่อรักจาง ต้องอ้างว้างใจ..ระทม' ดาจำได้แค่นี้แหละ เดี๋ยวให้พี่นีย์ร้องให้ฟังดีกว่า" และเมื่อรถแซ้กซี คันที่นั่งมา หยุดลง ปรีดาก็พูดต่อว่า"ลุงชู ให้น้อยเขาดีดกระดิ่งหน่อยได้ไหม เขาอยากลอง นะลุงนะ"

แล้วน้อยก็ได้ดีดกระดิ่งจักรยานสามล้อสมใจ เธอตั้งใจเอานิ้วหัวแม่มือ กดปลายกระดิ่ง ไปข้างๆ แบบที่เห็น ปรีดาทำ พอมันดัง กรุ๋งกริ๋ง เธอจึงกด อีกหลายครั้ง พลางหันไปมอง พี่แมะและพ่อ กับ แม่ พลางร้องบอกว่า "ถึงชายเลแล้วค่ะ ลงได้แล้ว" กรุ๋งกริ๋ง กรุ๋งกริ๋ง กรุ๋งกริ๋ง

เมื่อเด็กทั้งสามคน ช่วยพี่สุนีย์ ปูเสื่อสามผืนบนพื้นทรายขาวสะอาด ใต้สนทะเลต้นใหญ่ เสร็จเรียบร้อยแล้ว คนถีบรถแซ้กซี ก็ช่วยขนเสบียงข้าวของ ลงวางไว้บนเสื่อผืนหนึ่ง ลุงเกลื่อน ป้าคิม พ่อ และ แม่ ลงนั่งพักกันอย่างสบายใจ บนเสี่ออีกผืน

"ไป๊ ไปเล่นน้ำกันดีกว่า น้อยเราไปเปลี่ยนชุดว่ายน้ำกันเหอะ"

ปรีดาชวนพี่แมะและน้อยทันทีและเมื่อพี่แมะบอกว่าจะไปกับพี่สุนีย์ ปรีดาจึงฉวยถุงผ้า ที่วางอยู่ บนเสื่อ ผืนที่สาม พลางพยักพเยิด ฉุดมือน้อย วิ่งไปใต้สนใหญ่ต้นหนึ่ง ห่างออกไป

สักครู่ใหญ่ ทุกคนก็ได้ยิน เสียงหัวเราะ ดังคิกคัก ดังมาจากหลังต้นสน ต้นนั้น น้อยตัวผอมเก้งก้าง ยอมสวม 'ชุดอาบน้ำ' ที่เจ้าตัวแสนจะเกลียดตัวนั้น ส่วนปรีดา ได้แอบเอากางเกงขาสั้น ที่คับแล้วของตน มาจากบ้าน พยายามฮึดฮัด สวมเข้าจนสำเร็จ แล้วจึงม้วนขากางเกง เข้าด้านใน ให้สูงที่สุดที่ทำได้

"น้อยรู้แล้ว ดานี่เก่งจริงๆ เล้ย" น้อยว่าพลางเข้าช่วยม้วนขากางเกงของปรีดา อีกข้างขึ้นไป จนสุด ที่จะม้วนได้ แล้วปรีดาก็เปลี่ยนเสื้อที่ใส่ เป็นเสื้อชั้นในคอกลม จากนั้นก็สอดชายเสื้อ เข้าในกางเกง จนตึง ในที่สุด ปรีดาก็ดูเหมือนกำลังสวม 'ชุดว่ายน้ำ' อีกคนหนึ่งเหมือนกัน ถึงจะดูปุกปุย ไปหน่อย ปรีดา ก็ไม่ผอมโกงโก้ แขนขาลีบยาวเก้งก้าง เหมือนน้อย

"ไป น้อย เราลงทะเลเลย" ปรีดาว่า พลางร้องตะโกนเสียงดัง ตั้งใจให้ผู้ใหญ่หันมามอง

"ทุกคนดูทางนี้ สาวน้อยเล่นน้ำจะลงทะเลแล้ว!!"

"เข้าคู่กันเลย ซนพอกันทั้งคู่" พี่สุนีย์ว่าก่อนที่จะชวนพี่แมะให้เดินตามน้อยและปรีดาลงทะเล

"เด็กๆ ก็เหมือนพวกเราเมื่อยังเล็กนั่นแหละครับ ผมว่า" พ่อพูด

"ผมว่าอย่างนั้นเหมือนกัน ผมเองก็เคยซนไม่น้อยกว่าปรีดาหรอก ถึงได้ไม่ค่อยว่าอะไรเขามาก ปล่อยไป ซนมากเข้า สุนีย์ก็คอยว่าแทน แค่เขาไม่ซนไปในทางบาปกรรมก็พอแล้ว"ลุงเกลื่อนว่า

"แต่ปรีดาเขาช่างคิดนะ พี่คิม ดูซี อุตส่าห์แอบเอากางเกงคับๆ มาม้วนเข้า เข้าท่าทีเดียว" แม่พูดบ้าง พลางหันไปมองปรีดา "น้อยน่ะไม่ชอบไอ้กางเกงเล่นน้ำตัวนั้นเอาเลย เพิ่งได้ฤกษ์ใส่วันนี้เอง"

"เด็กๆ สมองยังใส ไม่ค่อยมีเรื่องเป็นไฝเป็นฝ้าบังความคิดเหมือนพวกเราผู้ใหญ่" ลุงเกลื่อนพูดต่อ "หลังสงครามอย่างนี้ จะไปหาซื้อของดีของใหม่ มาจากไหน รู้จักคิด รู้จักดัดแปลงเอาเอง อย่างนี้ ก็นับว่าดีแล้ว" ลุงเกลื่อนพูดต่อ วันนี้ลุงพูดได้ยาวโดยไม่หอบ อาจจะเป็นเพราะอากาศริมทะเลก็ได้

ลูกคลื่นที่ซัดแรงตอนแรกค่อยเปลี่ยนเป็นทยอยเข้าหาฝั่งเบาๆ น้อยกับปรีดา เดินเลียบไป ตามชายหาดก่อน พอเห็นปูลมก็วิ่งจับกันแต่จับไม่ได้สักตัว จึงเปลี่ยนมาเก็บ เปลือกหอย และก้อนหิน สีต่างๆ ที่ทรายช่วยเกลาเสียจนมนสวยงาม น้อยตั้งใจ เก็บไปให้เพื่อน ที่โรงเรียนดู จากนั้น ก็ชวนกัน ลงเล่นน้ำ น้ำทะเลนี่ไม่เหมือนน้ำคลอง ที่แว้งของเธอเลย น้อยได้แอบชิมดูแล้วนิดหนึ่ง มันเค็ม เหมือนที่พี่แมะ ว่าจริงๆ ด้วย เวลาเล่นน้ำทะเล จึงต้องเม้มปากไว้ ไม่ให้น้ำเข้าปาก น้อยว่ายน้ำไม่ถนัด เพราะลูกคลื่น คอยโถมเข้าหาจนต้องหยุดว่าย หันมาหัดทำตัวให้ลอยขึ้นลง ตามลูกคลื่นเสียก่อน จึงค่อยว่ายได้ เรื่องสนุกของเธอ จึงเป็นการโยนตัว ตามคลื่น เสียมากกว่า ว่ายน้ำ และน้อยได้เรียนรู้ด้วยว่า น้ำทะเลที่เค็ม ช่วยทำให้ตัวเธอเบา ลอยตัวได้ง่ายกว่า ในน้ำคลองแว้ง

"แต่เราก็ต้องระวังเหมือนกัน" ปรีดาบอก "เพราะบางทีเผลอแป๊บเดียวก็ลอยออกไปไกล ถ้าเกิดมี คลื่นใหญ่มา มันก็จะม้วนตัวเราเข้าไป เดี๋ยวคนมาช่วยไม่ทัน ก็แย่เลย"

น้อยมองไปที่ขอบฟ้า 'จริงสินะ ทะเลไม่เหมือนคลองแว้ง มันไม่มีอีกฝั่งหนึ่งให้เห็น ถ้าเกิดเล่นน้ำ ไกลออกไป แล้วถูกคลื่นใหญ่ม้วนเอา เธอต้องตายแน่ๆ' แดดเริ่มแรงขึ้น จนรู้สึกร้อนแล้ว เธอจึงชวน ปรีดาว่า "เราไปเล่นกัน ที่หาดก็ดีนะ ทะเลมันสวย แต่มันก็น่ากลัว เรา ออกมาไกล แล้วเหมือนกัน"

"ไปก็ไป เราไปก่อกองทรายกันให้สนุก ดาจะก่อเป็นวังของกาหลิบ" ปรีดาว่า น้อยนิ่งคิดอยู่นิดหนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า

"ที่แว้งก็มีกา แต่กาหลิบน้อยไม่เคยเห็น แล้วกาที่แว้งมันอยู่บนต้นไม้ กาของดามันอยู่ในวังเหรอ?"

ทั้งสองพากันเดินขึ้นชายหาด ปรีดาหัวเราะพลางอธิบายน้อยว่า

"ไม่ใช่ กาหลิบไม่ใช่นก เขาเป็น พระเจ้าแผ่นดิน ดาเห็น ในหนังเรื่อง'โจรในแบกแดด' มาฉาย นานแล้วแหละ เสียดายน้อยไม่ได้ดู สนุกเหมือนกัน มีคนชื่อ'ซาบู'ด้วย"

"ดาเล่าเรื่อง'โจรในแบก_อะไรนะดา แบกอะไร?" น้อยขอร้องปรีดาทันที ที่ลงนั่งบนพื้นทราย และ เมื่อปรีดาบอกว่า "แบกแดด" เธอจึงพูดต่อ เหมือนกับจะย้ำกับตนเอง ให้จำว่า "เรื่อง 'โจรในแบกแดด' น่ะ ดาเล่าหน่อยซี แล้วก็'ซาบู'ด้วย น้อยอยากฟังจังเลย"

ปรีดาเริ่มเอาทรายก่อเป็นรูปพระราชวัง เอามือตบให้ทรายส่วนที่เป็นหลังคานั้นโค้งมน ปากก็พูดไปพลางว่า "นี่เป็นวังที่กาหลิบอยู่นะ หลังคาไม่เหมือนบ้านคนไทยหรอก โค้งๆ อย่างนี้แหละ หน้าต่างก็โค้ง เหมือนกัน แต่ตรงข้างบนแหลม อย่างนี้ไง" ปรีดาว่าพลางหยิบเอาเศษไม้ที่คลื่นซัดมาวาดเข้าตรงกลางของกองทราย
ที่ช่วยกันตบ จนเป็นสี่เหลี่ยมสวยงาม พอเสร็จแล้ว ปรีดาก็ให้น้อยช่วย เอาทราย ก่อขึ้นไปเป็นหอสูงลิ่ว หลังคามน เหมือนกัน "นี่ตรงนี้เป็นหอคอยที่มีทหารกาหลิบเฝ้า ต่อไปเราต้องก่อกำแพงวัง"

ในที่สุดพระราชวังของกาหลิบก็เสร็จเรียบร้อย เป็นวังที่สวยงามมาก แต่ยังไม่ทันที่เด็กทั้งสอง จะได้ชื่นชม กับผลงานของตนเองนานนัก คลื่นลูกหนึ่ง ก็ซัดโครม เข้ามาอย่างแรง จนพระราชวังทราย หายไปกับน้ำทะเล น้อยมองดูด้วยความเสียดาย พูดว่า

"เสียดายจัง อุตส่าห์ทำกันตั้งนาน คลื่นมาทีเดียวหมดเลย" แต่ญาติของเธอกลับหัวเราะ ตอบว่า

"ก็อย่างงี้ทุกทีแหละ มันหายไปแล้วเราก็ทำใหม่ได้อีก แต่ดาว่าตอนนี้แดดร้อนแล้ว ขืนตากแดดนาน ตัวจะไหม้ เราขึ้นไปใต้ต้นสนดีกว่า นั่นไง เสียงพี่นีย์เรียกแล้ว"

สองคนพากันไปนอนเล่นกันใต้ต้นสนห่างออกไป ชุด 'สาวน้อยเล่นน้ำ' และแขนขา มีทรายติดเต็ม แต่ไม่เป็นไร เพราะเป็นทรายที่ขาวสะอาด น้อยเร่งให้ปรีดาเล่าเรื่อง 'โจรในแบกแดด' ให้ฟังต่อ

"อีทีนี้ก็..มีกาหลิบรวยมากนะ แหม! ดาเล่าไม่ค่อยเป็น มันสนุกมาก แต่ดาจำเรื่องมาเล่า ให้ตลอดไม่ได้.. อีทีนี้ก็.. ก็มีโจรนะมาขโมยของในวังของกาหลิบนะ แล้วก็มีผู้ชายชื่อซาบูนี่แหละ"

"เป็นเด็กเหมือนเราใช่ไหม แล้วก็เก่งมากใช่ไม้?" น้อยซักหวังจะให้ปรีดาจำเรื่องมาเล่าต่อ
"ไม่ใช่เด็กเท่าเรา โตแล้วเหมือนกัน แต่ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ ซาบูก็ถูกเขาไล่จับ แล้วก็ถูกสาปเป็นหมาด้วย แล้วก็ตกน้ำ พอขึ้นจากน้ำก็สะบัดๆ ตัว แล้วก็กลายเป็นคนตามเดิม ตอนดูนะ เด็กๆ ชอบซาบูกันทั้งนั้น พอซาบูถูกสาป ก็กลัวพอซาบูกลายเป็นคนอีก ก็โห่กันใหญ่เลย ดาก็โห่จนพี่นีย์หยิก ดาว่าพี่นีย์ เขาก็ชอบซาบู เหมือนกันแหละ แต่เขาไม่โห่"

เสียงผู้ใหญ่เรียกให้ไปกินข้าวดังมา แต่น้อยยังค้างใจอยู่ จึงถามปรีดาว่า "แล้วจบยังไงล่ะดา?"

"ตอนจบเหรอ? ก็สนุกยอดไปเลย ซาบูได้พรมวิเศษ" ปรีดาเล่าต่อ และเมื่อเห็นสายตาน้อยถามจึงอธิบายว่า "พรมก็เป็นผ้าหนาๆ นะ เหมือนเสื่อไง ซาบูนั่งบนพรมวิเศษ แล้วพรม ก็พาเหาะไปไหนๆ ได้ ดายังอยากได้สักผืนเลย แต่คงไม่มีจริงหรอก จบแหล่ว ไป๋ ไปกินข้าวกันดีกว่า น้อยไม่หิวเหรอ"

อาหารกลางวันวันนั้นแสนอร่อยและมีมากมายหลายชนิดด้วย น้อยกับปรีดาเติมแล้วเติมอีก ป้าคิมพูดว่า ได้ออกมา 'กินข้าวชายเล' อย่างนี้ ช่วยให้ลุงเกลื่อน รับประทานข้าว ได้มากกว่าทุกวัน แล้วหันถามน้อยว่า "น้อยล่ะ ชอบไหม มาเที่ยวอย่างนี้ แล้วเคยกินข้าวห่อไหม?"

"ชอบค่ะ" น้อยตอบ "น้อยเคยไปเที่ยว ในป่ากับเพื่อน แล้วก็กินข้าวห่อ เหมือนกัน พี่แมะก็ไปด้วย สนุกมากค่ะ แต่ที่แว้งไม่มีทะเล มีแต่ป่าค่ะ"

เสียง หวือ..หวือ.. ดังมาจากอีกด้านหนึ่ง ทุกคนหันไปมอง ปรีดานั่นเอง บนหัวมีผ้าขาวม้า ของลุง พันอยู่รอบ แถมยังทำให้ชายผ้า แหลมขึ้นไปเสียด้วย มองดูเหมือนแขกพอสมควร กำลังปูเสื่อผืนเล็ก ลงกับพื้นทราย แล้วลงนั่งตรงกลางเสื่อ พลางร้องเรียกน้อย

"พรมวิเศษของซาบูจะขึ้นแล้ว น้อยจะเหาะไปด้วยกันไม้?"

น้อยวิ่งไปนั่งบน'พรมวิเศษ'กับปรีดาทันที พี่สุนีย์ร้องถามว่า "วันนี้ไม่ปีนต้นไม้ เป็นลูกน้องทาร์ซานหรือไง จะเป็นซาบู ตอนถูกสาปใช่ไม้?"

"เดี๋ยวเราจะนอนเหาะด้วยหละ พี่นีย์นั่นแหละ ยังเป็นหนี้อยู่" ปรีดาย้อนพี่สาว และเมื่อพี่สุนีย์ถามว่า เป็นหนี้อะไร ตั้งแต่เมื่อไร ปรีดาก็ตอบว่า "ก็ดาบอกน้อยว่าดาร้องเพลงไม่เก่ง สู้พี่นีย์ไม่ได้ พี่นีย์ก็เป็นหนี้ ร้องเพลงไง ต้องร้องให้เราฟัง เพลงสนต้องลมน่ะ ร้องเลย เราจะเหาะแล้วนา"

ในที่สุดผู้ใหญ่ก็คะยั้นคะยอให้พี่สุนีย์ร้องเพลง สนต้องลม ให้ฟังจนจบ น้อยชอบมาก ทำนองเพราะและเนื้อเพลงก็เข้ากับชายทะเลในวันนั้น อย่างเหมาะเจาะ เมื่อพี่สุนีย์ร้องเพลง สนต้องลม จบแล้ว ลุงเกลื่อนก็เป็นผู้พูดขึ้นว่า "นีย์ ร้องเพลงของบางนรา ให้น้ากับน้องเขาฟังด้วย อีกเพลงซีลูก แล้วกลับกันได้แล้ว แน่ะแซ้กซีก็มาคอยตามนัดแล้ว ร้องเลยลูก ไม่ต้องอาย"

น้อยก็ได้ฟังเพลงนราพิมพ์ใจเป็นครั้งแรกในชีวิต เนื้อร้องมีว่า

โอ้นราธิวาสร่มเย็นเสมือนหนึ่งเป็นดินแดนสวรรค์เวียงใต้
สวยงามด้วยธรรมชาติวิไล ไม่ว่าจะมองแห่งไหน กระไรดังสวรรค์สร้าง
ภาพทะเลเห็นน้ำจรดฟ้า สวยสุดตา คลื่นซ่าสาดซัดชายฝั่ง
เสียงลมดังเพลงบรรเลงพลิ้วดัง หากใครได้เยือนสักครั้ง จะฝังจิตคิดถึงครัน
มวลพี่น้องผองถิ่นนรา เกิดมาร่วมในแผ่นฟ้าใต้ร่มธงไทยเดียวกัน
มิตรภาพซาบซึ้งตรึงใจ ผูกพันฝังจิตใฝ่ฝัน ติดตรึงอยู่ถึงแรมเดือน
โอ้นราแม้ว่าจากไป ถึงห่างไกลอาลัยอยู่มิรู้เลือน
สัมพันธ์ยังมั่นและคงฝังเตือน ผูกพันมั่นคงเสมือน ดั่งน้ำคู่ฟ้านิรันดร์

คืนนั้น เป็นการรับประทานอาหารร่วมกัน เป็นมื้อสุดท้าย เพราะรุ่งขึ้น พ่อก็ต้องพาครอบครัว ออกเดินทางไป ตั้งแต่เช้ามืด หลังอาหาร ผู้ใหญ่ยังคงคุยกันเรื่องอะไร ต่อมิอะไรมากมาย รวมทั้งเรื่อง การไปศึกษาต่อ ของพี่สุนีย์ที่กรุงเทพฯ ส่วนพี่แมะ ปรีดาและน้อย ต่างก็ไม่อยากจากกัน ปรีดาสัญญาว่า จะไปเที่ยวแว้ง ตอนปิดภาคเรียน คราวหน้า

น้อยรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจแต่อธิบายไม่ได้ เธอไม่อยากไป จากบางนรา แต่เธอก็อยากกลับแว้ง แว้งให้ ความสุข แก่เธอ แต่บางนรา ก็ให้ความรู้ และให้เธอได้เห็น ได้ฟัง สิ่งที่ไม่เคยได้เห็นได้รู้ มาก่อนมากมาย ทำให้เธออยากเห็นอะไรต่อมิอะไร ในโลกอันกว้างขวางนี้ กำลังคิดเพลินอยู่ ป้าคิมก็ถามขึ้นว่า

"พี่นีย์เขาจะไปเรียนที่บางกอกแล้ว น้อยล่ะอยากไปไหน?"

"น้อยอยากไปที่เมืองนั้นค่ะ เมืองที่ดาเล่าน้อยน่ะค่ะ ที่มีวังของกาหลิบ" น้อยตอบตามตรง ภาพที่คลื่น โถมเข้า ทลายพระราชวังทรายของกาหลิบที่เธอช่วยปรีดาทำขึ้นยังติดตาอยู่ไม่หาย ผู้ใหญ่มองหน้ากัน พ่อเป็นคนถามขึ้นว่า "เมืองอะไร น้อย แล้วทำไมลูกถึงอยากไปนัก ?"

"เมือง'แบกแดด'ค่ะพ่อ น้อยอยากไปดูว่าคนที่นั่น เขาแบกแดดกันทำไม แล้วเขาแบกแดด ได้ยังไงค่ะ"


๑,๒ Ester Williams ดาราสาวของ Hollywood ที่โด่งดังมากในเรื่องว่ายน้ำจนได้สมญาในหมู่คนไทยว่า 'สาวน้อยเล่นน้ำ'
คือรถสามล้อ แต่คนปักษ์ใต้จะเรียกว่า 'รถแซ้กซี' เข้าใจว่าคงจะเป็นคำยืมจากภาษาอังกฤษ 'taxi' เช่นเดียวกันกับ ที่สาวชาววัง สมัยรัชกาลที่ ๕ เคยเรียกรถจักรยานสองล้อว่า 'ไบซิเกิ้น' หรือที่คนไทย มุสลิมทางใต้ เรียกว่า'เบอะซีกา' ก็เป็นคำยืมจากภาษาอังกฤษว่า 'bicycle' ซึ่งแปลตรงตัวว่า 'สอง-ล้อ' และ 'tricycle' แปลว่า'สาม-ล้อ'
_______________________________________________________________________
*เขียนเสร็จเวลา ๑๑.๔๐ น.ของ ๒๖ มีค.๔๖ เป็นวันที่สงครามโหด ระหว่างอเมริกา-อิรักดำเนินมาได้ ๖ วันแล้ว เรื่องชื่อเมืองแบกแดด ในตอนที่เขียนนี้เป็นเรื่องจริง ที่ผู้เขียนฝังใจ มาตั้งแต่เด็ก หาใช่เพราะ เกิดสงคราม ครั้งนี้ แต่อย่างใดไม่ และผู้เขียนขอขอบคุณ อาจารย์ลัดดา ปานสมทรง อำเภอแว้ง ที่ช่วยกรุณา สอบเรื่องเนื้อเพลง นราพิมพ์ใจ ให้อย่างถูกต้อง

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๓ เมษายน ๒๕๔๖