หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

เรื่องสั้น * เอกชัย นพรัตน์
รอยกรรม (ตอนจบ)
"เพราะอะไรทำไมแม่ถึงใจร้ายกับมันนัก ใจก็นึกอยากจะหนีแม่กลับไปหาแมวก่อน แต่ก็ได้แต่คิด ไม่กล้าไปกลัวโดนดุ ขณะนั่งคิดถึงมันอยู่นั้น หูก็แว่วเหมือนกับได้ยินเสียงร้อ งของพวกมัน จนข้าพเจ้า รู้สึกตื่นเต้น แต่พอหวนคิดขึ้นมาได้ว่าระยะทางมันไกล แมวมันจะมาได้อย่างไร แหงนหน้าขึ้นดูตะวัน ช่างนานค่ำเสียจริงๆ มองลงไปที่ไร่นาเห็นพ่อกับแม่กำลังถอนข้าวกล้าอย่างขะมักเขม้น ไม่มีทีท่าว่า จะเลิกกลับไปบ้านง่ายๆ

เป็นอันว่าเย็นวันนั้นเราทุกคนกลับบ้านพร้อมกัน พ่อแบกจอบมือถือมีดตอก พี่นิดแบกไถ มือถือเชือก ไล่ควาย แม่หาบสัมภาระ ส่วนข้าพเจ้าเดินมือเปล่า ตามหลังพ่อมาติดๆ วันนั้นกว่าจะออกมาจากนา ก็เป็นเวลา โพล้เพล้ และกว่าจะถึงบ้าน ก็ค่ำมืด จนมองไม่เห็นตัวคน ได้ยินแต่เสียงเกราะ ที่คอควาย พี่นิดเท่านั้น เมื่อผ่านป่าที่ปล่อยแมว เมื่อตอนกลางวัน ก็มืดดำมีแต่เงาป่า ปล่อยพวกมันไว้ตรงไหน ก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงได้แต่เงี่ยหูฟั งเผื่อจะได้ยินเสียงร้อง ของมันบ้าง แต่ก็เงียบ


ในที่สุดพวกเราก็กลับถึงบ้าน โดยไม่มีลูกแมวสี่ตัวกลับมาด้วย ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจแล้วว่า แม่จงใจ ที่จะเอา ลูกแมวไปปล่อยทิ้ง หากว่ากลับเร็ว ก็จะเป็นปัญหา เพราะข้าพเจ้า จะต้องร้องหาแมว แม่จึงรอกลับ พร้อมพ่อ ในตอนค่ำ คราวที่แล้ว ก็คงเป็นฝีมือของแม่ ที่เอาไปปล่อย แต่ไม่สำเร็จ เพราะข้าพเจ้า ตามไปเอากลับคืนมา ครั้งนี้แม่จึงวางแผน เอาแมวไปปล่อยใหม่

คืนวันนั้นแม่ของมันวิ่งพล่านร้องหาลูก ส่งเสียงร้องวิ่งขึ้นข้างบนสักครู่ ก็วิ่งลงมาข้างล่าง และบางครั้ง มันก็วิ่ง เข้ามาหาพ่อ เอาหัวถูข้อเท้าแล้ว เงยหน้าขึ้นร้อง เหมือนกับจะถามว่า ลูกของมันอยู่ไหน พ่อเห็น ท่าทางแปลกๆ ของมัน จึงเกิดความสงสัย

"น้อยไปดูลูกแมวซิ.." พ่อเอ่ยปากกับข้าพเจ้า ใจขณะที่พี่นิด ออกมาจากห้อง

"พ่อ.. ไม่เห็นลูกแมว ไม่รู้ว่าพากันไปแอบซ่อนอยู่ไหน" พี่นิดกล่าว

"มันคงไปแอบนอนอยู่ตรงไหนกระมั้ง หาดูให้ทั่วๆ ซิ" พ่อย้ำในขณะที่แม่ทำเฉยๆ เหมือนไม่ได้ยิน และ ขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ จึงร้องกระซิกออกมาด้วยความสงสาร

"พ่อ..แม่ให้ผมเอาแมวไปปล่อย ฮือ ฮือ..."

"อ้าว.." พ่ออุทาน "เอาไปปล่อยที่ไหนละลูก?.."

"ที่ป่าทางไปนา " ข้าพเจ้าตอบ

"แม่ เอาแมวให้ลูกไปปล่อยซิ?...." พ่อเอ่ยถามแม่

"เออ....ปล่อยมันซะ รำคาญไอ้น้อยเอาแต่เล่นกับมัน เลยจับใส่ถุงปุ๋ยไปปล่อยที่ป่า ท้ายสวนตาเทียม เมื่อตอน ไปส่งข้าวพ่อนั่นแหละ"

"เวรกรรม แม่ช่างทำกับมันได้ลงคอนะ ถ้าเกิดมันหลงอยู่ในป่ามันจะเกิดอะไร ถ้ามีคนจับไป ก็ยังดี มันได้กินข้าว คิดแล้วว่า วันนี้ทำไมแม่มัน ถึงมีท่าทางแปลกๆ ที่แท้มันร้องถามหาลูกนี่เอง เวรกรรม" พ่อถอนหายใจ

"เราเลี้ยงมันมาแล้วก็ควรจะเลี้ยงมันต่อไปนะแม่ ไม่น่าคิดเอามันไปปล่อยทิ้งเลย สงสารมัน ถ้าคิดแบบนี้ ก็ควรเอาให้คน ไปเลี้ยงดีกว่า" พี่นิด

"คนแถวนี้เขาไม่บ้าเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวเหมือนบ้านเราหรอก มีแต่พ่อแกนั่นแหละ" แม่แย้ง

นัยน์ตา ของพ่อ แสดงถึงความสมเพชเวทนา เป็นที่สุด แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรแม่ มากมายนัก นอกจาก หันมาปลอบใจข้าพเจ้าเท่านั้น

"อย่าร้องไห้ไปเลยลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อไปนาแต่เช้า ถ้ามันยังอยู่พ่อจะนำมันกลับมาเอง" แล้วพ่อก็ดึงตัว ข้าพเจ้าเข้ามากอด

พี่นิดเดินถือหนังสือไปนั่งอ่านรอกินข้าว แต่ก็ไม่วายที่จะเปรยกับแม่อย่างเป็นห่วง

"เขาว่าพรากลูกแมวลูกหมาไปปล่อยทิ้งกลางดงกลางป่า เป็นบาปนักไม่ใช่หรือแม่?..."

"บาปเบิบอะไรกัน ไม่ได้ฆ่ามันซะหน่อย ไม่ตายมันก็หากินเองตามประสาสัตว์นั้นแหละ"

เมื่อได้ยินแม่กล่าวเช่นนั้น พี่นิดก็ไม่ต่อปากต่อคำอะไร นั่งเปิดหนังสืออ่านต่อไปอย่างเงียบๆ

จนข้าวปลาอาหารสุก พวกเราก็พากันเข้าครัวกินอาหารกันตามปกติ เมื่อทุกคนอิ่มจากอาหารมื้อค่ำแล้ว ก็ต่างเข้านอน เพราะสู้งานมาทั้งวัน

เช้าต่อมาขณะที่แม่นั่งขอดเกล็ดปลาเพื่อแกงส้ม บังเอิญแมวไปร้องกวนใกล้ ๆ จนแม่เกิดความรำคาญ จึงเหวี่ยงมีด ไปถูกที่คอ เป็นแผลเหวอะหวะ อยู่ประมาณสองอาทิตย์ แผลก็เน่า และแม่แมวก็ตาย เพราะคมมีด

เวลาผ่านพ้นไป ข้าวในนาแตกกอเป็นหนุ่มเป็นสาวพร้อมที่จะออกดอกออกรวง ให้ผู้คนที่เหน็ดเหนื่อย ได้ชื่นชม พ่อกับพี่นิดไม่เคยหยุดพัก ยังแผ้วถางบุกเบิกไร่ใหม่ต่อๆ ไป เมื่อข้าวชูช่อออกรวง เหลืองอร่าม เต็มท้องทุ่ง ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็หายไป พ่อคว่ำจอบลงบนคันนา แล้วหย่อนก้น ปล่อยอารมณ์ ลูบไล้ เชยชมรวงข้าว ที่ไหวเอนเป็นคลื่นเมื่อถูกแรงลมอย่างมีความสุข

วันหนึ่ง พ่อได้รับจดหมายอาแก้ว ซึ่งแต่งงานกับพนักงานคนขับรถไฟ เมื่อหลายปีมาแล้ว แต่ไม่มีลูก ตอนนั้น อาแก้ว พักอยู่ที่โคราช อาแก้วจะมีจดหมาย มาถามข่าวคราวพ่อ อยู่เป็นประจำ ไม่ได้ขาด เมื่อพ่ออ่าน จดหมายจบแล้ว ก่อนเข้านอน พ่อจึงปรึกษากับแม่ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยที่ข้าพเจ้า หลับตานอนฟัง อย่างสนใจ

"แม่...อีแก้วมันมีจดหมายมาหาว่า ขอให้ไอ้น้อยไปเรียนหนังสือที่โคราช มันบอกว่าไม่มีเพื่อน ผัวมัน ก็ล่องกรุงเทพฯ -ขอนแก่น ขอนแก่น-กรุงเทพฯ นึกๆ ก็เห็นใจมันนะ หรือแม่ว่าไง?..."

"อืมม์..มันก็น่าสงสารอยู่นะพ่อ ไปอยู่ไกลพี่ไกลน้อง แต่ถ้าจะให้ลูกเราไปอยู่ด้วยนั้น แม่ก็คิดถึงเช่นเดียวกัน ลูกไปอยู่ไกลๆ ไปมาหาสู่ก็ยาก เรามีลูกอยู่เพียงสองคนเท่านั้น ถ้าให้ไอ้น้อยไปอยู่กับแก้ว ก็เหลือนิด เพียงคนเดียว ฉันก็จะเหงาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่แม่มาคิดอีกที เผื่อว่ามันได้มีโอกาส ได้เรียนสูงๆ กับเขาบ้าง ลำพังแรงเรา คงไม่มีปัญญา ส่งลูกเรียนได้หรอก" แม่กล่าว

"ข้าก็คิดเหมือนกับแม่ สมัยนี้การศึกษาถือว่าสำคัญ ไอ้นิดมันก็อยากเรียน แต่เราก็ไม่มีปัญญา จะส่ง ให้เขาเรียนได้ ทั้งที่ลูกชอบเรียน ชอบอ่าน ดูสิ มีหนังสืออะไร มันอ่านหมด อายุแค่นี้ สนใจเรื่องบ้าน เรื่องเมือง ต่างจากเด็กทั่วไป" พ่อเสริม

แม่นั่งเงียบอย่างใช้ความคิด แม้ว่าแม่ข้าพเจ้าจะเป็นคนพูดน้อยตรงไปตรงมา แต่แม่เป็นคนสนใจ เรื่องการศึกษา อยู่พอสมควร หากวันไหน แม่ได้มีโอกาสเข้าไปในเมือง ก็จะหาซื้อหนังสือต่างๆ มาให้พี่นิด ได้อ่านอยู่เป็นประจำ บางครั้งพี่นิด ก็ขอให้ซื้อหนังสือ ประเภทที่พี่นิดต้องการมาให้ แม่ก็ไม่เคยปริปากบ่น ถึงแม้ว่า จะต้องใช้เงินซื้อ ในราคาแพงๆ บ้างก็ตาม อีกอย่าง แม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ มากกว่าพ่อ โดยแม่เรียนจบ ป.๗ ส่วนพ่อเรียนจบป. ๔ แต่พ่อก็ยังได้บวชเรียน สอบได้นักธรรมชั้นตรี แล้วก็สึกออกมา ทำไร่ไถนา

แต่พ่อก็ไม่เคยทอดทิ้งข่าวสาร และพ่อยังชอบเกาะติดสถานการณ์บ้านเมือง ชอบวิเคราะห์ข่าวสารต่างๆ อยู่เสมอ แม้ว่าบนบ่า จะแบกจอบแบกไถ แต่ใจของพ่อ เต็มไปด้วยเหตุผล

เมื่อโลกไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ใจของพ่อก็ไม่เคยหยุด ที่จะรับรู้สิ่งใหม่ๆ เหล่านั้นเช่นกัน แม้เสื้อผ้าผิวพรรณ จะขะมุกขะมอม ซอมซ่อ ไม่ทันสมัย แต่คำพูดและจิตใจ ที่แสดงออกมานั้น ทันสมัย สมเหตุสมผล อยู่เสมอ ถึงพ่อจะสูบบุหรี่บ้าง แต่อบายมุข อย่างอื่น พ่อไม่เคยแตะต้อง ให้ครอบครัว ต้องเดือดร้อน แม่เองก็ยังเคยกล่าวชม ให้เพื่อนบ้าน ฟังอยู่บ่อยครั้งว่า แม่มีสามีไม่ผิด บางครั้ง พ่อก็แนะนำ ให้ข้อคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการอ่าน เมื่อเห็นว่า ลูกเป็นคนชอบอ่านว่า

"ดีแล้วลูกเอ๋ย ที่พยายามปลูกฝังนิสัยชอบอ่านหนังสือ อย่างน้อยที่สุดก็หาเวลาอ่านหนังสือดีๆ อย่างจริงจัง วันละครึ่งชั่วโมง ก็ยังดีภายในเวลาไม่กี่ปี เราจะรู้ว่าล้ำหน้าเพื่อนฝูงไปไกลโขเลยทีเดียว ความมุ่งหมาย เป็นสิ่งสำคัญ ของชีวิต และคนเราก็จำเป็นต้อง มีความมุ่งหมายกันทั้งนั้น แต่หากคนใด มีชีวิตที่ปราศจาก ความมุ่งหมายนั้นคือ ชีวิตที่ปราศจากคุณค่า คนที่ทำอัตวินิบาตกรรม คือคนที่หมดความมุ่งหมายในชีวิต เรื่องของชีวิตนี้แหละ ที่เป็นเรื่อง ที่เรียนกันไม่รู้จบ พ่อจึงอยากจะให้ข้อคิดเห็นกับลูกว่า การอ่าน การศึกษา ควรจะเลือก ให้เหมาะกับเวลา และยุคสมัย ให้มากที่สุด เพราะสามารถ นำมาประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์ ต่อชีวิต ประจำวันได้บ้าง ไม่มากก็น้อย"

นี่คือคำกล่าวของพ่อบางตอนที่ข้าพเจ้ายังจำได้บ้าง ถึงแม้เวลาจะหมุนเวียนเลยรอบไปไกล เกือบสามรอบ แล้วก็ตาม สำหรับข้าพเจ้าแล้ว คำพูดของพ่อ ยังทันสมัยอยู่เสมอ

และสุดท้าย พ่อกับแม่ก็ตัดสินใจให้ข้าพเจ้าไปอยู่กับอาแก้วที่โคราช อาแก้วมาพักอยู่ที่บ้าน หลายวัน ก่อนที่จะพา ข้าพเจ้าไปด้วย วันสุดท้าย ก่อนที่ข้าพเจ้าจะต้องจากพ่อแม่ อาแก้ว ก็เข้ามากอด พร้อมกับ คำกล่าวที่ว่า

"ไปเรียนหนังสืออยู่กับอานะ โรงเรียนอยู่ในเมือง ไม่ไกลหรอก อาจะซื้อจักรยานให้ขี่ ไปโรงเรียนด้วย น้อยอยากได้ รถจักรยานไม่ใช่รึ?" อาแก้วกล่าว พร้อมกับลูบหัว ข้าพเจ้าเบาๆ อาแก้ว รักข้าพเจ้าจริงๆ ดุจลูกในไส้ นิสัยอาแก้ว เช่นเดียวกับพ่อ มีความจริงใจ ไม่เสแสร้ง

"เอาพี่นิดไปด้วย" ข้าพเจ้าต่อรอง

"พี่นิดก็ได้ไปด้วย แต่จะตามไปทีหลัง" อาแก้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

พี่นิดยืนอยู่ใกล้ๆ จึงเสริมเป็นการรับรอง "น้อยไปก่อนหัดถีบจักรยานให้เป็นก่อนนะ พอพี่ไป จะได้หัดให้พี่ไงล่ะ"

"พี่นิดไปแน่นะ?" ข้าพเจ้าถามเพื่อความมั่นใจ

"ไปซี พี่จะโกหกน้อยทำไม"

เมื่อพี่นิดรับปากว่าจะไปข้าพเจ้าก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น แล้วความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว ก็กลับคืนสู่ใจ การที่ต้องไปจากบ้าน จากพ่อจากแม่ ไปอยู่แดนไกลนั้น เป็นความว้าเหว่ อย่างไรบอกไม่ถูก

"ไปอยู่กับอาต้องเชื่อฟังอานะลูก อย่ารั้นเหมือนอยู่กับแม่อีกหละ แล้วแม่กับนิด จะตามไปภายหลัง" แม่กล่าวเตือน

"แม่ไปหาน้อยเร็วๆ นะ" ข้าพเจ้าเอ่ยวอน

"จ้ะ แม่จะไปหาให้เร็วที่สุด" แม่กล่าวยืนยัน

การพรากจากระหว่างแม่กับลูก ย่อมเกิดน้ำตาเป็นสิ่งแน่นอน เมื่อข้าพเจ้าได้มาอยู่กับอาแก้วที่โคราช แม่กลับพี่นิด ไม่ได้มาหา ตามสัญญาไว้ จนหนึ่งขวบปีผ่านพ้นไป แต่ถึงแม้ว่า แม่กับพ่อและพี่นิด จะไม่ได้มาหา ก็ยังมีจดหมาย ถามข่าวคราว อยู่ไม่ขาด สำหรับข้าพเจ้า ก็อยู่สุขสบายดี อาแก้วกับอาปอง ผู้เป็นสามี ก็ไม่เคยดุด่า ข้าพเจ้าไม่เคยดื้อรั้น เพราะเข้าใจดีว่า ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเรา แต่เป็นบ้านของอา ซึ่งไม่ใช่พ่อแม่ ที่แท้จริง ความเกรงอก เกรงใจ ความสงบเสงี่ยม เกิดมาเอง

การเรียนของข้าพเจ้าก็พอไปได้ เป็นที่พอใจของอาทั้งสอง อาแก้วจะมีจดหมายรายงานให้พ่อแม่ทราบ เป็นระยะๆ และพ่อ ก็มีจดหมาย มาให้กำลังใจ อยู่ไม่ขาด เช่นเดียวกัน นานวันเข้า ข้าพเจ้าก็มี เพื่อนฝูง มากมาย จนคลายเหงา ไม่คิดถึงบ้าน มากนัก

และอยู่ๆ ข่าวร้ายก็มาถึงข้าพเจ้าอย่างไม่คาดคิด หลังเลิกเรียนตอนเย็น และกลับมาถึงบ้าน อาแก้วร้องไห้ จนตาแดงก่ำ พร้อมกับวิ่ง เข้ามากอดข้าพเจ้า "น้อย พ่อถูกยิงเสียชีวิตแล้ว" อาแก้วกล่าว พร้อมกับ เสียงสะอื้น

เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางวันอันระอุแดด ไม่มีความคึกคะนองของท้องฟ้าให้มีเค้าว่า เกิดเหตุเช่นนี้ได้เลย ข้าพเจ้าตกใจ จนตัวชาไปหมด อาแก้วได้รับโทรเลข เมื่อตอนกลางวัน และยังไม่ทราบ ต้นสายปลายเหตุว่า เป็นเพราะอะไร อาแก้วยื่นใบโทรเลข ให้ข้าพเจ้าอ่านทั้งน้ำตา ซึ่งข้อความในโทรเลข กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า

"แก้ว พี่สมถูกยิงเสียชีวิตแล้ว ให้ลงมาด่วนพาน้อยมาด้วย...จากพร" ช่างร้ายเหลือเกินคนบนโลกนี้ พ่อของข้าพเจ้า เป็นคนดี ทำไมต้องมาเสียชีวิตกับสิ่งชั่วเหล่านั้นด้วย ข้าพเจ้านึกกังขาอยู่อยู่ในใจ อาแก้ว รีบโทรไปแจ้งให้อาปอง ผู้เป็นสามี ทราบโดยด่วน เพื่อให้อาปองลางานแล้ว รีบลงไปใต้พร้อมกัน ส่วนข้าพเจ้า ก็อยากไปเคารพศพพ่อ แต่อาแก้ว ให้เหตุผลว่า ต้องขาดโรงเรียนหลายวัน กว่าจะได้กลับ เมื่ออาแก้ว ไม่ให้ลงไปด้วย ข้าพเจ้าก็ไม่อาจดื้อดึง เพราะโรงเรียน ใกล้สอบเต็มทีแล้ว ถ้าลงไป ก็กลับขึ้นมา สอบไม่ทัน

อาปองลางานได้ไม่กี่วัน เมื่อเผาศพพ่อเสร็จ อาปองก็รีบกลับโคราช ก่อนอาแก้ว โดยให้อาแก้ว พักอยู่กับแม่ และพี่นิด อีกสองอาทิตย์ จึงจะกลับขึ้นมา ส่วนอาปอง เมื่อกลับขึ้นมาแล้ว ก็รีบไปทำงาน โดยกล่าวปลอบ ข้าพเจ้าว่า อย่าเสียใจอะไร ให้มาก ตั้งใจเรียนหนังสือ ถึงพ่อจะไม่มีแล้ว แต่อาทั้งสอง ก็ยังอยู่ ข้าพเจ้า ถามอาปองว่า พ่อทำผิดอะไร ถึงถูกฆ่า อาปองก็ตอบเพียงสั้นว่า

"เขาหาว่าพ่อเอ็งเป็นสายให้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เลยถูกฆ่า เท็จจริงแค่ไหน ก็ยังไม่กระจ่างชัด" อาปองกล่าว

"บัดซบ.." ข้าพเจ้าสบถ เมื่ออยู่ที่บ้านไม่เคยได้ยินพ่อพูดถึงคอมมิวนิสต์ มันจะเป็นไปได้อย่างไร ข้าพเจ้า รู้สึกไม่เชื่อ ในข้อกล่าวหานี้

"น้อยลูกรักของแม่
ลูกไม่ได้ลงมากราบศพคุณพ่อ ก็อย่าเสียใจ จงตั้งใจเรียนหนังสืออยู่กับอาต่อไป ขณะนี้บ้านเรา ไม่มีความสงบ เรียบร้อยเหมือนแต่ก่อน ผู้ก่อการร้ายชุกชุม ลูกไม่กลับมารับรู้เรื่องอะไรได้นั้นดีแล้ว และไม่ต้องห่วงแม่กับพี่นิดหรอกนะ ถึงขาดพ่อ แม่กับพี่นิด ก็ยังช่วยเหลือตัวเองได้ คงไม่ถึงกับเดือดร้อน ขอเพียงให้ลูก เรียนหนังสือเก่งๆ ตามที่พ่อตั้งใจไว้ แม่ก็พอใจแล้ว

รักและคิดถึงลูกมาก
แม่

เป็นจดหมายข้อความสั้นๆ ที่แม่ฝากอาแก้วมาให้ข้าพเจ้า แม่ไม่เคยเขียนจดหมายพรรณนาความยาวๆ เป็นอย่างนี้ มาแต่ไหนแต่ไร

และแล้วทุกอย่างก็กระจ่างขึ้นมา เมื่ออาแก้วลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้ข้าพเจ้าฟังอย่างละเอียด โดยเรื่องมีอยู่ว่า มีเจ้าหน้าที่แต่งเครื่องแบบทหาร มาขอตรวจค้นบ้าน อ้างว่า มีคนแจ้งว่า พ่อเป็นสาย ให้ผู้ก่อการร้าย ผกค. เพราะขณะนั้น ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ มีอยู่มากในพื้นที่ มีการปะทะกัน ระหว่าง ฝ่ายทหาร ของบ้านเมือง กับผู้ก่อการร้าย แทบทุกวัน เมื่อทางฝ่ายเจ้าหน้าที่อ้างว่า ได้รับแจ้ง อย่างนั้น พ่อก็ยินดีให้ตรวจค้น เพราะพ่อถือความบริสุทธิ์ใจ และไม่เคยติดต่อ กับผู้ก่อการร้าย คนใด มาก่อน จึงไม่มีความจำเป็น ต้องหวงห้าม ทางฝ่ายที่อ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจค้นโดยละเอียด ก็ไม่พบว่า มีอะไรผิดปกติ แต่พอเข้าไปตรวจค้นในห้องนอน ของพี่นิด พบลัทธิการปกครอง ทั้งมาร์กซ์ และเหมา ซึ่งพี่นิด ชอบหามาอ่าน ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังอยู่ที่บ้าน มาก่อนแล้ว พ่อพยายามชี้แจง ให้เจ้าหน้าที่ รับฟัง อย่างละเอียด แต่ก็ไม่เป็นผล และในที่สุด เจ้าหน้าที่ ก็แจ้งข้อหาคอมมิวนิสต์ และควบคุม ตัวพ่อไป ซึ่งวันนั้น กว่าที่เจ้าหน้าที่จะตรวจค้นเสร็จ ก็ตกเป็นเวลาค่ำมืด เจ้าหน้าที่ เดินควบคุมตัวพ่อ เดินลัดป่า ลัดทุ่งไปในคืนนั้น พอตกตอนเช้า ก็มีคนพบศพพ่อ ที่ถูกมัดมือ ขัดหลังนอนคว่ำหน้า ขาดใจตาย อยู่ที่ชายป่า

เมื่อเหตุการณ์แปรไปเช่นนี้ แม่และพี่นิดเสียใจจนสุดที่จะกล่าว เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็คิดไม่ถึงว่า มันจะเกิดขึ้นได้ เพียงแค่เรื่องเอกสารหนังสือ เกี่ยวกับลัทธิเท่านั้น พ่อก็จบชีวิตอย่างน่าอนาถ ทั้งที่พ่อ พยายามชี้แจง ความเป็นจริง แต่เหตุผลก็ฟังไม่ขึ้น เพราะสมัยนั้น ทางการประกาศห้าม ไม่ให้ประชาชน ศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับลัทธิเหล่านี้ จึงกลายเป็นว่า เป็นการกล่าวแก้ตัวของพ่อ ในขณะนั้น เท่านั้น ส่วนพี่นิด ก็ตกอยู่ในสภาวะ หมดกำลังใจ ที่จะอดทนต่อความเหี้ยมโหด ในครั้งนี้ได้ เพราะพี่นิด ไม่ต่างอะไรกับ การเป็นตัวการ ที่ทำให้พ่อต้องรับเคราะห์ในครั้งนี้ พ่อตายอย่างไร้คุณค่า ไร้ผู้ยกย่อง สรรเสริญ ไม่มีใครกล้า ที่จะถามความเป็นไป เพราะใครๆ ก็กลัวว่า ภัยร้ายอย่างนี้ จะมาถึงตัวเอง ทุกคน ล้วนแต่ปิดปากเงียบ เมื่อเป็นอย่างนี้ ไม่นานนัก พี่นิดก็ผันชีวิตตนเอง เดินทางเข้าป่า ร่วมขบวนการ ผู้ก่อการร้าย ผกค. เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ในที่สุด ช่วงแรกๆ ก็เข้าออก ระหว่างป่ากับบ้าน กลางวันก็อยู่บ้าน เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป กลางคืนเข้าป่า จับอาวุธ แอบซุ่มโจมตี ฝ่ายเจ้าหน้าที่ บ้านเมือง เป็นอย่างนี้อยู่หลายเดือน จนทางการเริ่มมีความสงสัย พี่นิดต้องระวังตัวมากขึ้น และสุดท้าย พี่นิด ก็มีจดหมาย มาถึงอาแก้ว ให้ลงไปรับแม่ ขึ้นมาโคราชสักพัก เพราะเหตุการณ์ทางบ้าน ไม่เป็นที่น่าไว้ใจ

ส่วนแม่ก็เอาแต่พะว้าพะวัง ไม่รู้จะขึ้นมาดีหรือจะอยู่โคราช เพราะแม่ทราบแล้วว่า พี่นิดเข้าร่วม ขบวนการ กับผู้ก่อการร้าย ผกค. อย่างเต็มตัว แม่ว้าวุ่น ห่วงหน้าพะวงหลัง ทำให้วันนั้น แม่ปอกมะพร้าว เกิดพลาด เหล็กปอกมะพร้าว ตำฝ่ามือ เป็นแผลเหวอะหวะ นอนเจ็บอยู่หลายวัน ไม่ได้ไปหาหมอ จนในที่สุด ฝ่ามือ และแขนบวมมาก และมีอาการเกร็ง หลังแข็ง ญาติและเพื่อนบ้านใกล้เคียง ต้องช่วยกัน นำส่ง โรงพยาบาล แต่หมอก็ช่วยอะไรไม่ได้ หมอส่งแม่เข้าไปอยู่ในห้องมืด ได้คืนเดียว แม่ก็เสียชีวิต เพราะเชื้อ บาดทะยัก

ตอนที่แม่เข้าโรงพยาบาล ก็มีโทรเลขด่วน มาถึงอาแก้ว ว่าแม่ป่วยหนัก อาแก้วก็รีบเก็บข้าวของ ส่วนตัว เล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ให้ข้าพเจ้าไปส่ง ที่สถานีรถไฟ เพื่อลงไปเยี่ยม และอาแก้วกะว่า เมื่อแม่หายป่วยแล้ว ก็จะรับแม่ขึ้นมา อยู่ที่โคราชด้วยกัน หลังจากส่งอาแก้ว ขึ้นรถไฟตอนสองทุ่มแล้ว ข้าพเจ้าก็กลับมานอน พอรุ่งเช้า ก็ได้รับโทรเลขฉบับใหม่ ซึ่งแจ้งข่าวร้าย ถึงการสูญเสียบุพการี คนที่สอง ของข้าพเจ้า อย่างไม่มี วันกลับ อีกคน

"แก้ว ลงมาบ้านด่วน น้าพรเสียชีวิตแล้ว...อำนาจ"

ตอนนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการร้องไห้โฮ สุดที่จะอดกลั้น จะทำอย่างไร อาแก้วลงไปก่อนแล้ว แต่ยังอยู่ ในระหว่าง การเดินทาง อาปอง ก็ยังไม่ทันกลับ มาจากงาน อาแก้วลงไปเที่ยวนี้ ไม่ได้แจ้งให้อาปอง ทราบล่วงหน้า เหมือนเมื่อคราวก่อน เพียงแต่สั่งคำ ไว้เท่านั้น ความเข้าใจของอากับข้าพเจ้าในตอนแรก ก็เข้าใจแต่เพียงว่า แม่คงจะเจ็บป่วย ธรรมดา เข้าโรงพยาบาล รักษาตัวไม่กี่วัน ก็คงหาย แต่ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นเรื่องสูญเสีย ครั้งยิ่งใหญ่อีกหน จนข้าพเจ้า ต้องนั่งร้องไห้ รำพึงรำพันเหมือนกับคนเสียสติ เวรกรรมอะไรกันนักหนา พ่อตาย ก็ไม่ได้เห็นหน้า แม่ตายก็ไม่ได้เห็นหน้าอีก ไม่ได้พยาบาล ไม่ได้ดูใจ และสุดท้าย แม้แต่ศพของท่าน ก็ไม่ได้ลงไปเผา

ข่าวว่าตอนแม่ป่วย พี่นิดก็เข้าป่าออกมาไม่ได้ งานศพแม่ก็จัดตามยถากรรม ได้สามวันแล้วเผา เพราะขาด เจ้าภาพ ที่เป็นกำลังหลัก เมื่อเสร็จสิ้น จากงานศพแม่แล้ว อาแก้วจัดการเรื่อง ข้าวของต่างๆ ไว้กับญาติ พี่น้อง ผู้อยู่ใกล้ชิด แล้วก็เดินทางกลับบ้าน อย่างเศร้าสร้อย

เมื่อสิ้นพ่อสิ้นแม่เหมือนแพแตก พี่นิดเดินทางเข้าป่าอย่างบ้าคลั่ง คอยดักซุ่มโจมตี กองกำลัง ฝ่ายบ้านเมือง บุกเข้าเผาทำลายสถานที่ราชการ หลายแห่งเสียหาย จนเป็นข่าว อยู่ไม่เว้นแต่ละวัน รัฐบาล สมัยนั้น ต้องเร่งส่งกำลัง เข้าปราบปราม ผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ อย่างจริงจัง จนกลายเป็นข่าวใหญ่ ครึกโครม เมื่อฝ่ายกำลังทหาร บุกถล่มยึดค่าย ผกค. ได้สำเร็จ ผู้ก่อการร้าย ถูกสังหารตายคาค่าย หลายสิบศพ และ ยังบาดเจ็บ หนีเข้าป่า อีกจำนวนหนึ่ง ส่วนศพผู้ก่อการร้าย เป็นใครบ้างนั้น ไม่อาจ จะทราบได้ เพราะได้ ถูกเผาไปแล้ว พร้อมค่าย

จากเหตุการณ์คราวนั้นแล้ว ข่าวคราวของผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ก็ค่อยๆ เงียบหายไป และก็ไม่ได้มีข่าว พี่นิดอีกเลย เหลือเพียงรอยกรรม ที่ข้าพเจ้าเก็บบันทึกไว้ในจิตใจ แม้นานวันเท่าไร ก็ไม่เคยลืมเลือน ขอให้บุพการี ของข้าพเจ้า จงไปสู่สุคติ ตลอดชีวิตนี้ ไม่มีโอกาสได้พบกับท่านอีกแล้ว นอกจากในฝัน บางคืนเท่านั้น

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๓ เมษายน ๒๕๔๖)