เวทีความคิด
- เสฏฐชน -
เนื่องแต่ความรัก
เดือนแห่งความรักเวียนกลับมาอีกครั้งตามที่สมมุติกัน
ไม่ว่าจะเป็นเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่แล้ว ปีนี้ ปีต่อๆ ไป ยังคง เป็น
วันสำคัญในความรู้สึกของคนที่ยึดถือ นำมาระลึกถึง ในเรื่อง
"ว่าด้วยปฏิสัมพันธ์" คุณไชย ณ พล กล่าวไว้ว่า"คน
โง่ชอบ เอาเปรียบคนอื่น จึงได้ประโยชน์ตนสั้นๆ แต่เสียความรัก และความเชื่อใจ
คนฉลาด ชอบยอมเสียเปรียบคนอื่น จึงได้ ความรัก และความศรัทธา แต่มักพบความไม่เป็นธรรม
และ ขมขื่น ในใจตน คนเจ้าปัญญา ชอบบริหารประโยชน์ สุขทุก ฝ่าย จึงเป็นสุขใจ
ได้ความรัก ความศรัทธา และ สถาปนา ระบบประโยชน์อันยั่งยืน"
รัฐบาลในวันนี้ (ปี ๒๕๔๖) ประกาศสงครามที่จะปราบปรามวงจรค้าขาย-เสพยาบ้า
ในเวลาเดียวกัน กับที่สหรัฐ ก็ กำลัง ประกาศสงครามกับอิรัก ทั้งๆ ที่สหรัฐเอง
ก็ใช่จะปลอดจาก กระบวนการนี้ แม้ประเทศ ใกล้เคียงกับไทยเอง ก็ตกอยู่ใน
ภาวะเดียวกัน ไม่มีประเทศใดเลย จะไม่มีการผลิตขาย เสพ เกี่ยวข้อง กับเรื่องนี้
เยาวชน ผู้ใหญ่ของทุกประเทศ ล้วนตก อยู่ในฐานะเดียวกัน ก็น่าแปลกใจว่า
ในเมื่อยังมี งานสำคัญ จ่อหน้ารออยู่แล้ว ไฉนยังหาเรื่องลำบากลำบน
ระเบิดทางไป ก่อวินาศกรรม ข้ามแดน ไปเบียดเบียน ประเทศอื่นเขาอีก ทำไมไม่หันมาทำงาน
ที่คั่งค้าง ที่จำเป็น ที่ดีกว่า ไม่รู้ว่าเขาคิด กันอย่างไร? เพื่อหวังประโยชน์อื่น
แตกต่างจากที่เราคิด กระนั้นหรือ?
ขณะเดียวกันที่ไทยกับเขมรก็เริ่มมีความขัดแย้ง
จนต้องปิดด่านชายแดน ทำให้คนระดับ รากหญ้า ที่ทำมา ค้าขาย หาเลี้ยงชีวิตทั้งสองฝ่าย
ต้องแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ เพราะติดขัด ในการสัญจร ไปมา ทำมาหากิน ระหว่างกันและกัน
จะว่า ไทยวอดวาย เขมรก็เสียหาย ไม่แพ้กัน เมื่อต้องเป็น ลูกหนี้ เศรษฐกิจ
หลักพันล้าน ในขณะที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขมร ไม่ต่างจาก "น้องเลี้ยง"
ที่ไทยช่วยอุ้มชู ช่วยเหลืออยู่
ฝ่ายไทยเองก็เตรียมรับมือกับปัญหาใหม่
หลังจากปิดชายแดนด้านที่มีตัวชูโรงบ่อนการพนัน ทำให้นักเล่น คนไทยดิ้นรน
ไปเล่นบ่อนใหม่ ทางปักษ์ใต้ ในประเทศพม่าแทน ซึ่งค่าใช้จ่าย การเดินทาง
ค่าโสหุ้ยต่างๆ ก็เพิ่มขึ้น แต่นักเล่นพนัน เหล่านั้น ไม่ได้คิดถึง
ไม่ได้คิดถึงแม้ความเสี่ยงภัยใดๆ ไม่ว่าจะเป็น ภัยการเมือง ภัยอาชญากรรม
ภัยสังคม ภัยเชื้อโรค ฯลฯ เพราะภัยอะไร ก็ไม่เดือดร้อนใจเท่ากับ "กิเลสภัย"
ที่กลุ้มรุม ทำให้ "หยุดเล่นพนัน" ไม่ได้ พวกนี้จึงเต็มใจที่
จะขับรถข้ามภาคไกลๆ ออกไปอีก เท่าใดก็ได้ เพื่อไปให้ถึง บ่อนการพนัน
แห่งใหม่ ที่จะเปิดให้เล่น แทนบ่อนชายแดนเขมร
นับวันสังคมไทยยิ่งต้องพัวพันกับเรื่องพนันขันต่อมากขึ้น
ไม่ว่าจะแฝงมาในรูปไหน ใช่แต่เพียงไพ่ โป ไฮโล เต๋า แม้หวย เบอร์ ล็อตเตอรี่
โดยเฉพาะเกมต่างๆ ที่จัดให้คนดู มีส่วนได้เงินก้อนใหญ่ ในเวลาอันสั้น
แม้รายการนั้นๆ หรือคนดู จะมีเหตุผลเห็นด้วย ว่าได้ฝึกสมอง ได้ของ-เงิน
ฟรีๆ เร็วๆ ได้ความรู้ใหม่ๆ สุดแล้วแต่ จะสรรหามาส่งเสริม เมื่อเจาะเข้าไป
หาแก่นแท้ของเหตุ ที่จัดรายการ ประเภทนี้แล้ว ไม่มีอื่น ไปกว่า ได้เงินเร็วๆ
ได้เงินมากๆ บางคนอาจจะไม่มีโอกาสหาได้ แม้ใช้ เวลาตลอดชีวิต เรื่องทำนองนี้
จึงถูกมองผ่าน ข้อหาว่าเป็นเรื่อง "การพนัน"
บางคนอาจจะคิดเหตุผลปลอบใจตัวเองว่าได้เงินมาจากการร่วมรายการเกมเหล่านี้
เป็นทางหนึ่ง ของที่มา แห่งโชคลาภ ไม่ได้เป็นความผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม
แต่อย่างใด มิหนำซ้ำ มันอาจเป็น "บำเหน็จ" ที่พระเจ้า มอบให้ภายหลัง
ความเหน็ดเหนื่อย ที่ตนทุ่มเทชีวิตมา โดยตลอด ด้วยซ้ำไป
ไม่มีใครคิดหรอกว่าเงิน-ลาภ เหล่านั้น
คือ "เจ้าหนี้ซาตาน" ที่แปลงตัวมาในรูปของ
"เทวทูต" (เทพ กับ ภูต) ที่จะมาจด ขึ้นทะเบียนเขาไว้ล่วงหน้า
ในเมื่อสิ่งที่ได้รับมา เขาย่อมเอาไปแลกเปลี่ยนความสุข ดื่มกิน ได้ทันใจ
ทันทีมองเห็นๆ ต่าง จากสภาพ "นามธรรม"
ที่ต้องใช้ "ญาณปัญญา"
จึงจะเข้าถึง
คนจึงไม่กลัววิถีทางในการแสวงหา
ที่ต้องผจญภัยต่างๆ ความมัน ความสนุกสนาน ความเฮฮา ฯลฯ กลบเกลื่อน
ไปหมดแล้ว ฉะนั้น การพนันด้วยรูปวัตถุอื่นใด ก็ปราศจากความหมาย ในขณะที่คนเอง
ตกอยู่ในการ "พนันชีวิต"
เป็นเดิมพันกัน อยู่แล้ว การพนันรูปอื่น ก็หมดความหมาย
พุทธศาสนากล่าวไว้ว่า "ชีวิตนี้เป็นอยู่ด้วยยาก
ขันธ์เป็นภาระอันหนักที่ต้องคอยบริหารดูแล" รักษา
ขัดสี ฉวี วรรณต่างๆ นานา เพื่อเตือนสติให้คนเห็นทุกข์ ทุกข์ในการต้องประคับประคองมัน
รวมถึงทุกข์ ที่ไร้สาระ อื่นๆ อีกมากมาย ที่คนมีตัณหา เป็นพาหะ ให้สนองมันการเคลื่อนไหว
มีชีวิตของร่างกายคน ล้วนแต่เป็น กิจกรรม ที่สนองกิเลสตัณ หา ทั้งสิ้น
ไม่ว่า เป็น "ตัณหาชั้นเลว" หรือ "ตัณหาชั้นดี"
แค่ไหน ก็ตาม คนก็ไม่หลุดพ้น ไปจากการ "แบ่งชั้นวรรณะของ
กิเลส ตัณหา" อยู่นั่นเอง
แม้สิ่งที่เรียกว่า "ความรัก"
ที่คนสื่อแสดงออกไปให้แก่กันและกัน ก็ยังกลายเป็นตัวปัญหาขึ้นได้เช่น
ผู้ค้ายาบ้า เฉลยกับผู้ปราบปรามว่า
เขาทำหน้าที่รับผิดชอบการยังชีพของคนในครอบครัว เขาต้องเลี้ยงดู คนอื่น
เขาย่อมจะดีกว่า คนที่ไม่รับผิดชอบ ครอบครัว แม้เขาจะค้ายาบ้า
หรือโสเภณีก็ให้เหตุผลเดียวกัน เพื่อความมีกินมีใช้
แสดงความกตัญญูกตเวที ต่อพ่อแม่ ช่วยกันเลี้ยงดูพี่ๆ น้องๆ ยังดีกว่าที่จะปล้นเขากิน
เมื่อถูกศอกกลับด้วยข้อมูลจริงอีกด้านหนึ่ง
ที่ยกขึ้นมาเปรียบกับสิ่งที่เลวกว่า ทำให้ต้องอึ้งไป เหมือนกัน ในเมื่อ
ผู้กระทำการนั้น ไม่อาจเขยิบอาชีพ ให้ดีขึ้นไปกว่า ที่ทำอยู่ได้ ความจำนน
จำยอมรับ ผสมกับ ความเห็นใจ มักก่อตัวร่วมกัน ใน ความรู้สึก อาจแปรสภาพ
กลายเป็นปัญหา เพิ่มขึ้น
การสั่งสมตัวของเหตุผลนานาประการจากปัญหาทุกเรื่อง
จึงกลายเป็นปมหนัก ยากเกินที่ ผู้บริหาร บ้านเมือง จะเข้าไป จัดการได้ทั้งหมด
จนสะท้อนกลับมา ที่ตัวบุคคลในที่สุดว่า ปัญหาต่าง เหล่านั้น เกิดมาตั้งแต่
"คนไม่มีคุณภาพ" ไม่ว่าจะเป็น คนของรัฐ หรือตัวประชาชนเอง
กระทั่งมีผู้กล่าวว่า "เมืองไทยนั้น อะไรๆ ก็ดีอยู่หรอกๆ เสียแต่มีคนไทย"
เท่านั้นเอง
จากข้อมูลที่ได้รับจากการอบรมลูกหนี้
ธ.ก.ส. ทุกภาคของประเทศไทย ไม่มีรุ่นไหนเลย ที่ผู้เข้าอบรม ไม่เล่นการพนัน
โดยเฉพาะ หวยใต้ดิน รวมถึงอบายมุข สิ่งเสพติดอื่นด้วยๆ แม้ไม่ใช่ยาบ้า
ยาอี โคเคน เฮโรอีน แต่การใช้เงินไปกับ การซื้อ สิ่งเสพติด มาบริโภค
เป็นหนทางหนึ่ง ที่ทำให้เงินไม่พอใช้ สุขภาพ ร่างกาย อ่อนแอ คุณภาพคนตกต่ำ
ไม่ว่าจะยืมเงิน จากแหล่งไหน มากู้สถานะ ก็ไม่อาจฟื้นฟู ในเวลา อันรวดเร็วได้
เพราะเกษตรกรเอง ก็อ่อนแอเกินกว่า ที่จะแก้ปัญหา เรื่องนี้ด้วย วิธีประหยัด
มักจะมุ่ง ไปทิศทาง มองหาประโยชน์ด้วยวิธีอื่นๆ ที่ก่อหนี้เพิ่มดอกเบี้ย
เพิ่มค่าใช้จ่าย มากกว่า โดยเฉพาะ เกษตรกรยุคนี้ ขาดความแข็งแรงทางใจ
ขาดความขยัน ในการงาน ขาดความอดทน ที่จะตากแดด อาบเหงื่อ ต่างน้ำ อิทธิพลจากสื่อโฆษณา
มีอำนาจผลักดัน ให้เกษตรกร ต้องการซื้อมากขึ้น ต้องการเงิน ในการขาย
ผลผลิตมากขึ้น จะโดยวิธีไม่ ่ซื่อตรงต่อลูกค้าก็ได้ ผลสืบเนื่องโยงใยถึง
สินค้าเกษตร ที่ส่งออก ทำให้ประเทศคู่ค้า ไม่ไว้วางใจ การผสมปนแปลงพืชไร่
ผลไม้ ผักในรูปของสารพิษ สารปนเปื้อน ผนวกกับช่องว่าง ระหว่างคุณภาพ
และราคาไม่สมดุล ไม่อาจทำให้เกษตรกร สำเร็จประโยชน์ดังที่หวัง
เพราะแต่ละฝ่ายต่างโทษซึ่งกันและกัน
น้อยรายที่จะหันมารับผิด สำนึกผิดในขณะนั้น ตอนต้นๆ เริ่มต้น ตั้งแต่
ผู้ปลูก ผู้ลำเลียงขนส่ง ผู้ขายต่อ ผู้ซื้อ ผู้บริโภค ที่เพ่งเล็งไปที่
จุดเดียวกันคือ "รักษา ผลประโยชน์ ของตัว" จึงทำให้ ไม่มีใครคิด
เสียสละ ปัญหาจึงทบทวี
แม้การยื่นเรื่องร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐ
ก็เพื่อป้องกันผลประโยชน์ส่วนของตัวเอง บางคน แม้จะมารับ การอบรมแล้ว
แต่ก็ไม่ได้เอาวิธีที่ผู้ให้การอบรมนั้น ไปดำเนินการทำจริงๆ แก้ไขเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรม เก่าๆ วิธีการเก่าๆ ทั้งๆ ที่วัตถุดิบ ต่างๆ ก็มีอยู่แล้ว
เพียงความ "ไม่กล้า" ทดลองสิ่งใหม่ ไม่กล้าทำ สิ่งที่ผิดแผก
จากชาวบ้านอื่นๆ ที่ไม่ได้รับ การอบรม เหมือนๆกัน ไม่กล้าที่จะ "รอ"
เวลากับ การปรับ สภาพดิน รวมถึง องค์ประกอบอื่นๆ อีกนานาประการ สุดท้าย
เขาก็ยินดี ที่จะเป็นลูกหนี้ ธ.ก.ส.เหมือนเดิม
บางแห่งธรรมชาติให้ต้นทุนสำหรับทดสอบความสามารถของมนุษย์มากมาย
แต่คนเอง เมินเฉย ต้องการอยู่ สบายๆ ว่างๆ มากกว่า ทั้งๆ รู้อยู่ว่า
ดอกเบี้ยนั้น เจริญงอกงาม ยิ่งกว่าดอกใดๆ ทุกชนิด มิหนำซ้ำ ยังเถียงข้างๆ
คูๆ ด้วยว่า ถ้า ไม่เป็นหนี้ แสดงว่าเราไม่มีคนเชื่อถือ ที่เขาใช้ภาษาโก้ๆ
ว่า "ไม่มีเครดิต" เขาลืมความอาย ยามถูกทวงหนี้ เขาลืมศักดิ์ศรี
ยามถูกทวงถาม จึงไม่พยายามที่จะล้าง ใช้หนี้ให้เร็วที่สุด มากกว่าการกู้ใหม่
เพื่อนำมาปะ ใช้หนี้เก่า ที่ย่ำแย่กว่านี้ ที่เขาดื้อ เหนียวหนี้ คือมีแต่ไม่ใช้
ก็มีไม่น้อย แล้วเมื่อไหร่ จะหมดหนี้
ภาวะผันผวนทางธุรกิจต่างๆ หลังเกิดกรณีเศรษฐกิจฟองสบู่แตกเป็นต้นมา
ค่อยๆลืมเลือน หายไปจาก "ความกระตือรือร้น" แรกๆที่เกิดเรื่องใหม่ๆ
เนื่องจากมีเหตุการณ์อื่นๆ แทรกซ้อนขึ้นทุกวัน คนไทยลืมง่าย ใจง่าย
จึงไม่ค่อยได้รับ ประโยชน์ จากประสบการณ์เท่าไหร่ แม้ปากจะพูดว่า สุขหรือทุกข์
ปัญหาน้อยใหญ่ ล้วนคือประสบการณ์ ชีวิต เป็นเครื่อง สร้างวีรบุรุษ
สุดแล้วแต่ จะเพ้อเจ้อกันไป จริงๆ แล้วคนไทย
ก็ยังจมอยู่กับ ความประมาทมัวเมา ในการแสวงหา ความเสพความอร่อย ในรสชาติโลกีย์
อยู่เช่นเดิม
รอยร้าวที่เกิดขึ้นระหว่างเขมรกับไทย
ใช่ว่าไทยหรือเขมรจะเป็นฝ่ายได้กำไร ตราบที่ความสูญเสีย เกิดขึ้น ทั้งสองฝ่าย
พ่อค้าแม่ขายไทยชายแดน ก็เร่งให้เปิดด่าน คนเขมรก็ให้เปิดด่าน ไม่ต้องการ
ให้การไปมา หาสู่กัน ระหว่างคนสองชาติ ยืดเยื้อนานเกินไป ในเมื่อสามีภรรยา
ไทยผสมเขมร ก็มีไม่น้อยคู่ ครอบครัว ที่เคยไปๆ มาๆ กันได้ต้องหยุดชะงัก
ไม่ใช่ เรื่องที่ โสภานัก รัฐบาลต้องแก้ปมนี้ ด้วยการกำหนด เวลาเปิดด่าน
และไม่ให้พักค้าง ยกเว้นเรื่องด้านบ่อนกาสิโน ซึ่งก็เป็นผลดี ในการตรึง
กติกาเอาไว้ นักการพนัน จะไปเล่นได้ยากยิ่งขึ้น มนุษยธรรมยังคงเป็นตัวเชื่อมที่ดีของคนใน
สังคมทุก ชาติเผ่าพันธุ์ ทุกครั้งที่เกิด เรื่องขัดแย้งกัน
แต่ถึงกระนั้น ก็น้อยคน ที่จะหันมาใส่ใจ ในเรื่องนี้ ดังที่หน่วยราช
การพยายาม ประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการจัดงาน "วันมาฆบูชา"
โน้มน้อมคน ให้เห็นความสำคัญ ในวันมาฆะ มากกว่า วันวาเลนไทน์
ด้วยเหตุผลว่า เป็นวันแบบไทยๆ มากกว่า แต่ก็มีผู้แย้งว่า วันมาฆบูชา
ก็เป็นวันต่างชาติ เพราะมาฆะ ครั้งแรกนั้น เป็นของ คนอินเดีย เช่นเดียวกับวันวาเลนไทน์
ที่เป็นวัน ต่างชาติฝรั่ง โดยเขาไม่คิด รายละเอียด ให้ลึกซึ้งลงไปว่า
อะไร? จะเป็นผลพวงติดตามมา ระหว่าง การให้ความสำคัญ กับวันสองวันนี้
ในเมื่อมีสถิติตัวเลข ยืนยันว่า ในวันวาเลนไทน์นั้น เกิดการกระทำ ความผิดทางเพศ
มากขึ้น ส่วนวันมาฆะฯ เป็นวันที่คน จะต้องมาทำความดี กันมากขึ้น ผลลัพธ์ของวัน
ทั้งสองนี้ ย่อมแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิง แต่เพราะความเข้าใจ หลงยึดความรัก
(ใคร่) มากกว่า ความรัก (เมตตา) จึงทำให้ต้องทำสิ่งที่ ี่สนองตอบ แตกต่างกัน
ลองคิดดูว่าหากมีคนสองคนกระทำการดังต่อไปนี้
คือคนหนึ่งยึดวันวาเลนไทน์ผิดๆ ไปกระทำผิด ทางเพศ แล้วไม่รับผิดชอบ
จนทำให้อีกฝ่าย ต้องไปทำแท้ง หรือเอาเด็กไปทิ้งขว้าง ฆ่า กับอีกฝ่ายหนึ่ง
ถือวัน มาฆบูชา เอาเด็กกำพร้า มาเลี้ยงดู หรือให้ทานกับผู้ตกทุกข์ได้ยาก
กรรมทั้งสอง ที่แตกต่างกัน มาจาก แรงผลักดัน
ของคุณค่าที่ต่างกัน ใช่ หรือไม่? การย้อนแย้งเพียงเหตุผลว่า
ล้วนเป็นวันของ ต่างประเทศ เพียงเพื่อ ตัดรอน ความคิดแบบไทย อย่างไหนควรจะได้รับ
การยอมรับกว่ากัน
ความรักของเพื่อนมนุษย์ที่จะมีทิศทางบริสุทธิ์
เกิดขึ้นไม่ง่ายนัก ตราบเท่าที่คนยังเสียดาย รสชาติของชีวิต ที่มีทิศทาง
หลงความเสพ เพลิดเพลิน คลั่งไคล้มากกว่า การใช้สติสัมปชัญญะ ปัญญา
ควบคู่กับศีลธรรม มนุษยธรรม ผู้ที่รู้จักใคร่ครวญแยกแยะ ความดีความไม่ดี
ที่มีขั้นตอนอยู่ อย่างมากมาย จึงต้องมี ความกล้าหาญ ทางจริยธรรม เพียงพอ
ในการ ผดุงความจริงเชิงนี้ไว้ ซึ่งก็กำลัง หายากขึ้นทุกวัน
คนฉลาดน้อยเมื่อเห็นอะไรที่เขาทำสืบๆกันมา
ก็ทำสืบๆ กันไป โดยไม่ได้ประเมินคุณค่าใดๆ มักดักดาน ในสภาพเดิมๆ จนกลายเป็นทาสวัฒนธรรม
ส่วนคนฉลาดมาก เห็นอะไรที่ทำสืบๆ กันมา ก็ยังไม่ทำสืบๆ กันไป แต่ทำการประเมิน
ตรวจสอบคุณค่าก่อน จึงจะทำสืบๆ กันต่อไป จึงได้ประโยชน์ชัด ด้วยการเป็นคน
คัดเลือกวัฒนธรรม คนจึงเป็นทั้ง ผู้สร้างกุศลด้านดี ด้านเจริญ และ
สร้างอกุศลด้านร้าย ด้านต่ำ แม้ในเรื่องความรัก ที่คนส่วนใหญ่ ยังต้องพัวพันกับ
เรื่องนี้อยู่ ผู้รักตนย่อมต้องกล้าสละตน
เพื่อคนอื่น ผู้รักคนอื่น ย่อมกล้าสละตน เพื่อรักษาความกล้าเอาไว้
คนเป็นสัตวโลกชนิดเดียวเท่านั้นที่มีประสิทธิภาพในการใช้มันสมอง
ความคิด ความรู้สึก ประกอบการ ก่อนการกระทำ อะไรลงไป นอกเหนือจากสัญชาตญาณ
ตามประสาสัตวโลก ทั่วไป ภายใต้การบงการ ของธรรมชาติ ซึ่งมักจะเป็น
ฝ่ายต่ำ การยับยั้งชั่งใจ ควรซ้อนเชิงอยู่กับแรงผลักดัน ของกิเลสตัณหาด้วย
ความรักเพื่อนร่วมโลก
รักเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น น่าจะเป็นความรักสูงสุด
ที่คนพึง สร้างให้เกิดขึ้น ในใจของตน ฉะนั้น คนจึงควรจะฝึกสละ ความรักของตน
เพื่อสนองความรัก เพื่อนมนุษย์ กันเอง ตราบเท่าที่คนยังต้องตกอยู่
ภายใต้นามธรรม ที่เรียกว่า "ความรัก" นี้อยู่
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๕๔ พฤษภาคม ๒๕๔๖)
|