เมตตา สยบโกรธ เกลียดชัง
ฤทธิ์ขมัง สงบ สงครามได้
อารมณ์ร้าย ลาโรง ล้มละลาย
อารีหลาย โอบเอื้อ จุนเจือแทน
เมตตายุติสงคราม
(อุรคชาดก)
พระเจ้าโกศลมีมหาอำมาตย์อยู่สองคน
ซึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้าบังคับบัญชา
ทหารคนสนิท ของพระองค์ แต่ทั้งสอง ได้พบปะพูดคุยกันทีไร
เป็นต้องทำสงครามอารมณ์ใส่กัน ทะเลาะบาดหมางกันทุกทีไป แล้วก็
ผูกเวรกันมา เป็นเวลาเนิ่นนาน
จนกระทั่งเรื่องที่ทั้งสองจองเวรต่อกัน
เป็นที่อื้อฉาวรู้กันทั่วทั้งกรุงสาวัตถี แม้แต่พระราชา หรือญาติสนิท
มิตรสหาย ก็ไม่สามารถ ทำให้มหาอำมาตย์ทั้งสอง เกิดความปรองดอง สามัคคีกันได้เลย
วันหนึ่ง....ในเวลาใกล้รุ่ง
พระศาสดาทรงตรวจดูเผ่าพันธุ์มนุษย์
ผู้ที่ควรแนะนำให้รู้แจ้งได้ ทรงเล็งเห็นอุปนิสัย ที่จะได้มรรคผล ของมหาอำมาตย์ทั้งสอง
จึงเสด็จเข้าสู่กรุงสาวัตถี ไปบิณฑบาตเพียงลำพัง พระองค์เดียวเท่านั้น
เสด็จไปประทับยืนอยู่
ที่หน้าประตูเรือนของมหาอำมาตย์คนหนึ่ง พอเขารู้ ก็รีบออกมารับบาตร
จากพระศาสดา แล้วนิมนต์ให้เสด็จ เข้าไปภายในเรือน จัดแจงปูอาสนะ (ที่นั่ง)
ให้ประทับ ด้วยความเคารพ เลื่อมใสอย่างยิ่ง
เมื่อพระศาสดาประทับนั่งเรียบร้อย
ทรงปฏิสันถาร (ทักทาย) มหาอำมาตย์ แล้วตรัสแสดงผลบุญ ผลประโยชน์ แห่งการเจริญเมตต
าแก่มหาอำมาตย์นั้นว่า
"ดูก่อนมหาอำมาตย์ เมื่อเมตตาเจโตวิมุติ
(จิตหลุดพ้นกิเลส ทุกข์ด้วยอำนาจ แห่งการเมตตา) อันบุคคลเสพแล้ว
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน (เครื่องพาไป) ทำให้เป็นที่ตั้ง
ให้ตั้งมั่น โดยลำดับ สั่งสมดีแล้ว ตั้งต้นด้วยดีแล้ว พึงหวังผลบุญผลประโยชน์
๑๑ ประการนี้ คือ
๑.ย่อมหลับเป็นสุข
๒.ย่อมตื่นเป็นสุข
๓.ย่อมไม่ฝันลามก
๔.เป็นที่รักของมนุษย์ (คนใจประเสริฐ)ทั้งหลาย
๕.เป็นที่รักของอมนุษย์ (คนใจต่ำ) ทั้งหลาย
๖.เทวดา (ผู้มีใจสูง) ย่อมรักษา
๗.ไฟ ยาพิษ ของมีคม ย่อมไม่กล้ำกรายได้
๘.จิตย่อมตั้งมั่นโดยรวดเร็ว
๙.สีหน้าย่อมผ่องใส
๑๐.เป็นผู้ไม่หลงกระทำความตาย (แก่ตนและผู้อื่น)
๑๑.เมื่อไม่รู้แจ้งแทงตลอดคุณอันยิ่ง ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก
(โลกของผู้มีคุณความดีอันยิ่งใหญ่คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา)"
มหาอำมาตย์น้อมจิตตั้งใจฟังด้วยศรัทธา
จิตนุ่มนวล เหมาะควรแก่การดัดได้แล้ว ดังนั้น พระศาสดา จึงทรงประกาศ
อริยสัจให้ฟัง ในเวลาจบ อริยสัจแล้ว เขาก็ตั้งอยู่ใน โสดาปัตติผลทันที
พระศาสดาทรงทราบว่า เขาบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว
จึงทรงลุกขึ้น ให้เขาถือบาตร ติดตามข้างหลัง แล้วเสด็จไป
ยังประตูเรือน ของมหาอำมาตย์ อีกคนหนึ่ง มหาอำมาตย์นั้น ก็รีบออกมาถวายบังคม
พระศาสดา แล้วกราบทูลว่า
"นิมนต์ขอเชิญเสด็จเข้าไปในเรือนเถิด
พระเจ้าข้า"
พระศาสดาจึงทรงเข้าไปในเรือน พร้อมกับมหาอำมาตย์ที่ถือบาตรติดตามมา
ครั้นพระศาสดา ทรงสนทนาสักครู่ ก็ได้ตรัสพรรณนา คุณของการเจริญเมตตา
๑๑ ประการให้เขาฟัง แล้วทรงประกาศ อริยสัจ เมื่อแสดงธรรมจบ มหาอำมาตย์นั้น
ก็บรรลุธรรมเป็น พระโสดาบันเช่นกัน
เมื่อมหาอำมาตย์ทั้งสองต่างก็บรรลุโสดาบันด้วยกันแล้ว
ก็ละอายแก่ใจ ในพฤติกรรมเก่าก่อน ที่ทะเลาะ
เบาะแว้งกันมา จึงกล่าวแสดงโทษของตน ขอขมาต่อกันและกันแล้ว ก็มีจิตสมัครสมาน
บันเทิงใจ มีอัธยาศัย เอื้อเฟื้อแก่กัน ในวันนั้นเอง มหาอำมาตย์ทั้งสอง
จึงได้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน อย่างสนิทสนม ต่อหน้าพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในเวลาเย็นวันนั้น......ที่ธรรมสภา
เหล่าภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากัน
กล่าวแสดงคุณอันยิ่งของพระศาสดาว่า
"พระศาสดาทรงฝึกคนที่ใครๆ ก็ฝึกไม่ได้
ทรงฝึกมหาอำมาตย์ทั้งสอง ซึ่งวิวาทบาดหมาง กันมาช้านาน เพียงวันเดียว
เท่านั้น ทั้งๆ ที่พระราชา และญาติ สนิทมิตรสหาย ไม่สามารถ ทำให้ทั้งสอง
คืนดีสามัคคีกัน ได้เลย"
พระศาสดาเสด็จมาในเวลานั้นพอดี ได้ทราบเรื่องแล้ว
จึงตรัสว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรามิใช่ทำให้คนทั้งสองนี้สามัคคีกันได้ในบัดนี้เท่านั้น
แม้เมื่อก่อน เราก็ทำให้ สามัคคีกันมาแล้ว"
แล้วทรงนำเรื่องเก่าก่อนมาตรัสเล่า...
****************
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ
อยู่ในกรุงพาราณสี เขาประกาศ ให้มีมหรสพยิ่งใหญ่ ในพระนคร
ในงานนั้น บรรดาพวกมนุษย์ (ผู้มีใจสูง)
เป็นอันมาก และเหล่าเทวดา (ผู้มีใจประเสริฐ) ต่างก็มุ่งมา เที่ยวชม
มหรสพนี้ แม้แต่พญานาคกับพญาครุฑ ซึ่งเป็นศัตรูทำสงคราม
ล้างผลาญกันมา ช้านาน ก็แปลงโฉม มาร่วมสนุก ชมงานมหรสพ
กับเขาด้วย
ณ หน้าโรงมหรสพแห่งหนึ่ง ขณะที่พญาครุฑกำลังยืนดูมหรสพ
การละเล่นอยู่ อย่างสบายอารมณ์ พญานาค ซึ่งจำพญาครุฑไม่ได้ เข้ามายืนดูใกล้ๆ
และด้วยความสนุกสนาน ลืมตัว จึงเอามือไปพาดบ่า ของพญาครุฑไว้
พญาครุฑ คราแรกก็ไม่ถือสา แต่พอนานเข้า
ก็ชักไม่ชอบใจ จึงหันไปจ้องหน้าดูอยู่ ครั้นพิจารณาดูแล้ว
ก็จำได้ว่า เป็นพญานาค ส่วนพญานาค พอถูกมองเขม็ง
ก็ถลึงตาจ้องดูกลับไปบ้าง ก็จำได้ว่า เป็นพญาครุฑ จึงตกใจ กลัวสุดขีด
หวั่นเกรงว่า จะถูกพญาครุฑ จับไปกินเสีย รีบตะลีตะลาน หลบหนี ออกจากพระนคร
ไปทางท่าน้ำทันที พญาครุฑก็ไม่รอช้า ตามติดไล่ล่าไป ตลอดทาง ด้วยหมายใจว่า
ต้องจับกิน พญานาค ให้จงได้
ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำนั้นเอง มีพระดาบสตนหนึ่ง
อาศัยบำเพ็ญพรตอยู่ กำลังเดินไปยังริมน้ำ เพื่ออาบน้ำ ได้ถอดผ้า เปลือกไม้
ที่นุ่งห่มเอาไว้ ที่บนฝั่ง แล้วลงไปอาบน้ำ ชำระกาย
ในเวลานั้นพญานาคหนีมาถึงที่ตรงนี้
ได้เห็นพระดาบส อาบน้ำอยู่ ก็เกิดความคิดขึ้นว่า
"เราจะรอดชีวิตได้ ก็คงต้องอาศัยพระดาบสนี้แล้ว"
จึงรีบหนีเข้าไปหลบซ่อนตัว
อยู่ในผ้าเปลือกไม้นั้น ทำตัวขด ให้เป็นก้อนกลมเล็ก ราวกับก้อนมณี
เลยทีเดียว พญาครุฑติดตามมา เห็นเช่นนั้น แม้อยากจะเข้าไปจับ
พญานาคกิน แต่ด้วยความเคารพ ในผู้ประพฤติพรหมจรรย์ จึงมิได้ทำเช่นนั้น
ได้กล่าวขออนุญาต กับพระดาบสก่อนว่า
"พระคุณเจ้าที่เคารพ ข้าพเจ้ากำลังโหยหิวจัด
ต้องการอาหารประทังชีวิต แต่พญานาค ซึ่งประเสริฐกว่า งูทั้งหลายได้
หนีหลบอยู่ในกองผ้า เปลือกไม้ของท่าน ข้าพเจ้าเคารพยำเกรงในเพศ
ของพระคุณเจ้า ซึ่งเป็นเพศ บริสุทธิ์ประเสริฐนัก ถึงแม้จะหิวจัดปานใด
ก็มิบังอาจลบหลู่ เข้าไปจับพญานาค ในกองผ้า เปลือกไม้นั้น
จึงขอให้ พระคุณเจ้า เอาเฉพาะผ้าเปลือกไม้ไปเถิด ส่วนข้าพเจ้า
จะกินพญานาคตัวนี้ ระงับความหิว"
พระดาบสทั้งๆ ที่ยืนอยู่ในน้ำ ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว
จึงได้กล่าวสรรเสริญ พญาครุฑว่า
"ท่านนั้นเคารพยำเกรงผู้มีเพศประเสริฐ
แม้หิวอยู่ก็ไม่จับพญานาค ในผ้าเปลือกไม้ของเรา ขอท่าน
จงเป็นผู้มีใจ ประเสริฐอันพรหม (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) คุ้มครอง
ให้ดำรงชีพ อยู่สิ้นกาลนาน แล้วขอให้อาหาร อันเป็นทิพย์ (อาหารของเทวดา
อันปราศจากการฆ่า และซากศพ) จงปรากฏ แก่ท่านเถิด"
กล่าวจบคำชื่นชมในความดีของพญาครุฑแล้ว
พระดาบสก็ขึ้นจากน้ำ มานุ่งห่มผ้าเปลือกไม้ แล้วเรียก ให้พญานาค และ
พญาครุฑ ติดตามไปที่อาศรม จากนั้นก็แสดงคุณ
ของการเจริญเมตตา ให้ฟัง ทำให้สัตว์ทั้งสอง เลิกเป็นศัตรูกัน หันมาช่วยเหลือ
สามัคคีกัน
นับตั้งแต่บัดนั้นมา สัตว์ทั้งสอง
จึงสมัครสมาน เบิกบานกัน อยู่ร่วมกัน ด้วยความสุข
พระศาสดาทรงนำชาดกนี้มาแสดงแล้ว
ก็ตรัสว่า
"พญานาคและพญาครุฑในครั้งนั้น ได้มาเป็ นมหาอำมาตย์ทั้งสองนี้
ส่วนพระดาบส ได้มาเป็นเรา ตถาคตเอง"
พระพุทธองค์ตรัส
ธรรมอันเป็นที่ระงับความอาฆาต ๕ ประการนี้คือ เมื่อความอาฆาตบังเกิดขึ้นในบุคคลใด
พึงระงับด้วย...
๑.พึงเจริญเมตตา (คิดช่วยเหลือ) ในบุคคลนั้น
๒.พึงเจริญกรุณา (ลงมือช่วยเหลือ) ในบุคคลนั้น
๓.พึงเจริญอุเบกขา (วางใจเที่ยงธรรมเป็นกลาง) ใน บุคคลนั้น
๔.พึงถึงการไม่นึก ไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น
๕.พึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน ให้มั่นว่า
แม้บุคคลนั้น ก็เป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน ต้องเป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จะกระทำกรรมใดๆ ดีหรือชั่วก็ตาม
ก็จะต้องเป็นทายาท ของกรรมนั้นๆ
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๒ "อาฆาตวินยสูตรที่
๑" ข้อ ๑๖๑)
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๕๔ พฤษภาคม ๒๕๔๖)
|