หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >เราคิดอะไร

" มีบ้างบางเวลาที่ปล่อยวางว่างเสมอ "


การเผชิญกับสภาพสังคมรอบด้านปัจจุบันนี้ เหนื่อยและหนักหากเก็บนำมาคิดไปเสียทุกเรื่องทุกราว เพราะ ตื่นเช้าขึ้นมาก็พบกับเหตุการณ์ พฤติการณ์ของใครต่อใครมากมายหลายคน หลายสิ่งหลายอย่าง หลากหลายรูป แบบ มีให้ได้พบ ได้เห็น ไม่ซ้ำซากเลย แม้จะพยายามหลบหลีก ไม่พานพบ ไม่เกี่ยวข้อง หรือ บางเรื่อง ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะ ต้องเข้าไป เกี่ยวข้องด้วยเลย ก็ยังโยงใย ชักพามาเกี่ยวเนื่อง เข้าจนได้ ล้วนแต่เป็น สิ่งที่ทำให้ปวดเศียร เวียนเกล้าทั้งนั้น เฉพาะเรื่องราว มีส่วนส่งต่อโดยตรง ก็แทบแย่อยู่แล้ว ปัญหามีมาให้แก้ไข ทุกวันทุกสัปดาห์ ไม่ได้หยุดหย่อน ลดลงเลย แล้วยังมามีของคนอื่นอีก กลายเป็น ซ้ำซ้อน ซ้ำซาก แบกหนักขึ้นไปอีก สังคมตราบเท่าทุกวันนี้ ก็เป็นเช่นนี้ สิ่งแวดล้อม ไม่ดีพอเพียง แล้วมลภาวะ เกิดขึ้น มากมายก่ายกอ งสารพัดอย่าง รกหูรกตา รกความคิดฝัน คนที่จะอยู่ได้ดีนั้น ต้องทำ ใจให้ได้

การตัดอกตัดใจ ในบางสิ่งบางอย่าง ละเว้นบางเรื่องบางราวนั้น ปัจจุบันนับว่า เป็นสิ่งจำเป็น อย่างมาก รับรู้ในเรื่องเท่าที่ ควรจะรู้ หรืออยากจะรู้ก็พอแล้ว นอกนั้นคนอื่น สังคมจะโกลาหล วุ่นวายสับสน ก็ช่างปะไร เราไม่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว จะยุ่งจะเกี่ยวเฉพาะ ที่มาพัวพัน ผูกพันกับเรา เท่านั้นพอ หรือ ถ้าคิดให้แคบ ลึกลงไปอีก ก็เอาเฉพาะ ที่เราได้ผลประโยชน์ ที่เราบรรลุ ผลประโยชน์เรา ฝ่ายเดียว อะไรทำนองนั้น ดูแล้วจะไม่เป็นการ ขาดความรับผิดชอบ ต่อส่วนรวม ไปบ้างหรือ นับเป็นคำถาม ที่ทิ่มแทง และ ชาญฉลาดมากทีเดียว แต่ไม่ลุ่มลึกอะไร คำถามนี้ สำหรับปัจจุบัน ในบริบทนี้ ต้องใช้คำตอบ ปัจจุบัน ทันด่วนว่า เชอะ..เชยมาก.. มีใครสักกี่คน ที่สนใจใฝ่ฝัน ถึงสังคมส่วนรวม อย่างจริงจัง จริงใจแน่แท้ มันเป็นเพียง คำโก้หรู คำโฆษณาชวนเชื่อ ระดับหนึ่ง ที่สื่อสารมวลชน เขาทำกัน เป็นว่าเล่น ให้มาช่วยกัน แบ่งปัน คนละเล็ก คนละน้อย เพื่อสังคม ที่แท้จริง แฝงอะไร พ่วงตามติดมาเยอะแยะ ในฐานะผู้อุปถัมภ์ ค้ำจุน มีบุญคุณมากคณานับ แถมท้ายอีกด้วย

หนทางเส้นหนึ่งที่พอปลีกตัวตนหลีกหนีพ้นได้ คือการเริ่มต้นที่ตัวเรา ก่อนที่จะไปเริ่มที่คนอื่น และสังคม ในโอกาสต่อไปได้ ต้องหมั่นฝึกฝนตัวตน ให้ปรากฏผล จนเป็นที่น่าพอใจแห่งตน จำกัดความต้องการ แห่งตน ให้คงที่ แล้วลดน้อย ถอยลงไปทีละน้อย ทีละน้อย จนในที่สุด เพียงพอแก่ความต้องการแห่งตน พอดิบพอดี พอเพียงนั่นเอง ร่างกายสุขสมบูรณ์ พลานามัย แข็งแรง ไม่หิว ไม่อิ่มเกิน ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย จิตใจเบิกบาน ทำงานทำอาชีพราบรื่น มีจริยธรรมศีลธรรมประจำ ใจ มีวิถีชีวิต วิถีการผลิต ดำรงอยู่ สอดคล้อง ต้องกันพอดี ถ้าปรับตรงนี้ได้ก่อนแล้ว อย่างอื่นไม่มีปัญหาเลย จะตามมา ติดๆ กัน เป็นลูกโซ่ สายโซ่ เป็นวงจรคล้องกัน สัมพันธ์กันตลอด นี่คือพื้นมาตรฐาน ต่ำสุดทีเดียว ต่อไปจะก้าวไปทางไหน ลำดับขั้นใด ง่ายมาก จะทำอะไรก็สะดวกมาก มุ่งหวังอะไรก็สู่สำเร็จ เพราะเราปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ที่ตัวตนเรา ก่อนอื่น และทำได้แล้วด้วย

อีกระดับชั้น ลองมองเพื่อคนอื่นหรือสังคมส่วนรวมบ้าง อันนี้เมื่อพ้นจากตัวตนเราเกินตัวเราต้องการแล้ว มักจะอาจ จะไปล่วงละเมิด สิทธิของผู้อื่น ของคนอื่น หรือสังคมได้ กล่าวอีกอย่างคือ การเบียดเบียน จะเกิดมีขึ้นได้แล้ว ความต้องการต่อไปนี้ ความสุขที่จะแสวงหาต่อไปนี้ อาจจะไปกระทบกระเทือน ผู้อื่นบ้าง เพราะมันเกินความพอดีพอควร เสพในสิ่งที่มิควรเสพบ้าง แล้วเสพในสิ่งที่ผู้อื่น มีส่วน มีสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วย เป็นของกลาง ของสังคม คือกล่าวง่ายๆ เกินความต้องการร่างกายปกติ ของเราแล้ว มิใช่เพื่อ ดำรงชีวิต อันปกติสุข อย่างแท้จริง สุขแบบลวงๆ หลอกๆ ชั่วครั้ง ชั่วคราวเท่านั้น แต่คนส่วนมาก หรือมากต่อมาก ก็ว่าได้ ปรารถนากัน ตรงนี้นี่เอง ที่เกิดเรื่อง เพราะล้ำเส้น แดนสิทธิละเมิดกัน เกิดทะเลาะ รบฆ่ากันวุ่นวาย ไม่เลิกเสียที มีสิ่งที่พอเข้ามาระงับ พอยุติกันได้ คือกติกาสังคม หรือกฎหมาย แต่ก็ระงับยุติ เพียรกรณี เฉพาะแก่เหตุ เท่านั้น เดี๋ยวก็เกิดขึ้นอีกมีขึ้นอีกแล้ว เป็นพักๆ เป็นช่วงเวลาไป หาได้สงบ ราบรื่น ยาวนานแน่ นอนได้ไม่ อันนี้ที่บอกไว้แต่ต้น ต้องรู้จัก จำกัดตัวตนก่อน แล้วแบ่งเผื่อแผ่ ปันกัน สรุปคือ รู้จักให้แก่กันและกันบ้าง ความสุขส่วนนี้ แม้เกินเลยกว่า ความต้องการบ้าง แต่ถ้าแบ่งปัน ให้กันและกัน ก็จะพอดี พอเพียงได้ ไม่ไป ละเมิดของผู้อื่น หรือเอาเปรียบสังคม เกินไปมากนัก

หยุดพักสักพักทอดทิ้งสายตาไปไกลสุดเส้น จับที่ปลายฟ้าฝึกฝนคิดฝันให้กว้างขวางยืนนาน มีท้องฟ้า สีครามใสเข้ม ลึกลับลิบลิบ มีผืนแผ่นเขียวชอุ่มขจีไปด้วยพุ่มพฤกษ์ ทุ่งหญ้าสุมทุมพุ่มไม้ หมู่บ้านชนบท แม่น้ำลำธาร ป่าเขา ปล่อย ชีวิตให้หลุดโล่ง ความต้องการพื้นฐานเสียบ้างบางเวลา ก็จะดี และดีมาก ทีเดียวเชียว ปลดใจวางใจ โบกโบยบินโผผิน ถลาร่อนเสรี โลกียสุขเหลวไหลสิ้นดี ชั่ววูบ ชั่วแล่น อารมณ์วาบ สิ้นสูญสลายฝ่อ ก่อตัวเมื่อยั่วยุอีกครั้งอีกหน กำหนัด แล้วก็เบื่อหน่าย ตีจากพ้นไป ทันใด เสมอมา แต่สุขแห่งฝัน จินตนาการซิ ยืนยาวนาน มั่นคงตลอดกาล ที่ยังคิดฝัน ไม่ได้ ดับสิ้นไปง่ายๆ หรอก ความคิด ความฝัน เป็นสมบัติมรดกตกทอด ทางพันธุกรรม ของมนุษยชาติ แต่ปางบรรพ์ สรรค์สร้าง สานก่อ ต่อเรื่อยมา มิขาด มอดมลายลงเสียเมื่อไหร่เล่า มีมากมายกว่า ดอกหญ้าน้อยๆ บนแผ่นดิน โลกรวมกัน มากกว่าช่อปะการัง ในมหาสมุทรต่างๆ เกินกว่า จำนวนดวงดาว ในคืนฟ้ามืด สนิทนานอีก นี่คือ ความฝันอันล้ำค่า ของมนุษย์ นับประสาอะไร กับการเสพกิน เสพกาม เสพสุข นานาเหลวไหลไป ณ ที่คิดฝันแวบหนึ่ง สุขเกินพอเพียงแล้วกลับมาอยู่ในสังคม คนวุ่นวาย สับสน จำเจ ประจำวัน เช้าสาย บ่ายเย็น ค่ำคืน อ่อนล้าเบื่อ จำนนทนอยู่มีชีวิต ไม่ผิดแผกปกติ ธรรมดาทั่วไป ปรับผกผัน ผันแปร ตามได้เสมอมาตลอด ยิ้มรับทักทาย ไมตรีมิตรภาพ ยิ้มสู้อดทน ทำงานเลี้ยงชีพ ยิ้ม เยาะเย้ย ลวงหลอก ปั้นแต่ง ทำเอาได้ทั้งนั้น ดวงใจเล็กๆ ดวงนี้ แม้เปราะบอบบางไปบ้าง บางเวลา ให้กำลังใจ ตัวเองบ้าง หลายครั้ง ต่อเติมจุดประกายไฟฝัน อยู่ค่ำเช้ามิได้ขาดเว้นว่าง หาที่ว่างเปล่าสักแห่ง แม้ที่ผืนนั้น คับแคบสั้นๆ ขอให้ เป็นที่ว่าง ก็แล้วกัน เอาหัวใจวางลง เงียบเหงา เปล่าเปลี่ยว ไม่มีผลกระทบ กระเทือน อันใด ขอให้รู้สึกปลอดโปร่ง มีเสรีภาพก็พอเพียงแล้ว

พักหัวใจไว้ว่างเว้นภารกิจทางโลก ทางสังคมวุ่น สร้างสานฝันเป็นแก้วมณีใสส่องบริสุทธิ์สดสะอาด แล้วหยิบยื่นให้ ใครต่อใครเขา ด้วยความจริงใจและเข้าใจ อยู่อย่างนี้ดูมีความสุขสงบ เนานานกว่าสุข จากบริโภคอิ่มแล้วหิว หิวแล้ว อิ่ม สลับไม่รู้จักหยุดสักที ร่านโลกียสุขไม่รู้จักจบสิ้น แต่ก็แปลก ผู้คนสังคม ต่างมุ่งแสวงหาทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกเต็มใจว่า ไม่ยั่งยืนนาน

- ฆีฏา -

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๔ พฤษภาคม ๒๕๔๖)