สร้างสรรบุญนิยม
ระดมจิตวิญญาณ
"แพ้เป็นข้า-ชนะเป็นเจ้า"
ขออนุญาตนำสำนวนหนังจีน มาใช้กับสงครามถล่มอิรักที่ผ่านมา
ประเทศที่ชนะใครๆ ก็ ยกให้เป็นเจ้าโลก เสียวกันแต่ว่าเจ้าโลกจะพากันย่ามใจ
สร้างความคับแค้น ให้นานาประเทศ ที่แค้นอยู่แล้วแค้นใจ ยิ่งขึ้นจนพร้อมที่จะกอดคอตายไปด้วยกัน
ตราบใดที่มนุษย์ต่างคิดแต่จะ "เอา"
ด้วยกัน แล้วตกลงแบ่งปันกันไม่ได้ ย่อมนำไปสู่ภาวะสงคราม ถ้าเป็นสงคราม
เย็นก็เป็นการต่อสู้ที่ใช้จิตวิทยาหรือใช้ความคิดใช้คำพูดสู้กัน ถ้าเป็นสงครามร้อนก็ลากปืน
ระเบิดมาถล่มกัน
ตราบใดที่มนุษย์ยังอยู่กันด้วยระบบทุนนิยม
ต้องได้-ต้องมี-ต้องเอาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และต่างก็
พยายามเอารัดเอาเปรียบเบียดเบียนซึ่งกันและกัน นั่นคือต่างคนต่างทำกิจของสงครามอยู่ทุกขณะ
แต่เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์รู้จักสัจธรรมชีวิต
เห็นถึงคุณค่าของ "การให้ การเสียสละ" ว่าเป็นคุณค่าของมนุษย์
เป็นการ ดำเนินรอยตามพระบรมศาสดาผู้นำพากิจของสันติภาพสร้างสรรระบบบุญนิยมขึ้นมา
ให้มีในวิถีชีวิตของมนุษย์ โลก ที่เร่าร้อนเลวร้าย ก็ย่อมได้พบกับความสุขเย็นขึ้นมาได้
เพราะระบบทุนนิยม
คือการเอา ระบบบุญนิยมคือการให้ ถ้าเอากับเอาอยู่ด้วยกัน ย่อมเกิดสงคราม
ถ้าเอา กับให้อยู่ด้วยกัน ย่อมเกิดสันติภาพ
ในงานเพื่อฟ้าดินที่เน้นการให้เพื่อฟ้าเพื่อดินที่ผ่านมา
(๑๖-๑๘ พ.ค. ที่ราชธานีอโศก) นับเป็นงาน ระดับรากหญ้าที่ น่าปลาบปลื้มใจ
ที่ได้มีการรวบรวมเกษตรกร ๒,๐๐๐ กว่าชีวิต โดยมีธนาคาร เพื่อการเกษตร
และสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) สถาบันจำเนียร สาระนาถ (สจส.)และเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ
(คกร.) เป็นเจ้าภาพร่วมกันในการจัดงานครั้งนี้
เกษตรกรที่ได้มาร่วมงานเพื่อฟ้าดินในครั้งนี้
ต่างล้วนได้ผ่านหลักสูตรสัจธรรมชีวิต
จนได้ร่วมกัน สร้างสรรบุญนิยม ด้วยการหัด "ให้"
โดยเริ่มต้นก็หัดให้สิ่งเลวร้าย (อบายมุข)
ออกจากชีวิต อันดับต่อมา ฝึกหัดให้อภัยทาน
โดยงดการ เบียดเบียนตนและผู้อื่น ด้วยการรักษาศีล ๕ และเกษตรกรหลายราย
สามารถทำได้ถึงขั้น ให้ชีวิตแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
โดยไม่เอามา เป็นอาหารเลี้ยงชีวิต ของตัวเอง อีกต่อไป
เมื่อชีวิตไม่คิดเบียดเบียนทำลาย
ทำร้ายตัวเองและผู้อื่น ความคิดสร้างสรรดีงาม เพื่อช่วยเหลือ เกื้อกูลผู้อื่น
ในสังคม ย่อมเกิดขึ้นได้อย่างอัศจรรย์ เกษตรกรพากันทำไร่นาไร้สารพิษ
ปลดปล่อยชีวิตตัวเอง ออกมาจาก หนี้สิน และหนี้ศีล (การผิดศีล ๕ แต่ละข้อเป็นหนี้ที่ต้องชดใช้กันไปหลายชาติ)
ไม่น่าเชื่อว่าเกษตรกรที่จบ ป.๔
กันส่วนใหญ่จะสามารถ พลิกทุ่ง-สร้างทุน-ฟื้นไทย
ได้อย่างน่าสรรเสริญ จากท้องทุ่ง ท้องไร่ที่เต็มไปด้วยสารพิษสารเคมี
ก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นนาข้าว และพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไร้สารพิษ ที่อุดมสมบูรณ์จากทุน
เดิมที่มีแต่หนี้สิน ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นทุนทางปัญญา ทุนทางสังคม ในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าของชุมชนไป
พร้อมๆกัน และชีวิตที่ไม่เคยคิดพึ่งตนเอง คอยเป็นทาส ซื้อเขาอยู่ร่ำไป
แม้แต่อาหารการกิน ก็สามารถฟื้นไทย พึ่งตน เองได้ โดยสามารถ ปลูกทุกอย่างที่กิน
กินทุกอย่างที่ปลูก ทำทุกอย่างที่ใช้ และใช้ทุกอย่างที่ทำ
ความสำเร็จของการจัดงานในครั้งนี้
จะยั่งยืนถาวรเที่ยงแท้แน่นอนแค่ไหน ก็คงต้องตามไป พิสูจน์กันว่า การเปลี่ยน
แปลงชีวิตใหม่ของเกษตรกร สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณ มากน้อยเพียงใด หากมี
การเปลี่ยนแปลง ถึงจิตใจ และระดม พลังรวมตัวกันได้ เป็นขบวนการกลุ่ม
สร้างชุมชน ให้เข้มแข็งได้ จนสามารถรวมตัวกันสร้างสรรสร้างสิ่งที่ดีงามให้แก่
โลก (สร้างสรรบุญนิยม) เมื่อวาระนั้นเกิดขึ้น ประเทศชาติของเรา ย่อมหวังได้ที่จะกลายเป็น
มหาอำนาจทางคุณธรรม
-
จริงจังตามพ่อ - |