>เราคิดอะไร

ข้าพเจ้าคิดอะไร
- สมณะโพธิรักษ์ -

กำไรขาดทุนแท้ของอาริยชน (ต่อจากฉบับที่ ๑๕๔)


๑. มาตุคาม (สตรี) ปิดบังเอาไว้จึงจะงดงาม (จึงจะเจริญ) เปิดเผยไม่งดงาม (จึงไม่เจริญ)
๒. มนต์ของพราหมณ์ ปิดบังเข้าไว้จึงรุ่งเรือง เปิดเผยไม่รุ่งเรือง
๓. มิจฉาทิฏฐิ ปิดบังไว้จึงเจริญ เปิดเผยไม่เจริญ

นี้เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าโดยแท้ ในข้อ ๑ เรื่องของสตรี ต้องปิดๆบังๆไว้ อย่าเปิดอย่าเผย ความหมาย ก็คือ เปิดเนื้อ เผยตัว เปิดเผยเนื้อหนังมังสา นั่นแหละ พระองค์ตรัสก็ชัดอยู่แล้ว ว่า ปิดบังไว้จึงจะงดงาม จึงจะชื่อว่าเจริญ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ฟังเสียงพระพุทธเจ้ากันแล้ว ดูเหมือน จะเห็นตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ ...ยิ่งเปิดยิ่งเผยยิ่งงดงาม ยิ่งเปิด เนื้อเผยตัว มากเท่าใดๆ ยิ่งงดงามยิ่งเจริญรุ่งเรือง ทัดเทียม นานาประเทศ อารยะ ที่ชื่อว่า ประเทศเจริญพัฒนาทั้งหลาย ในสากล โลก มากเท่านั้นๆ แล้วก็เอาคำว่า "ศิลปะ"มา พร่ำใช้หลอกกันร่ำไป แต่แท้จริงยิ่งก่อเกิด"กาม"คือ อารมณ์ใคร่ อยาก ไม่กามมากก็น้อย ซึ่งได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันจะมี"รสอัสสาทะ" (รสสุข,รสอร่อย,รสยินดีตามที่ตนติด สมมุตินั้นๆ) ภาษาวิชาก็ว่า กามคุณ ๕

ไม่ว่าสมัยใหม่หรือสมัยโบราณ ความจริงก็คือความจริงอันเดียวกัน และปราชญ์ผู้รู้ (แท้จริง) ก็รู้ในความจริง ตรงกันว่า กามเป็นสิ่งที่ต้องปกปิด ใคร "โชว์กาม" นั้นคือความต่ำ ไม่ใช่ความสูง ความเจริญ รุ่งเรืองอันใด แต่ผู้ที่ไม่มีความ รู้ โดยเฉพาะ พวกที่เรียกตัวเองว่า "ศิลปิน" ยังหลงผิดอยู่ว่า การสร้าง อารมณ์กาม คือ ความงาม ความน่ายวนใจ นั่นก็เพราะ..คนผู้หลงว่า ตนเป็นศิลปิน หรือ ตนเป็นนักศิลปะ ไม่มีความรู้จริงๆว่า การแสดงสภาพของ"ความงาม" กับ การแสดงสภาพ ที่ก่อให้เกิด "กาม" นั้น มันไม่ใช่ สิ่งเดียวกัน

ความงามไม่ใช่กาม กามไม่ใช่ความงาม โดย เฉพาะความรู้ของอาริยะที่สูงขั้นโลกุตระ ความงาม คือ สิ่งสม มุติตามแต่ว่าใครจะยึดจะถือเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงเลย เป็น "อุปาทานของผู้ยังมีกาม" ผู้ "หมดกิเลสกาม" หรือผู้ "หมดยึดติดกาม" แล้ว จะไม่เกิด "ความรู้สึกที่เป็นกามหรือกามารมณ์" กับการสัมผัส ใดๆ แต่จะรู้จักว่า ความกำหนดหมาย ตามที่เขาสมมุติ นั้นๆว่า "ความงาม" ใด คืออย่างใด แค่ไหน เท่าที่เขาจะสมมุติกัน ในสังคมนั้นๆ เช่น แบบนี้สวย แบบนั้นงาม แค่นั้นแค่นี้ ท่านผู้หมดรสกาม ก็รู้ แต่จะไม่เกิดกาม ทว่าจะรู้จักว่า เป็น "ความงาม" ตามที่เขาสมมุติกันได้

ผู้หลงยึดหลงติดอยู่ หรือยังไม่หมดกิเลส จึงมี"รสกามหรือรสสนุกหรือรสอร่อยหรือรสสุข" (อัสสาทะ)

ผู้ใดชมภาพใดภาพหนึ่ง เป็นต้น แล้วเกิดความรู้จัก กำหนดหมายได้ว่า "งาม" โดยไม่เกิดความรู้สึก"กาม" นั่นคือ ศิลปะ ที่เป็นมงคลอันอุดม แต่ถ้าผู้ใดชมภาพใดภาพหนึ่ง แล้วเกิดความรู้สึกหรืออารมณ์ "กาม" โดยมี "ความงามหรือไม่งาม" ก็ตาม นั่นคือ อนาจาร (ความประพฤติชั่ว,ลามก,น่าบัดสี) เพราะเป็น ข้าศึกแก่กุศล

[มีต่อฉบับหน้า]

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๕ มิถุนายน ๒๕๔๖)