>เราคิดอะไร

อดีตชาติของพระพุทธเจ้า

ผูกมิตรทั่วบ้านทั่วเมือง
รุ่งเรืองลาภยศยิ่งใหญ่
แม้ถึงเวลามีภัย
มิตรได้ช่วยเหลือเกื้อกูล

น้ำใจมิตร (มหาอุกกุสชาดก)

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระมหาวิหารเชตวัน ได้ตรัสถึงอุบาสกผู้หนึ่งที่ผูกมิตรได้เก่ง

อุบาสกนั้นเป็นบุตรชายในตระกูลเก่าแก่แห่งพระนครสาวัตถี เมื่อถึงวัยอันควรมีครอบครัว พ่อแม่ของเขา ได้ส่งพ่อสื่อ ไปขอธิดานางหนึ่ง แต่ธิดานั้นเอ่ยถามพ่อสื่อว่า

"ก็มิตรสหายของผู้จะมาเป็นคู่ครองเรานั้น มีอยู่มากไหมที่จะสามารถแบ่งเบาภารกิจของเขาได้"

พ่อสื่อตอบไปว่า
"ยังไม่มี"

"ถ้าเช่นนั้น ขอให้เขาหาสหายผูกมิตรไว้ให้มากก่อนเถิด"

พ่อสื่อจึงนำความนั้นกลับไปแจ้งแก่อุบาสกซึ่งเขาก็ยินดีในคำแนะนำนั้น และเริ่มกระทำความเป็นสหายกับคนเฝ้าประตูเมืองทั้งสี่ก่อน ต่อมาก็สร้างมิตรกับหน่วยคุ้มกันพระนคร ตลอด จนมหาอำมาตย์ เสหาบดี อุปราช กับพระราชาก็กระทำไมตรีไว้ด้วย จากนั้นได้นอบน้อมเข้าหาพระมหาเถระทั้งหลาย แม้กับพระอานนทด้วย แล้วจึงต่อไปถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่สุด

ด้วยศรัทธาและไมตรีนั้นเอง พระศาสดาทรงให้โอวาทแต่เขาจนดำรงอยู่ในสรณะและศีล แม้พระราชาก็โปรด ประทานอิสริยยศแก่เขา จนเขาได้รับการการขนานนามว่า มิตตคันถกะ (ผู้ผูกมิตรไว้แล้ว)

เมื่อเขาผูกมิตรได้มากมาย สมควรแก่เวลาที่จะครองเรือน พระราชาได้ประทานเรือนหลังใหญ่แก่เขา แล้วโปรดให้กระทำ อาวาหมงคล (แต่งงาน) แม้พระราชา ก็มีของขวัญพระราชทานแก่เขา ตลอดจน มิตรสหาย ทั้งพระนคร ก็ส่งข้าวของ ให้เขามากมายยิ่งนัก

หลังจากเสร็จพิธีแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ภรรยาของเขาได้นำเอาของขวัญของพระราชามอบให้ แก่อุปราช เอาของขวัญ ของอุปราชมอบแก่เสนาบดี แล้วของขวัญของเสนาบดี ก็มอบต่อไปแก่ผู้อื่น เป็นไปโดยลำดับ เช่นนี้ ทำให้สามารถผูก มิตรกับชาวพระนครเอาไว้ได้ทั่วหน้า

จนกระทั่งในวันที่เจ็ด ทั้งสามีภรรยาได้จัดมหาสักการะ ถวายมหาทานแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งมีพระพุทธเจ้า เป็นประธาน เมื่อเสร็จภัตกิจ (การฉันอาหาร)แล้ว พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรด คู่สามีภรรยา ทั้งสองฟังธรรมแล้วได้ บรรลุโสดาปัตติผลในวันนั้น

ด้วยเหตุการณ์ดังนี้ เหล่าภิกษุพากันสนทนาในธรรมสภาว่า

"อุบาสกมิตตคันถกะอาศัยคำของภรรยาตน ทำไมตรีกับคนทั้งปวง จึงได้สมบัติมากมาย จากมหาชน และพระราชา แล้วได้โสดาปัตติผลทั้งคู่ทีเดียวจากพระผู้มีพระภาคเจ้า

พอดีพระศาสดาเสด็จมา ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องที่สนทนากันให้ทรงทราบ พระศาสดาตรัสว่า

"ดูก่อนพระภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่อุบาสกนี้อาศัยคำของภรรยาแล้วได้ลาภยิ่งใหญ่ แม้ในกาลก่อน เขาก็เคยเกิดเป็นดิรัจฉาน แล้วกระทำไมตรีกับสัตว์อื่นๆตามคำขอของนาง จนพ้นจาก ความทุกข์โศก อันเนื่องเพราะลูกของตนไปได้"

เหล่าภิกษุพากันทูลขอให้พระศาสดาตรัสให้ฟัง จึงทรงนำเอาอดีตนิทานนั้นมาตรัสเล่า
............................
ในอดีตกาล หากชาวบ้านป่าตามชายแดนล่าสัตว์ได้เนื้อมากๆ ในที่ใด ก็จะสร้างบ้านเรือนขึ้น ในที่นั้น แล้วเที่ยวพากันไป ในป่าฆ่าสัตว์ นำเอาเนื้อและหนัง มาเลี้ยงลูกเมียของตน

ณ ที่ไม่ไกลจากบ้านแห่งหนึ่งของคนพวกนี้ มีสระใหญ่เกิดเองอยู่แห่งหนึ่ง ด้านตะวันตก ของสระ มี พญาเหยี่ยวผู้ตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ ด้านหลังมีนางเหยี่ยวตัวหนึ่งพักอยู่ ด้านตะวันออกมี พญานกออก (เหยี่ยวดำ) อยู่ และด้านเหนือมี พญาราชสีห์ อยู่ในถ้ำ ส่วนภายในสระใหญ่นั้นมี พญาเต่า ใช้เป็นทำเล หากิน

อยู่มาวันหนึ่ง พญาเหยี่ยวผู้ตัวนั้นได้ไปหานางเหยี่ยว แล้วกล่าวขอกับนางเหยี่ยวว่า

"มาเป็นภรรยาของข้าเถิดนะ"

"ท่านอยากจะมีคู่ครอง ก็แล้วท่านมีเพื่อนฝูงคอยช่วยเหลือเอาไว้บ้างไหมล่ะ"

"ไม่มีเลย"

"อ้าว ! ถ้าเกิดภัยหรือเกิดทุกข์ขึ้นมา เราต้องมีมิตรสหายให้ความช่วยเหลือ จึงจะควร ฉะนั้น ท่านต้องไป แสวงหา และผูกมิตร ให้ได้เสียก่อนเกิด"

"นางเหยี่ยวเอ๋ย ข้าจะไปหามิตรที่ไหนได้เล่า"

"ท่านจงไปทำไมตรีกับพญานกออก ที่อยู่ทางทิศตะวันออกของสระนี้ ผูกมิตรกับพญาราชสีห์ ที่อยู่ทางทิศเหนือ และเป็น สหายกับพญาเต่า ที่อยู่ในสระให้ได้"

พญาเหยี่ยวฟังคำของนางแล้วก็รับคำ ได้ไปกระทำตามนั้น จนสามารถผูกมิตรได้ ทั้งหมด

ในเวลาต่อมา......เหยี่ยวทั้งคู่จึงได้ทำรังร่วมกัน อาศัยอยู่ที่บนต้นกระทุ่ม ซึ่งอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง กลางสระนั้น ไม่นานนัก ก็ได้กำเนิดลูกน้อยสองตัว

วันหนึ่ง ขณะที่ลูกน้อยเกิดมาไม่นาน ยังไม่มีขนปีกงอก ได้ปรากฏชาวบ้านป่า พากันตระเวนป่า มาถึง บริเวณสระนั้น พวกเขายังล่าสัตว์อะไรไม่ได้เลย จึงคิดกันว่า

"พวกเราไม่ควรกลับบ้านมือเปล่า อย่างน้อยก็น่าจะจับปลา หรือ เต่าเอากลับไปให้ได้"

ทั้งหมดจึงพากันลงสระน้ำ แล้วไปถึงเกาะกลางสระนั้น ซึ่งตอนนั้น ก็จวนจะใกล้ค่ำพอดี พวกเขา จึงพักนอน อยู่ที่โคน ต้นกระทุ่มนั้น แต่เมื่อถูกยุงรบกวนรุมกัด ก็ช่วยกันก่อกองไฟขึ้น เพื่ออาศัยควันไล่ยุง ควันได้ลอยสูงขึ้น ไปรมรังของเหยี่ยวบนต้นไม้ ลูกนกทั้งสอ งตกใจกลัว พากันร้องเสียงดังลั่น พวกชาวบ้านป่า ได้ยินเสียงแล้วก็กล่าวว่า

"พวกเราเอ๋ย เสียงลูกนกนี่ เร็วเถอะ ช่วยกันมัดคบเพลิง หิวจะตายอยู่แล้ว เดี๋ยวจะได้กินเนื้อนก ก่อนนอน กัน"

จึงพากันสุมไฟให้ลุกโพลง แล้วช่วยกันมัดคบเพลิง ส่วนแม่นกได้ยินเสียงคนพวกนั้นคุยกัน ก็คิดขึ้นว่า

"คนพวกนี้กำลังต้องการจะกินลูกของเรา เราอุตส่าห์ผูกมิตรไว้เพื่อกำจัดภัย คราวนี้เห็นที จะต้องให้ผัวเรา ออกไปหา พญานกออกซะแล้ว"

จึงรีบเอ่ยปากกับพญาเหยี่ยวว่า

"รีบไปเถอะพี่ ภัยกำลังจะเกิดแก่ลูกเรา จงไปบอกแก่พญานกออกว่า พวกพรานป่า กำลังมัดคบเพลิง บนเกาะนี้ เพื่อ ต้องการจะกินลูกน้อยของเรา พี่จงแจ้งแก่มิตรสหาย ถึงความพินาศ แห่งหมู่ญาติของเรา ให้เขาได้รู้"

พ่อเหยี่ยวบินไปสู่ที่อยู่ของพญานกออกทันที ถึงแล้วรีบบอกว่า

"ข้าแต่พญานกออก ท่านเป็นนกที่ประเสริฐกว่านกทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยึดท่านเป็นที่พึ่ง ขณะนี้ พวกพรานป่า กำลังหมายจะกินลูกน้อยของข้าพเจ้า ขอท่านโปรดช่วยเหลือ ช่วยให้ข้าพเจ้า ได้รับความสุขด้วยเถิด"

พญานกออกได้ฟังดังนั้น ก็ปลอบพญาเหยี่ยวว่า

"อย่ากลัวเลย บัณฑิตทั้งหลายผู้แสวงหาความสุข ทั้งในยุคนี้และยุคไหนๆ ย่อมกระทำบุคคลให้เป็นมิตร สหายเสมอ ดูก่อนเหยี่ยว ข้าพเจ้าก็จะกระทำประโยชน์อันนี้แก่ท่านให้จงได้ เพราะที่จริงแล้ว อริยชน ย่อมจะกระทำ กิจให้แก่ อริยชน"

แล้วพญานกออกก็ได้ถามพญาเหยี่ยวว่า "พวกพรานป่านั้นได้ปีนขึ้นสู่ต้นไม้แล้วหรือยังสหาย"

"ตอนนี้ยังไม่ได้ขึ้น กำลังพากันมัดคบเพลิงอยู่"

"ถ้าเช่นนั้น ท่านจงกลับไปปลอบนางเหยี่ยวเถิด บอกถึงการมาช่วยเหลือของเราแก่นาง"

พญาเหยี่ยว บินกลับรัง ส่วนพญานกออก บินไปจับอยู่ที่ยอดไม้ต้นหนึ่งใกล้ต้นกระทุ่ม มองดูทางขึ้นสู่รังของเหยี่ยว ขณะนั้นเอง... ชาวบ้านป่าคนหนึ่ง กำลังเริ่มปีนขึ้นต้นกระทุ่ม ปีนขึ้นสูงขึ้นๆ พญานกออกเห็นเช่นนั้นแล้ว รีบบินดำลงสู่สระน้ำ อมน้ำไว้ในปาก และทำตัวให้เปียกชุ่ม บินมุ่งสู่คบเพลิง ของชาวบ้านป่านั้น แล้วพ่นน้ำ สลัดน้ำใส่คบเพลิงจนดับ ทำให้ชาวบ้านป่าโกรธจัดด่าว่า

"ไอ้เหยี่ยวดำตัวนี้จะต้องโดนกิน ลูกๆ ของมันก็จะต้องโดนกินด้วย"

แล้วเขาก็ต้องปีนลงมาจุดคบเพลิงให้ลุกอีก จากนั้นจึงปีนขึ้นไปใหม่ แต่พญานกออก ก็เอาน้ำมาดับ คบเพลิงเสียอีก เหตุการณ์นั้นวนเวียนเป็นอยู่เช่นนี้ จนเวลาล่วงเลย ถึงเที่ยงคืน ทำให้พญานกออก เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก เรี่ยวแรงแทบ สูญสิ้น ดวงตาทั้งคู่ อิดโรยแดงก่ำ เมื่อนางเหยี่ยวเห็น สภาพนี้แล้ว อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงกล่าวกับพ่อเหยี่ยวว่า

"พี่จ๋า พญานกออกลำบากเหลือเกินแล้ว พี่จงไปบอกพญาเต่า มาช่วยเถิด เพื่อให้พญานกออก ได้พักผ่อนบ้าง"

พญาเหยี่ยวจึงบินไปหาพญานกออก แล้วบอกว่า

"กิจอันใดที่อริยชนผู้มีใจเอื้อเฟื้อ จะพึงกระทำแก่อริยชน กิจอันนั้นท่านได้กระทำแล้ว ขอท่านจงรักษาตัวเถิด อย่ารีบร้อนไปนักเลย เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ เราเชื่อว่า จะดูแลลูกน้อยเอาไว้ได้แน่"

พญานกออกฟังคำนั้นแล้ว ได้ประกาศสัจจะว่า

"ข้าพเจ้ากระทำการป้องกันรักษานั้น แม้ถึงตัวจะตายก็ไม่ได้สะดุ้งเลย แท้จริงสหายทั้งหลาย ผู้ยอมสละชีวิต ย่อมจะต้องการกระทำ เพื่อสหาย นี่เป็นธรรมดาของสัตบุรุษ (คนที่มีสัมมาทิฐิ) ทั้งหลาย"

"ข้าแต่พญานกออกผู้สหาย เชิญท่านพักสักหน่อยก่อนเถิด"

แล้วพญาเหยี่ยวก็บินไปหาพญาเต่า แจ้งเรื่องให้รู้

"ภัยเกิดแก่ลูกน้อยของข้าพเจ้าแล้ว พญานกออกได้กระทำการช่วยเหลือจนต้องเหน็ดเหนื่อยลำบาก ตั้งแต่พลบค่ำจน กระทั่งเที่ยงคืน โดยไม่หยุดหย่อนเลย ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมาหาท่าน เพราะคนบางพวก ถึงจะพลาดพลั้ง ในงานของตน แต่ก็ยังตั้งตัวได้ ด้วยอาศัยความเอื้อเฟื้อ ของมิตรทั้งหลาย ตอนนี้ ลูกทั้งสอง ของข้าพเจ้า กำลังเดือดร้อน หวังท่านเป็นที่พึ่ง ดูก่อนพญาเต่า ผู้เป็นสหาย ขอท่าน ช่วยบำเพ็ญประโยชน์ แก่ข้าพเจ้าเถิด"

"พญาเต่ารับฟังอย่างตั้งใจ แล้วเอ่ยว่า"

"บัณฑิตทั้งหลายย่อมกระทำบุคคลให้เป็นมิตรสหายด้วยทรัพย์ ด้วยข้าวเปลือกและด้วยตน ดูก่อน พญาเหยี่ยว ข้าพเจ้าจะกระทำประโยชน์นี้แก่ท่าน ให้จงได้ เพราะ อริยชนย่อมจะกระทำกิจ ให้แก่อริยชน"

ขณะนั้นลูกของพญาเต่าอยู่ใกล้ๆ นั้น ได้ฟังคำของพ่อเต่าแล้วคิดว่า

"พ่อของเราอย่าต้องลำบากเลย เราจะกระทำกิจนี้เอง"
จึงกล่าวออกไปว่า

"พ่อจ๋า พ่อจงมีความขวนขวายน้อยเถิด จงพักอยู่ก่อน ลูกย่อมสมควรบำเพ็ญประโยชน์เพื่อพ่อ ลูกเอง จะไปป้องกันภัย แก่ลูกของพญาเหยี่ยว"

"ลูกเอ๋ย...ลูกสมควรบำเพ็ญประโยชน์เพื่อพ่อ นี่เป็นธรรมของสัตบุรุษ ทั้งหลายจริงๆ แต่พวกพรานป่า หากได้แลเห็นพ่อ ผู้มีกายอันใหญ่โตแล้ว ที่ไหนเลย จะไปเบียดเบียนลูกน้อย ของพญาเหยี่ยวได้"

พญาเต่าครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ให้พญาเหยี่ยวไปล่วงหน้าก่อน โดยบอกว่า

"เพื่อนเอ๋ยอย่ากลัว ท่านจงไปก่อน เราจะตามไปเดี๋ยวนี้

จบคำพญาเต่าก็เร่งคลานลงน้ำอย่างรวดเร็ว แล้วกวาดเก็บเปือกตมและสาหร่ายมากมาย ขนเอามา จนถึงเกาะนั้น มุ่งตรงไปที่กองไฟทันที แล้วดับกองไฟ ของพวกพรานป่า เสียด้วยเปือกตม และ สาหร่าย เหล่านั้น พวกชาวบ้านป่า เห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว พากันร้องตะโกนว่า

"เฮ้ย! พวกเราจะมัวไปอยากได้ลูกนกตัวน้อยทำไม ช่วยกันฆ่าไอ้เต่าตาบอดตัวใหญ่นี้กันเถิด มันถึงจะพอ แก่พวกเรา ทุกคนได้กิน"

แล้วก็ช่วยกันหันมาจับพญาเต่า เอาเถาวัลย์มัดระโยงระยางทั่วตัว แต่ไม่อาจพลิกพญาเต่า ให้หงายท้องได้ มิหนำซ้ำ ยังถูกพญาเต่า ลากพาลงสู่สระน้ำลึกอีก แต่พวกเขา ก็ไม่ยอมปล่อยมือ เพราะความโลภ อยากได้กินเนื้อเต่านั้นเอง จนต้องสำลักน้ำ กินน้ำเข้าไปเต็มท้อง ลำบากไปตามๆ กัน ในที่สุด ก็ต้องยอมปล่อย พญาเต่าไปอย่างจำใจ ว่าย น้ำกลับมาที่เกาะตามเดิม แล้วพากันบ่นว่า

"เหวย......เหวย..ไอ้นกออก มันคอยดับเพลิงของพวกเรา ตั้งครึ่งคืน คราวนี้ก็โดนไอ้เต่ายักษ์ มาดับกองไฟอีก ต้องจมน้ำ กินน้ำจนพุงกาง เฮ้ย! มาก่อไฟกันใหม่เถอะ ต่อให้ถึงเช้ายังไง ก็ต้องกินลูกเหยี่ยวให้ได้"

พวกชาวบ้านป่าช่วยกันก่อกองไฟอีก นางเหยี่ยวได้ยินการพูดคุยนั้นแล้ว ก็กล่าวกับพญาเหยี่ยวว่า

"พี่ พวกนี้จะต้องกินลูกเราให้ได้ แล้วถึงจะยอมจากไป ฉะนั้น พี่ต้องไปหา พญาราชสีห์แล้วล่ะ"

พญาเหยี่ยวบินไปยังถ้ำของพญาราชสีห์ทันที เล่าเรื่องให้สหายฟังแต่ต้น แล้วขอร้องว่า
"ข้าแต่พญาราชสีห์ ผู้ประเสริฐ ด้วยความแกล้วกล้า ทั้งสัตว์และมนุษย์ เมื่อตกอยู่ในภัยแล้ว ย่อมเข้าไปหา ผู้ประเสริฐ ก็ขณะนี้ลูกน้อยของข้าพเจ้า กำลังมีภัย ข้าพเจ้าจึงรีบมาหาท่าน อาศัยท่านเป็นที่พึง ท่านเป็นเสมือน เจ้านายของข้าพเจ้า โปรดช่วยให้ลูกน้อยของข้าพเจ้า พ้นจากภัยนี้ด้วยเถิด"

"ดูก่อนพญาเหยี่ยวผู้สหาย ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญประโยชน์นี้ เพื่อท่านให้จงได้ เราไปกำจัด หมู่ศัตรู ของท่านด้วยกัน เพราะวิญญูชนรู้ว่า ภัยเกิดขึ้นแก่มิตร ย่อมจะต้องพยายามคุ้มครองมิตร เอาไว้ให้ได้"

ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว พญาราชสีห์ก็กล่าวกับพญาเหยี่ยวอีกว่า
"ท่านจงไป จงคอยปลอบลูกน้อยเอาไว้"

แล้วออกจากถ้ำมุ่งหน้าสู่เกาะกลางสระนั้น พอพวกชาวบ้านป่า ได้แลเห็นพญาราชสีห์ กำลังมาแต่ไกลๆ เท่านั้น ก็ตกใจกลัวตายกันใหญ่ เกรงว่า จะถูกพญาราชสีห์ จับกินเสีย จึงพร้อมเพรียงกัน วิ่งหนีกระเจิงไป อย่างรวดเร็ว เมื่อพญาราชสีห์มาถึงโคนต้นกระทุ่มนั้น จึงไม่มีใครเหลืออยู่เลย มีแต่พญานกออก พญาเต่า และ พญาเหยี่ยว ที่พากันเข้ามาหา พญาราชสีห์จึงได้กล่าวถึง ผลบุญผลประโยชน์ของมิตร แล้วเตือน ก่อนจากไปว่า
"ท่านทั้งหลาย จงผูกมิตรเถิด อย่าทำลายมิตรด้วยความประมาทเลย"

หมดภัยแล้ว ต่างก็กลับคืนสู่ที่อยู่ของตน คราวใดที่นางเหยี่ยวได้มองดูลูกน้อยที่ปลอดภัย อยู่ร่วมกัน อย่างมีความสุข ก็จะเจรจากับพญาเหยี่ยวว่า
"ไม่ว่าใครก็ควรคบมิตรสหายและเจ้านายไว้ เพื่อให้ได้รับความสุข เรากำจัดศัตรูได้ ด้วยกำลังแห่งมิตร เป็นผู้พร้อมเพรียง ด้วยลูกน้อย บันเทิงอยู่ เสมือนเกราะที่ใครสวมใส่แล้ว ย่อมป้องกันลูกศร ทั้งหลายได้"

"ลูกน้อยของเรา เปล่งเสียงอันจับใจร้องรับเราผู้เรียกหาอยู่ ด้วยการช่วยเหลือ ของมิตรสหายทั้งหลาย ซึ่งมิได้หนีไป ฉะนั้น หากบัณฑิตได้มิตรสหายแล้ว ย่อมสามารถปกปักรักษาลูกน้อย สัตว์เลี้ยง และทรัพย์ไว้ได้

ใครก็ตามมีพระราชา มีมิตรที่กล้าหาญ สามารถจะบรรลุถึงประโยชน์ได้ เพราะสหายเหล่านี้ ย่อมมี การช่วยเหลือ แก่ผู้มีมิตรธรรม (ธรรมะแห่งความเป็นมิตร) อันบริบูรณ์ ดังนั้น ผู้มีมิตรสหาย มียศ มีตนอันสูงส่ง ย่อมบันเทิงใจ อยู่ในโลกนี้

มิตรธรรมทั้งหลายนั้น แม้ผู้ที่ยากจนก็ควรทำ เพราะแม้แต่นกตัวใดผูกมิตรไว้กับผู้กล้าหาญที่มีกำลัง นกตัวนั้นย่อมมีความสุขได้เหมือนกับพวกเรา ฉะนั้น"

นางเหยี่ยวได้แสดงคุณของมิตรธรรมไว้แล้ว แม้กาลเวลาสืบต่อจากนั้นมา สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็ยังคงเป็น มิตรสหายกัน ไม่ทำลายมิตรธรรมเลย ดำรงอยู่กันไป จนตลอดอายุขัย
................................
พระศาสดาตรัสชาดกนี้จบด้วยการเฉลยว่า
"พ่อแม่เหยี่ยวในครั้งนั้น ได้มาเป็นคู่สามีภรรยาในบัดนี้ ลูกเต่าได้มาเป็นราหุล พญาเต่า ได้มาเป็น พระมหาโมคคัลลานะ พญานกออก ได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนพญาราชสีห์ ก็คือเราตถาคต"

แล้วทรงสรุปว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น ที่อุบาสกนี้อาศัยภรรยาแล้วมีความสุข แม้ใจกาลก่อนก็มีความสุข เพราะอาศัยภรรยาแล้วเหมือนกัน"

(พระไตรปิฎก เล่ม ๒๗ ข้อ ๑๘๙๑ อรรถกถรแปลเล่ม ๖๐ หน้า ๓๗๓)

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๕ มิถุนายน ๒๕๔๖)