โรคอ้วนที่คนไม่เห็นกลัว
- วิมุตตินันทะ -
กินเท่าไหร่
ก็ต้องขี้เท่านั้น ขืนถ่ายขี้ออกมา น้อยกว่าที่กินเข้าไป แน่นอน ย่อมหนีโรคอ้วนไปไม่พ้น
โดยเฉพาะ ถ้าคุณอายุเกิน ๒๕ ปีไปแล้ว ร่างกายไม่โตไปกว่าเดิมอีก ขืนกินเข้าไปเกินถ่ายออก
แบบปาก ไม่มีวินัย หรือ ไม่รู้จักระเบียบชีวิต กินอยู่หลับนอน มัวตะกละเห็นแก่ปากแก่ท้อง
คงต้องเศร้าหน่อยนะ กับปัญหา โรคภัย สารพัด ไม่ว่าจะเป็น ความดัน เบาหวาน
หัวใจ กระทั่งมะเร็งเส็งเคร็ง ล้วนเกิดจาก การกินเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ
พวกน้ำตาล ไขมัน เกลือ แป้งขัดขาว สารพิษจากเนื้อสัตว์ และอาหารขยะ
นานาสารปรุงแต่ง เป็นต้น
ชาวอเมริกันเป็นตัวอย่างคนขี้โรคยุคบริโภคนิยม
เล่นเอาการแพทย์ตะวันตก ที่เคยเฟื่องเลื่องลือ ในการ รักษาบำบัด ตามอาการ
และใช้วัคซีน หรือยาฆ่าเชื้อโรค พอมาเจอโรค ที่ไม่มีเชื้อโรค หมอเลยเป็นงง
ผู้คน ต้องหันกลับไปหาแพทย์ แผนตะวันออก พึ่งสมุนไพร และ ภูมิปัญญาโบราณ
หรือผสมผสาน เป็นสูตร องค์รวม จนกลายเป็น แผนทางเลือกใหม่ เรียกว่า
แพทย์ทางเลือก ดังนี้เป็นต้น
ปัญหาสุขภาพของคนรุ่นใหม่ ที่หลงทางตามลัทธิอเมริกันนิยม
นอกจากกินสูบดื่มเสพ เฟ้อเกินเข้าไปแล้ว ยังมิจฉาทิฐิ ในการจ่ายออก
ไม่สมดุล ขี้เหนียวแรง กลัวเมื่อย กลัวเหนื่อย จะออกแรงหยิบยก ขนย้ายอะไรหน่อย
เป็นต้องออมแรง หนีการออกแรงสุดขีด คือใช้เครื่องทุ่นแรง ให้มากที่สุด
เมื่อรังเกียจ การหยิบยก แบกหาม ด้วยแรงงาน พึ่งลำแข้งตนเอง ชอบชี้ใช้
หรือไม่ก็ต้องกดปุ่ม โดยพึ่งเครื่องอัตโนมัติ มากกว่า อัตตาหิ อัตตโน
นาโถ
ลัทธิบริโภคนิยมอันกลมกลืนกับศักดินาทุนนิยม
นำพาให้คนขี้เกียจ ใช้หยาดเหงื่อ น้ำแรงตัวเอง เสร็จแล้ว วิบากกรรม
ตามทันตาเห็น เช่นดีแต่กินๆ นอนๆ อัมพาตรับประทานแน่ๆ หรือแม้จะเข้าใจกัน
กว้างขวาง แล้วละว่า ต้องออกกำลัง คนยังฉลาดน้อยกันอยู่เยอะ เพราะเลือกทำงานเบาๆ
เอาแต่ชี้นิ้วยิ่งดี ครั้นจำเป็น ต้องออกกำลังกาย มันกลายเป็นเรื่องยาก
ต้องกินเวลาต่างหาก ต้องเปลืองที่ หาอุปกรณ์ หาทางเล่น จ่ายเหงื่อบ้าง
เสียเงินอีกด้วย เป็นเวรกรรม ไม่ค่อยเข้าท่า อย่างนั้นหรือเปล่า มันน่าคิดไหม
เรื่องของเรื่อง น่าจะเป็นปัญหา เพราะเราไปแบ่งแยก การออกกำลังกาย
กับการทำงาน ให้ห่างขาดจากกัน มากเกินไป
ใครที่คิดว่า เมื่อทำงานกรรมกรเหงื่อไหลไคลย้อย
มันงานชั้นต่ำ หน้าโง่ น่าเบื่อหน่าย ชวนเซ็งเครียด พวกคิดผิดๆ แบบนี้
หารู้ไม่ว่า เมื่อต้องจำนน หาเรื่องออกกำลังเปล่าๆ อีกทีหนึ่ง ซึ่งไม่มีผลงาน
สร้างอารมณ์ ปีติใดๆ ไม่มีทั้งเม็ดเงิน เป็นผลพลอยได้ด้วยเลย การหลงเมื่อยฟรีๆ
แบบนี้ มันก็ยิ่งทุกข์ ไม่สนุก จนต้องหาเรื่องเล่น เข้ามาประกอบ ถึงจะยอมเมื่อยล้า
เหนื่อยได้สำเร็จ ดังนั้น การทำงานหนัก ที่มีออกกำลังกาย เต็มที่ กับการที่ต้องออกแรงหนักฟรีๆ
โดยไม่มีท่าอะไร ไม่มีทั้งผลงาน ไม่มีทั้งเม็ดเงิน ดีไม่ดี ต้องเสียเงิน
เพื่อจ่ายแรง ไม่รู้ว่า ใครมันน่าโง่กว่ากันเน้อ
จะเห็นชัดว่า งานหนักซึ่งออกแรง
ย่อมได้สุขภาพไปในตัวเสร็จ โดยเฉพาะแม้แต่การทำงาน อาบเหงื่อ ต่างน้ำ
โดยทำให้ฟรี มันก็ฉลาดกว่าพวกออกแรงดีดดิ้น เต้นแร้งเต้นกา หาทางเมื่อยเปล่าๆ
ลอยๆ โดยไม่เกิด งานอะไรเลย
ทฤษฎีแบ่งงานกันทำ ได้นำพาผู้คนหนีงานหนักสมัครงานเบาๆ
จนสุดโต่ง การหลงเมาสบาย จนเลยเถิด จึงเกิดอบายนรก ของคนขี้เกียจ เช่นนี้ขึ้นมา
เรื่องของคนกินเกิน ติดสบายแล้วขี้คร้านงาน
จนกระทั่งโรคอ้วน พิกลพิการ ทางบุคลิกสุขภาพ ผู้คน ชักจะ ตื่นตัว เห็นทุกข์เห็นภัย
ขึ้นมาบ้าง แม้จะเกาไม่ถูกที่คันก็ตาม
โรคอ้วนทางเนื้อหนังมังสา ก็ว่ากันไปตามภูมิปัญญาตื้นลึกหนาบาง
โรคโลหิตจาง คงจะแก้ง่าย ไม่ยากเย็น
โรคทรัพย์จาง ใครๆ แสนจะรู้ดีแต่แก้กันไม่ตก
โรครวยเงิน
คงไม่มีใครรู้จักง่ายๆ เพราะไม่เชื่อดอกว่า รวยเงินมันจะเป็นโรคได้อย่างไร...
เป็นโรคร้ายยิ่งใหญ่ได้แน่นอน เมื่อรวยเงินไม่พอ
ยังไงล่ะ!
รวยไม่รู้จักพอนี่แหละ พาจนอย่างน่าสมเพช
อย่างที่เห็นๆ กันโทนโท่ บ้างรวยน้ำเงิน หมื่นล้าน แสนล้าน ยังไม่ยอมพอเลย
แล้วจะไม่นับว่า จนน้ำใจ ด้วยหัวใจ ยังขาดแคลนได้อย่างไร?
ตรรกะง่ายๆ ถ้ารู้จักพอ มีนิดหน่อย มันก็พอได้ ถือว่ารวยได้ที่ และไม่นับว่าจนแล้ว
รวยจน เป็นเรื่องของ การเปรียบเทียบ หากเราไปเปรียบเทียบกับมหาเศรษฐี
เราย่อมจน กระจอกงอกง่อย แต่พอไปเทียบกับ พระพันธุ์แท้ ที่กล้าจน เราก็อาจรวยกว่า
พระคุณเจ้า เป็นไหนๆ
คำพระจึงว่า สนฺตุฏฐี ปรมํ ธนํ สันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง คาถาแก้จน
จึงอยู่ที่ มักน้อย ใจพอ โดยกล้าจน หรือ จนให้เป็น ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง
เพราะเลี้ยงปากท้อง ด้วยลำแข้งตัวเองได้ จนกระทั่ง ให้คนอื่น พึ่งพาได้
อีกต่างหาก เมื่อกล้าเสีย กล้าให้ แทนกล้าได้ มันจะรวยล้น ได้ที่ไหนง่ายๆ
เห็นคนทั้งโลก พากันกล้ารวย ยิ่งยังไม่รวยเป็นบ้า ย่อมอยากบ้ารวยไม่เสร็จอยู่นั่นเอง
และแม้ใคร จะรวยเป็นบ้า ก็ยังไม่เห็น เขาจะหายบ้ารวย ตรงไหนเลย มีแต่บ้ารวยอย่างช่วยไม่ได้
ต่อไป ยิ่งๆ ขึ้น
โรคอ้วนเนื้ออ้วนตัว
ยังมีมาตรฐาน มันเกินงามแล้วนะ อันตรายแล้วนะ
สำหรับโรคอ้วนเงิน
ไม่เคยปรากฏ ในความรู้สึกของคน
แต่เชื่อไหมว่า
รวยล้นเกินไปเท่าไหร ยิ่งเสียหายอันตราย เป็นทุกข์มากเท่านั้น
ทำอย่างไร ถึงคนจะเห็นทุกข์ในความรวยเงินขี้โลภขึ้นมาบ้าง
เพราะว่ารวยล้นหนีไม่พ้นต้องไปดูดกำไรเอาเปรียบจากใครๆ เขามาเข้ากระเป๋าตัวเองใครบอกว่า
คนรวย ทำอะไร ไม่น่าเกลียด คงไม่จริงขนาดนั้น แค่จะฉวยโอกาส ฟันกำไรมากๆหน่อย
ยังต้องหมกเม็ด ซ่อนเร้น อำพราง อย่างเช่น ไม่กล้าบอกต้นทุน ของตัวเอง
ขืนเปิดเผยไป แล้วจะบวกกำไร มากเกินควร ย่อมทำไม่ได้ ผู้ซื้อไม่ชอบใจแน่ๆ
และมันก็น่าละอายใจด้วย ธุรกิจทุนนิยม จึงยากที่จะแสด งความโปร่งใส
การค้า ที่นึกว่า ชอบธรรมนักหนา จริงๆ แล้ว ไม่เป็นที่ชอบใจของคู่ค้า
เท่าใดเลย เพียงจำนน ต้องยอมเสียเปรียบ ทีใคร ทีมัน อย่างนั้นมากกว่า
การค้าที่ต้องปิดบังอะไรต่างๆ สะท้อนให้เห็นความกลัว ใครเขาจะมา รู้ความจริง
และ การฉกฉวยกำไร โดยคนเขาไม่เต็มใจให้ จุดนี้น่าคิดบ้างไหมว่า เท่ากับ
อทินนาทาน เป็นโจรกรรม ในระดับหนึ่งๆ ซึ่งย่อมน่าเกลียด น่าอาย มากน้อย
ตามจริง ใครไม่เชื่อ ว่างๆ ลองคิดดูเองดีๆ
จะเห็นได้ว่า ความรวยเงิน ที่ได้จากการยื้อแย่ง
แก่งชิงด้วยกลเม็ดเหลี่ยมเชิง ซ่อนซ้อนเม็ดเงิน ก้อนทอง ที่ได้ ตามลักษณะ
ดังว่านี้ คงไม่น่าชื่นชม อะไรนักหนา ในขณะที่ต้อง ละอายใจลึกๆ คงจะตรงข้าม
กับกรณี ที่ทำมาหาได้ ด้วยน้ำพักน้ำแรง เช่น กสิกรปลูกผักหญ้า ถั่วงา
แล้วธรรมชาติสมบูรณ์ เอื้ออาทร ผลิตผล ล้นหลาม ความรวยด้วยผลผลิต แบบนี้สิ
น่าจะสง่างาม ภาคภูมิใจ ได้จริงแท้ยืนยาว เพราะไม่ได้ เบียดเบียนใคร
ฟ้าดินให้มากินใช้ มันชวนสบายใจ ต่างกันลิบลับ กับการกินแรง แย่งชิงจาก
เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ดูต้นไม้ใบหญ้า ถึงจะโตใหญ่ ก็ไม่รู้จักทำเพื่อตัวเอง
ไม้ใหญ่ผลดอกของพืช ย่อมเป็นปัจจัยสี่ ให้คนได้กิน ได้ใช้ สุขสำราญ
แล้วดูคนที่เกิดมา จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันแค่ไหนบ้าง
หรือว่าหลายคน คงสู้ต้นไม้ ต้นหนึ่ง ก็ไม่ได้ด้วย แบบนี้ยิ่งเกิด เสียชาติคนแน่ๆ
เลย
เพราะฉะนั้น ต้นไม้ใบหญ้า จะโตใหญ่ในตัวมันเอง
ย่อมเป็นคุณค่าแก่คน และฟ้าดิน
สำหรับคน แค่จะกินให้อ้วนใหญ่เกินพวกมันจะน่าเกลียด
ขี้โรค อายุสั้น อยู่ไม่เป็นสุขแล้ว
คนจึงต้องมีขนาดพอดีในการบำรุงเลี้ยงตัวเอง
เช่นเดียวกับการกอบโกยเงินทอง ของกินใช้ในโลก ที่มีอยู่จำกัด ใครกักตุนหวงไว้เกินจำเป็น
ย่อมเสียกับเสีย ทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นโทษภัย ทั้งตัวเอง และคนอื่น
เนื้อหนังที่อ้วนหนักหนาเกินใช้งาน
จากกล้ามเนื้อ เอ็น กระดูก มันกลายเป็นโรคอ้วน ที่คนรู้ดี ข้อนี้ฉันใด
เงินของหรือข้าวของที่ดูดกองไว้เกินกินเกินใช้
อย่างพอเหมาะ ความรวยล้นเกินเฟ้อ ดังว่านี้ ก็เป็นโรค มหาภัย ได้เต็มๆ
เช่นกัน ฉันนั้น
แต่จะมีใครกลัวโรคกล้ารวยนี้ สักกี่คน.....!?
ศาสนาทุกศาสนา ศาสดาพันธุ์แท้ทุกองค์
ล้วนนำพา ให้กล้าให้ มากกว่ากล้าเอา ทั้งนั้น เมื่อกล้าให้ มากกว่ากล้ารับ
งบบัญชีกำไรขาดทุน จะออกมาเป็นกำไรสะสม รวยล้นได้อย่างไร
ตัวอย่างๆ ใครๆ ย่อมรู้จักให้ทาน
มีร้อยก็ให้ ๒-๓ บาท แบบนี้ถือว่าเก่งแล้วครับ ก็เก่งกว่าคนไม่กล้าให้
แต่เมื่อได้เป็นแสน เป็นล้าน ก็ให้แค่ ๒-๓% หรือ เศษน้อยกว่านี้อีก
นั่นคือทำทานแบบ ไม่มีอัตรา ก้าวหน้า บูรณาการ เสียเลย นับวันยิ่งรวยล้น
เพราะกล้าได้ มากกว่ากล้าให้ จะถือว่าเป็นทาน ก็ทานชั้น อนุบาลหนึ่ง
ซ้ำซาก ประมาณนั้น
ด้วยเหตุนี้ หากใจถึงทานจริงๆ คงไม่มีวันรวยล้น
จนเป็นโรคกล้ารวยแน่ๆ
เท่าที่คุยให้ฟังมา อาจจะยังไม่ชัดอยู่ดีว่า
ความกล้ารวย เป็นโรคได้อย่างไร
พระพุทธเจ้าทรงสอนเสมอว่า ความไม่มีโรค
เป็นลาภอย่างยิ่ง อาโรคฺยา ปรมา ลาภา ชาวเราคงคิดว่า ความไม่มีลาภ
เป็นโรคอย่างยิ่ง
ชีวิตเลยต้องไขว่คว้าหาลาภ ยศ สรรเสริญ
โลกียสุข อันเป็นโลกธรรมให้เต็มที่
โลกธรรมที่คนฝันใฝ่ดูจะมี ๔ ครั้นดูลึกซึ้งหน่อย
จะเห็นว่ามี ๔ คู่ กลายเป็นโลกธรรม ๘ คือมีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ
สรรเสริญก็คู่นินทา โลกียสุข พอตกสวรรค์ กลายเป็นโลกีย์ทุกข์ ทันตาเห็น
โลกธรรมมี
๘ จะเอาแต่ ๔ ที่ชอบใจล้วนๆ คงไม่มีพระเจ้าองค์ไหนบันดาลให้ได้
อนึ่ง ประเด็นความไม่มีโรค คนมักเข้าใจตื้นๆ
ว่า หมายถึงโรคทางกาย ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แม้ใครจะอยู่ดี มีสุข ไม่ป่วยไข้
ตลอด ๘๐ ปี๑๐๐ ปี ก็ตาย จะบอกว่า เป็นลาภดีเหลือเกิน ถึงปานนั้น พระสูตรท่าน
ขยายความ ให้ฟังว่า ยังไม่ถือว่า เป็นลาภอันประเสริฐ เลิศยอดถึงไหนดอก
ที่จะเป็นลาภวิเศษจริงๆ ท่านหมายถึง โรคโลภะ โทสะโมหะ อันนี้ต่างหาก
ความขี้โลภ
กล้ารวยไม่เสร็จ จึงเป็นโรคที่ยากจะเห็น อ้วนเนื้ออ้วนตัว คนกลัวกันดีก็เป็นบุญ
แต่อ้วนเงิน อ้วนทอง ไม่รู้จักพอ เมื่อไหร่จะรู้สักทีนะ..... ว่าเป็นโรคกล้ารวย
ซึ่งไม่มีทางรักษา ถ้าอยู่นอกศาสนา บุญนิยม!!
"เมื่อไหร่จะรู้สักที"
เมื่อไหร่จะรู้สักที
นะ! ว่ามีมากแล้วอะไร
แถมมีเสียจนท้นท่วมเท่าใด-เท่าใด-เท่าใด
เท่าใด...ไม่เคยรู้ตัวว่าเฟ้อ
จนอะไรหรือรวยอะไร ?
จนอะไรหรือรวยอะไร ?
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๕๕ มิถุนายน ๒๕๔๖) |