>เราคิดอะไร

เวทีความคิด - เสฏฐชน -

แต่งงานดีกว่านะ

พูดถึงเรื่องแต่งงาน วัยรุ่น หนุ่มๆ สาวๆ จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที เพราะเป็น วัย "หัวใจสีชมพู" ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นสีชมพู จะเป็นสีอื่นไม่ได้หรือไง? ทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่เครื่องเครา ที่ใช้ตกแต่ง ขันหมาก ตกแต่งสถานที่กำลังจัดงาน "มงคลสมรส" มักจะเป็นสีแดง ชุดเจ้าสาวก็สีแดง ผ้าประดับโต๊ะ ติดหน้างาน ก็สีแดง ดอกไม้ประดับหน้าอกก็สีแดง บางทีผ้าปูโต๊ะก็สีแดง ยิ่งคนจีนด้วยแล้ว สีแดงย่อมเป็น สัญลักษณ์ ให้รู้ว่าบ้านนี้ กำลังมีงานอะไร โดยไม่ต้องไปดูให้ถึงตัวก็ได้

ทำไมต้องใช้สีแดง บางคนบอกว่า เพราะเป็นสีแห่งความรัก เป็นสีแห่งความสุข บางคนก็บอกว่า เป็นสีแห่งความเร่าร้อน เป็นสีของราคะจิต น้อยคนที่จะตอบว่า เป็นสีที่บ่งบอกถึงการสูญเสีย "เลือด" ซึ่งก็คงหมายถึง คราวที่จะต้องสูญเสีย "เยื่อพรหมจรรย์" นั่นเอง

ไม่มีใครคิดว่าการสูญเสียเลือดเนื้อ จนกระทั่งหลั่งเลือด ในกรรมกิริยานี้ เป็น"ความทุกข์" แม้หาก จะสอบถาม ความรู้สึก ของทั้งสองฝ่ายกันจริงๆ แล้ว โดยเฉพาะผู้หญิง คงจะทุกข์มากกว่าสุข แต่เพราะ ภาวะจำยอมที่ "เกิดมาเป็นผู้หญิง" ไม่อาจผ่านพ้น วิถีชีวิตเช่นนี้ ไปได้ง่ายนัก ในเมื่อความยึดถือ การวาง สมมติไว้ ในสังคม มักจะ "สนับสนุน-ส่งเสริม" ให้แต่งงาน มากกว่าให้อยู่เป็นโสด ซึ่งก็สอดคล้อง กับค่านิยม อีกอย่างหนึ่ง คือ "ภัสดาเป็นธงชัยของสตรี" จึงทำให้ผู้หญิง ที่แม้คิดจะอยู่เป็นโสด ก็ต้องลังเล สุดท้ายก็ต้อง ตกกระได พลอยโจน ไปกับค่านิยมนี้

แม้ใครจะอยู่เป็นโสด ต้านกระแสนิยมนี้ได้บ้าง ก็จะต้องมีความหนักแน่น อดทนสูง มีความมั่นใจ เป็นตัว ของตัวเอง มากเพียงพอ ที่จะต้านกระแส การผลักดันเหล่านี้ เป็นพิเศษ เมื่อต้องผจญกับ คำนินทา ค่อนแคะ เปรียบเทียบ นานาประการ ทั้งๆ ที่ผู้หญิงเหล่านี้ มีหัวใจมีความคิด มีสติปัญญา ในการตัดสิน ชีวิตตัวเอง แต่ต้องเป็นเบี้ยล่าง ของสังคมนิยม ปฏิบัติเช่นนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสงสาร แทนที่เธอ จะพ้นจาก วัฏจักรของ "เวรกรรม" นี้ไป ต้องวนกลับมา สู่วงจรเดิมๆ อีก ทั้งๆ ที่บางคน ดูเหมือน จะมีสติปัญญา มองเห็นความทุกข์ มองเห็นปัญหาล่วงหน้า ก่อนจะร่วมหัว จมท้ายด้วยกัน แต่ก็หนีไม่พ้น ก็คงต้องปลง ด้วยภาษาว่า "กรรมของสัตว์" เท่านั้นเอง ในเมื่อเจ้าตัว ก็ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ยังหวั่นไหว ในคำครหา

"สาวทึมทึก-สาวขึ้นคาน-มะพร้าวแก่ฯลฯ" คำเรียกสารพัดสรรพนาม ที่คิดค้นขึ้นมาแคะไค้ เพื่อให้ กระเทือน ความรู้สึก จนกระทั่ง หันไปพลอยเห็นดี เห็นงามตามนั้นๆ บางคนผ่านพ้นฤดูร้อน -หนาว -ฝน มาค่อนคนแล้ว ก็ยังหวนกลับไปสงสัย ในเรื่องนี้อีก จนกระทั่งยอม "สมรส" บั้นปลายชีวิต อยู่กันไม่กี่ปี ก็ลงโลงเสียแล้ว เพราะสุขภาพไม่ให้บ้าง คลอดลูกลำบากบ้าง การปรับตัว เสมือนไม้แก่ดัดยาก เกินไปบ้าง ฯลฯ ไม่ต่างจาก "ปลาตายน้ำตื้น" หรือ "เรือจมเมื่อจอดท่า" ไม่น่าเล้ย !

ถ้าผู้หญิงคนนั้นเลือกไปบวช เป็นนักพรต นักบวช ก็ยิ่งถูกมองว่า "คิดดีแล้วหรือ?" ทำไมถึงเลือกชีวิต แบบนั้น ในเมื่อ วิถีชีวิตของ "บรรพชิตเพศหญิง" ไม่ได้รับค่านิยม จากสังคมเท่าที่ควรจะเป็น ค่อนข้าง จะถูกดูหมิ่น ดูแคลน เสียอีก จนพาลให้คนนึกๆ คิดๆ เหมือนกันว่า ผู้หญิงที่มาบวช คงจะ "อกหัก" มาทั้งนั้น เพราะ ค่านิยม สังคมเขาพอใจ อยากให้ผู้หญิง "อุ้มบุตร" มากกว่า สนับสนุนให้ผู้หญิงเลือก "อุ้มบาตร"

เพราะจำนนต่อความจริงที่ว่าหากผู้หญิงไม่อุ้มท้อง มีบุตร การสืบตระกูลของอีกฝ่าย คงจะหมดหนทาง สิ้นโคตร พงศ์เผ่าเหล่าก่อ โดยไม่ต้องคิดอะไร ให้มากไปกว่า มุ่งประเด็น ให้สืบเผ่าต่อกอของตนๆ สืบวงศ์ ตระกูล ของตนๆ ไปตราบฟ้าดินสลาย ในเมื่อธรรมชาติมอบหน้าที่ ให้แก่เพศหญิง ให้เป็นฝ่ายรับก่อ รักษา เกิด เลี้ยงดู จนกว่าจะเติบโต แล้วมอบให้เป็น สมบัติของโลกต่อไป

ถ้าผู้หญิงไม่รับหน้าที่นี้ คนก็จะหมดโลกทีเดียว เพราะคนจะไม่มีโอกาสเกิดอีก ตราบที่ไม่มีครรภ์ มดลูก อาศัย เป็นแหล่งเพาะตัว คนจึงกลัวเชื้อเผ่าเหล่ากอของตนๆ จะหมด จึงไม่สนับสนุน ให้ผู้หญิงบวช ปิดอู่มดลูก หยุดผลิตคน

ดูแต่คนที่แต่งงานกัน ถ้าผู้หญิงไม่คิดจะมีลูก ผู้ชายก็คงจะไม่แต่งงานด้วย เพราะว่าผู้ชายแต่งงาน ส่วนใหญ่ มักจะมีความฝัน วาดหวังสำเร็จรูปเหมือนๆ กันเป็นส่วนใหญ่คือ "อยากให้มีลูก เต็มบ้าน มีหลานเต็มเมือง" จนประโยคนี้ กลายมาเป็นคำอวยพร ที่ใช้กันเกร่อ ฉะนั้น แม้ผู้หญิงจะไม่มีจิต อยากได้ลูก ก็ต้องทำหน้าที่ ผลิตลูก จนกระทั่ง มีวิธีการซื้อผู้หญิงข้ามประเทศ เพื่อทำพันธุ์โดยเฉพาะ ดังข้อมูล จากการเขียนของ"ล่าม" ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่นำมาเปิดเผยว่า ผู้ชายในต่างประเทศ ที่เกษียณ อายุราชการแล้ว สั่งผู้หญิง จากเมืองไทยไป "ทำลูก" โดยตรง เมื่อได้ลูกแล้ว ภรรยาก็เหมือนคนอื่น มิหนำซ้ำ ยังเกิดกรณี ฆ่าภรรยา เพราะเพียงต้องการลูก เท่านั้น เป็นพอ เป็นอาชีพหนึ่ง ของผู้หญิง ที่ลำบาก จนทางทำมาหากิน อาชีพอื่นๆ ที่ดีกว่านี้ เพื่อต้องการ เงินก้อนใหญ่ มายังชีพ จึงต้องแลกด้วย เลือดเนื้อชีวิต จิตวิญญาณ สุดท้าย ก็ไม่ได้ใช้เงินนั้นอยู่ดี เพราะถูกฆ่าตายเสียก่อน บางคนก็โดน เชื้อโรคร้าย ที่สังคมรังเกียจ

บางคนไม่ได้ต้องการ "เสพเพศรส" แต่เพราะความกลัวภัย ความกลัวปากคน ความกลัวนานา สารพัด ในความเลวร้าย ของโลก ของคนในโลก ของเพศตรงข้าม จึงทำให้ต้องหาที่พึ่ง ที่คิดว่า จะเป็นที่พึ่งได้ เพียง เพราะรูป ที่แตกต่าง เพียงเพราะความเข้าใจว่า แข็งแรงกว่า หรือเพราะฐานอำนาจ มั่นคงกว่า ความยิ่งใหญ่ มากกว่า จึงต้องยอม เอาตัวเข้าแลก แต่ก็ไม่ได้ทำให้พ้นภัยที่ว่านี้ ในเมื่อภัยนั้น มาจาก "กิเลสภัย" ที่เป็น เจ้าของชีวิต จิตใจสัตวโลกอยู่ ยังคงทำหน้าที่ของมัน อย่างซื่อสัตย์ จนกระทั่ง ผู้คุ้มครอง เองนั่นแหละ เป็นสื่อ เป็นตัวกระทำ เป็นผู้ก่อภัย เหล่านั้นให้

ดูได้จากที่หมอฆ่าภรรยา หรือคู่รักที่มีข่าวถี่ มากขึ้นในระยะนี้ ซึ่งคงไม่จำเพาะแต่อาชีพหมอเท่านั้น อาชีพ อื่นๆ ก็มีเหตุการณ์ทำนองนี้ อาจจะมากกว่าด้วย แต่ไม่เป็นข่าว เพราะติดตามไม่ทั่วถึง หรือไม่มีคนบอกเล่า ไม่รั่วไหลออกมา ให้คนรับรู้ ไม่มีสื่อไปทำข่าว เพราะเจ้าตัวเรื่อง ไม่มีชนวนให้น่าสนใจ ธรรมดาคนเดินดิน กินข้าวรถเข็น คงไม่ทำให้ฮือฮา เท่ากับคนมีฐานะ มีเงิน มีชื่อเสียง

ผู้ชายบางคนอยู่ในเพศบรรพชิต ก็ยังอดที่จะอยากสืบต่อวงศ์ตระกูลของตนไว้ไม่ได้ ทำให้นิกาย "พระมี ภรรยา -ลูก" ยังมีอยู่ในบางประเทศ เพราะแม้ประเทศ ที่เคร่งครัดต่อบทบัญญัติ พระวินัย ก็ยังมี ผู้มีแนวคิด เช่นนี้ หลงเหลืออยู่ ด้วยเหตุผลที่ดีกว่า จำพวกก่อนหน่อยหนึ่งว่า เพื่อรักษาเชื้อดี สงวนพันธุ์ ดีๆ เอาไว้ จนต้อง ยกเหตุผล ตามตำนาน ประวัติของอาริยโสดาบัน เฉกเช่นนางวิสาขา ที่มีครอบครัว มีลูกหลายคน มาค้ำประกัน ความเชื่อถือ ย่อมแสดงถึงน้ำหนัก ของอุปาทาน ในเรื่องนี้ได้มากพอ

ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไม? ผู้หญิงโสดจึงมีน้อย หรือทำไม? ผู้หญิงออกบวชจึงมีน้อย ในเมื่อ หนทางเลือก ดำรงชีวิตทั้งสองด้าน ค่อนข้างตีบตัน ต้องอาศัยการฝึกฝน ความหนักแน่น ของจิตใจ มากจริงๆ จึงจะผ่านพ้นภูเขากันดาร ลูกนี้ไปได้

ภูเขาแห่งความยากลำบาก แห้งแล้ง ดงป่าทึบ เรียวหนาม และศาสตราวุธ แรงลมปาก แรงกรรม แรงวิบาก ที่ผนึก กำลังประสมประสานกัน เป็นคลื่นลูกใหญ่ ที่จะถาโถมกระหน่ำใส่ผู้หญิง ที่คิดดำรงชีวิต อยู่อย่าง ต้าน กระแสนั้น เคยแรงอย่างไรในอดีต ปัจจุบันก็ไม่ได้ลดความแรงลงเลย มิหนำซ้ำ อาจจะแรงยิ่งกว่า ด้วยพลังงานแฝง ที่ซ่อนซ้อน อยู่เบื้องหลัง

หากยังมองภาพลักษณ์ไม่ชัดเจน ลองถามความรู้สึกของตัวเองก็ได้ ไม่ว่าผู้หญิงที่เป็นพี่สาว น้องสาว พี่สะใภ้ ย่า ยาย จนกระทั่ง แม่ตัว ยินดีให้ลูกสาวออกบวช ถือเพศบรรพชิต หรือเต็มใจ ให้ลูกสาว "สมรส" ออกเรือน ไปมากกว่า?

ถึงแม้ผู้หญิงบวชแล้ว ใครล่ะจะเชื่อ นับถือบ้างว่าตนเองจะเกาะชายจีวรลูกผู้หญิงไปสวรรค์ ไปนิพพาน เช่นเดียวกับ ชายจีวรผู้ชาย ทั้งๆ ที่ได้ยิน ได้เห็น รู้อยู่แก่ใจว่า ผู้หญิงทุกข์ เพราะคู่สมรสปานใด? แม้จะอาจ ได้คู่ชนิด "ถือไม้เท้ายอดทอง - กระบองยอดเพชร" ก็ตาม

ในเมื่อสัญลักษณ์ของ "ไม้เท้า" ก็คือความเฒ่าชะแรแก่ชรา บ่มีท่าอะไร ให้น่าพิศวาส พิสมัย จนตัวเอง ก็อดเบื่อ ตัวเองไม่ได้ จะไม่ให้คนอื่น เขาเบื่อยิ่งกว่าอย่างไร? ในเมื่อเขาสมรสด้วย ก็เพื่อให้มาเป็น "ทาสีภรรยา" อันหมายถึง การรับใช้ทุกอย่าง ในขณะสาวๆ อาจจะทำได้อยู่ แต่เมื่อต่างแก่ด้วยกัน มิหนำซ้ำ ร่างกายที่อ่อนแรงกว่า จะมีอะไรเหลือไว้เผื่อใช้ เผื่อใครอีกเล่า? สัจธรรมนี้ ไม่ปรากฏแก่ใจ บ้างหรือกระไร? ทั้งๆ ที่ แม้การคัดเลือกผู้ชายมาบวช ก็ยังปรารถนาผู้หนุ่ม ผู้มีผมอันดำขลับ มีเนื้อหนังเต่งตึง ดังที่ปรากฏ ยืนยัน ในพระสูตร ที่สรรเสริญ ผู้บวชแต่หนุ่ม เช่นกัน แม้ชายเฒ่า ก็ยังต้องการละอ่อน มาเป็นภรรยา ไม่ต่างไปจากพ่อค้า กระฎุมพี ที่นิยมใช้วัวหนุ่มวัวสาว เทียมเกวียน ควายหนุ่มควายสาว ลากคันไถ หรือ ผสมพันธุ์ เพื่อประโยชน์มาก ประโยชน์หลายทั้งด้านเพิ่มผลผลิต และเพิ่มจำนวนสินค้า "ขายชีวิต"

ชีวิตที่ถูกขายจากทุกสารทิศ จากทุกรูปแบบ จากทุกสรรพสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์สุนัข พันธุ์ม้า พันธุ์ปลา รวมถึงพันธุ์คน ที่สมัย ครั้งกระโน้นยังแสดงในรูปตรงๆ ชัดๆ เจนๆ ถึงระบบ "ค้าทาส" แม้ทุกวันนี้ จะแปลงโฉมไป ในรูปแบบอื่น ที่จะต้องเจาะวิจัยความหมาย ให้ถึงแก่นแท้ ของเจตนาผลิตภัณฑ์ ก็ตาม

จริงอยู่เหมือนกันที่คนจะอ้างถึงเรื่อง "งาน" มาเป็นรากฐานของศักดิ์ศรีเกียรติยศ ในสังคม ไม่ว่า จะกำหนด พื้นฐาน อยู่ในขีดวงกฎหมาย หรือข้อกำหนด จารีตประเพณี ให้เป็นงานมีเกียรติ จนดูประหนึ่ง เกียรติ ยศศักดิ์นั้น ถูกวางอยู่บนมาตรฐานของ "ความดี" ไม่ผิดกติกาของสังคม ที่บัญญัติเรียกว่า "กฎหมาย" เรียกว่า "ศีลธรรม"

แต่เราก็ยังพบเรื่องราวชีวิตผู้หญิงที่ถูกรังแก ถูกทำร้าย ถูกเบียดเบียนด้วยเนื่องมาแต่งานนั้นๆ ไม่ว่าจะ เป็นงานโลกๆ หรืองานศาสนา ซึ่งผู้หญิงต้องหาทางคลี่คลายความคับข้องใจในการเลือกปฏิบัติเช่นนั้นๆๆ ปลงวางจากบทบริกรรม ยกให้เป็นเรื่อง "เวร" เรื่อง"กรรม" เรื่อง "วิบาก" แล้วๆ ไป

ทั้งๆ ที่คำสอนในศาสนาก็บันทึกไว้ว่า"ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรม คนทำกรรมกับคนด้วยกัน หาใช่สิ่งอื่นใดมาทำให้ กรรมปัจจุบันที่รู้ๆ เห็นๆ เป็นเหตุนำ เหตุจริงที่สัมผัส แตะต้องได้ มากกว่ากรรมที่เป็นเพียงความเชื่อ ความยึดถือ ความงมงาย ความโง่หลง ข้ามภพ ข้ามชาติ หรือเป็นกรรมมาแต่อดีตอันระลึกไม่ออก คิดไม่ถึงครั้งกระโน้น

แต่ถ้าผู้หญิงคนใด ถูกรังแกด้วยเพศตรงข้าม ก็มักจะต้องปลอบใจตัวเอง เยียวยา รักษาหัวใจตัวเอง ด้วย สูตรสำเร็จ ที่รู้ๆ กัน ใช้ๆ กันเป็นอมตะตลอดมาให้เป็นเรื่องของ "เวรกรรม" "วิบากกรรม" แต่ปางไหนๆ มากกว่าที่จะช่วยกันพินิจพิเคราะห์เฟ้นหาคำตอบจากพฤติกรรมของคู่กระทำกรณีนั้นๆ

ถึงแม้ชีวิตสมรสจะหนักหนาสากรรจ์ปานฉะนี้ คนก็ยังนิยมชมชื่น ชอบพอที่จะคงดำรง ความเป็นเพศคู่ กันอยู่ เชียร์ให้ "แต่งงานดีกว่านะ"

ทั้งๆ ที่แม้แต่งงานแล้ว ก็มิวายถูกข่มขืนทางเพศ ตราบขณะที่ตัวเองไม่สมัครใจ

ถูกละเมิดสิทธิส่วนตัว ขณะที่ตัวเองไม่พร้อมที่จะเสพเพศรสด้วย คดีฟ้องร้องของคู่สามีภรรยา ที่ถูกสามี ทำร้ายร่างกาย ถูกข่มขี่ บังคับในกิจกรรมบนเตียงเช่นนี้ ไม่มีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์คนไหน จะรับเรื่อง ตัดสิน กำหนดโทษ มากกว่าพูดประโลมให้ออมชอม อภัยกัน เพื่อจะได้ไปทำ "วิธีกรรม" นั้นๆ ต่อ...และต่อไป

ผลพวงของการเสพเพศรส จึงทำให้ผลผลิตคุณภาพตกต่ำลง ตกต่ำลง ตามวันเวลาที่ความหนา-หยาบ ของจิตใจคน ประกอบกิจเช่นนี้ เพิ่มขึ้น

ลูกที่เกิดมาภายหลังจึงไม่มีความสำนึกในเกียรติของความเป็นคนของกันและกัน

ลูกที่เกิดมาภายหลังจึงไม่มีความกตัญญูกตเวทีกันและกัน

ลูกที่เกิดมาภายหลังจึงไม่มีความสำนึกบุญคุณซึ่งกันและกัน

ลูกที่เกิดมาภายหลังจึงไม่มีความดีที่จะพึ่งพาได้ซึ่งกันและกัน ฯลฯ

มิหนำซ้ำกลับอาจกลับตาลปัตร กลายเป็นคู่ต่อสู้ คู่แข่งขันกันและกัน

จึงไม่ต้องสงสัยว่ายุคนี้ทำไม? ลูกชายจึงฆ่าพ่อ

จึงไม่ต้องสงสัยว่ายุคนี้ทำไม? พ่อจึงข่มขืนลูกสาว

จึงไม่ต้องสงสัยว่ายุคนี้ทำไม? แม่จึงทอดทิ้งลูกชาย

จึงไม่ต้องสงสัยว่ายุคนี้ทำไม? ลูกชายจึงทำทารุณกรรมแม่

วิญญาณของความชั่วร้าย ผงาด ท้าทายทำให้ความเป็นคนดียากขึ้นเรื่อยๆ

"งาน" ของคนจะทำให้คนพ้นทุกข์ได้จริงหรือ?

อาจพ้นทุกข์ด้านการหาปัจจัย ๔ มาหล่อเลี้ยงร่างกายได้

แต่จะพ้นทุกข์ด้านการหาคุณธรรมมาหล่อเลี้ยงจิตใจได้ล่ะหรือ? ทั้งๆ ที่บางทีงานนั่นแหละ เป็นดรรชนี ชี้บอก ไปถึงคุณธรรมด้วย แม้ไม่อาจอ่านใจคนด้วยกันออก แต่งานที่คนแต่ละคนทำ ย่อมบอกถึง ใจที่สั่งการ ให้ทำงาน จนกลายเป็นอาชีพนั้นๆ นักฆ่า นักดัดแปลงเปลี่ยนข้าวของ นักเลงคุมผู้หญิง ที่ค้าประเวณี นักพูด นักดื่ม นักเที่ยว นักเล่น นักอะไรๆต่อมิอะไร ที่ทำให้อาชีพต่างๆในโลก มีแนวโน้ม ที่เห็นแก่ตัว มากขึ้น หวัง ผลย้อน กลับคืนมาให้ตัวเองกำไรได้มากยิ่งๆ ขึ้น ใครจะปฏิเสธว่า ล้วนมาแต่ การคิดค้น หาวิธี หาช่องทาง มาก่อนทั้งสิ้น แล้วจึงจะถ่ายทอด สร้าง ก่อเป็นรูปธรรม วัตถุธรรมภายหลัง งานที่ก่อกรรม อันเลวร้าย ทำความ เจ็บปวด ทารุณแก่คนด้วยกัน นานับประการ จึงยังมีอยู่ในโลก แม้จะออกกฎหมาย วางมาตรการ ลงโทษ ผู้มีพฤติกรรมเช่นนั้นๆ ไว้ชัดเจน แต่ก็ไม่มีฤทธิ์ ทำให้คนกลัว หยุดกรรมชั่ว เหล่านั้น กลับจะยิ่งทวี ความซับซ้อน ทำได้มากๆ ยิ่งๆ ขึ้น มิหนำซ้ำ กลับคิดอุปกรณ์ เครื่องประกอบการ ได้วิจิตรพิสดาร ยิ่งขึ้นด้วย

คนขยัน เอาภาระ มีความรับผิดชอบในการประกอบอาชีพ ทำมาหากิน ไม่ว่าจะหาเลี้ยงตัวเอง จนกระทั่ง มีกำลังความสามารถมากหาเลี้ยงผู้อื่นได้ด้วย นอกจากจะมีคุณสมบัติ ของธรรมดา สามัญชน ที่ดี ประมาณ หนึ่งแล้ว คือ มีความสุขกับการหาทรัพย์ มีความสุขกับ การบริโภคทรัพย์ มีความสุขกับ การไม่เป็นหนี้ มีความสุขกับการทำการงาน ที่ปราศจากโทษแล้ว ระดับพื้นฐาน ของความเป็น กัลยาณชน ไม่เป็นขยะ สังคม แล้วก็ตาม ก็ยังมีวิวัฒนาการ อีกระดับหนึ่ง ที่คนจะเรียนรู้ ก้าวไปให้ถึงได้ก็คือ การฝึกฝน อบรมตนให้เป็นผู้รู้จัก "สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว" ด้วย ซึ่งเป็นหนทาง ในการตกแต่ง งานในชีวิตประจำวันให้ยิ่งๆ ขึ้น โดยนำเอา "ศีล" มาเป็นเครื่องเทียบ ประกอบกับ การทำงานนั้นๆ ซึ่งเป็นงานที่สูง ประณีตกว่าเป็นงานที่สร้างสรรทั้งคนดี ทั้งวัตถุบริโภคที่ดี ทั้งสังคมดี ทั้งโลกดี สูงไปจนถึ งจิตวิญญาณดี อันเป็นประธาน ของสิ่งที่ก่อเกิด ทั้งปวง ในโลกด้วย

ฉะนั้นคนผู้มีญาณปัญญาทั้งหลายจึงพยายามถ่ายทอด ปลูกฝัง สั่งสอน ทำนำ ดำเนินวิถีชีวิต ให้ดู เป็นตัวอย่าง และชักชวน โน้มน้อม ให้คนทั้งหลายมา "แต่งงานดีกว่านะ" คือแต่งกับงาน ที่เป็นสัมมา กัมมันโต สัมมาอาชีโว หรือ ปรับแต่งงาน ให้เจริญสู่กุศลงดงามยิ่งๆ ขึ้นนั่นเอง

อย่าใช้เวลาให้สูญเสียไปกับการมัวแต่แต่งตัว แต่งหน้า แต่งตา แต่งสวย แต่งงาม แต่งเรื่องอื่นๆ ใดๆ ที่เป็นเรื่อง โลกียกรรมต่างๆ ที่นำมา ซึ่งความเดือดร้อน ก่อเวร ทำบาปแล้วๆ เล่าๆ อีกต่อไปเลย

 

เพลงชีวิต หมายเลข ๓
แม้เจ้าจะตาบอด มาแต่กำเนิด
แต่เจ้าก็ยัง "เห็น" แสงสว่างของโลกได้

เจ้ายัง"เห็น"แมกไม้ และเกลียวคลื่น
เจ้ายังสามารถ"เห็น"คนเศร้าโศก "เห็น"คนระเริงสุขได้

แม้เจ้าจะหูหนวกมาแต่กำเนิดอย่างสนิทปานใด
เจ้าก็ยัง "ได้ยิน" เสียงของนกร้องละเมอ...

เสียงของความอลวนของโลก
เจ้ายัง"ได้ยิน"เสียงคนด่าทอ และเสียงสรรเสริญเยินยอได้

แม้คนผู้หนึ่งจะพยายามปิดตา ปิดหูของตน
ให้มันบอด และหนวกสนิท เช่นนั้นก็ตาม
คนผู้นั้นก็จะต้อง "รู้" ต้อง "ทราบ" โลก "ทราบ" ชีวิต
ที่มันเป"นไปอยู่ ในโลกนี้ได้
ไม่น้อยไปกว่าคนดีๆ ธรรมดาๆ เลย

เพราะโลกนี้ มี "วิญญาณ" !!
การสัมผัสต่างๆ ที่ทำให้คน "รู้" ได้ นั่นแหละ คือ "วิญญาณ"

ผู้มี "วิญญาณ" ชาญฉลาดแท้ จะสามารถเห็นแจ้ง ว่า...
อย่างนั้นแหละ คือ "โลกที่ยังวนเวียน ไม่รู้จบ"
อย่างนั้นแหละ คือ "อารมณ์โลกที่ดึงดูดใจมนุษย์"
อย่างนั้นแหละ คือ "ความเจ็บปวด"
อย่างนั้นแหละ คือ "ความเอร็ดอร่อย"
และนั่นเอง คือ "ความทุกข์" กับ "ความสุข"

"ฆ่า" มันเสียสิ ! ! !
อย่าให้ "เจ้าสิ่งต่างๆ" เหล่านั้น มามีในเรา

โลกมันต้อง "มี" สิ่งเหล่านั้นเป"นธรรมดา
สำหรับผู้ม่รู้ ว่า มันเป"น "มายา"
แต่ "เรา" ต้องเรียนรู้
ต้องลด ต้องฆ่าสิ่งเหล่านั้น อย่าให้ "มี" ในตน

มันเกิดอยู่ มีอยู่ อย่างเก่งฉลาด และพัฒนาเจิดจ้าเต็มโลก
หรือแม้ในตัวเรานั่นแหละ
ที่มันยังหลง "มี" อยู่ อย่างแฝงซ่อนแท้จริง

แต่ มันไม่ใช่ "ของจริง" หรือ "ของเรา" หรอก
อย่าหลงผิดว่า มันคือ "เรา" เลย
และ อย่าหลงผิดว่า มันเป"น "ชีวิตชีวา" ของเราเลย

เมื่อผู้ใด "ฆ่า" มันได้จนตายดับสนิท
ไม่เหลือเชื้อเป"นตัวเป"นตนอีกแน่
แล้วเมื่อนั้น เราจะยืนอยู่สูงสุด "เหนือโลก" อย่างแท้จริง.

๒๐ เมษายน ๒๕๑๔

(เราคิดอะไร ฉบัที่ ๑๕๕ มิถุนายน ๒๕๔๖)