>เราคิดอะไร

เวทีความคิด - แม่น้ำ -

มุมมืดอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ต
เป็นสื่อสารยุคใหม่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในกลุ่มคนมีการศึกษา โดยเฉพาะ คนมีเงินบางคน ใช้มันอย่าง มีประโยชน์ บางคนใช้ให้เกิดโทษกับตน และ บางคนใช้โจรกรรม

มีความรู้ข่าวสารมากมายในอินเทอร์เน็ต ประมวลได้ว่าตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ครบครันยิ่งกว่าสิ่งใดๆ หากเบื่อข่าวสาร จะดอตไปผ่อนคลายที่เว็บไซต์ดูหนังฟังเพลงก็ยังได้ หรือดูหนังจนตาแฉะ แล้วเกิดไอเดีย อยากจะเสียสตางค์ขึ้นมา ก็กดๆๆๆ ไปที่เว็บไซต์ ทางอินเทอร์เน็ต เสร็จสรรพทั้งซื้อทั้งจ่ายทันที

มันให้ทั้งความสะดวกสบาย และมันก็ดูดเงินออกจากกระเป๋าเราได้อย่างง่ายดายเช่นกัน

มันให้เรามาก มันก็ผลาญเรามากประโยชน์กับโทษมันเหมือนแฝด อิน-จัน ที่ไม่เคยแยกจากกัน เพียงอยู่กัน คนละด้าน ดุจดำกับขาว พระเจ้ากับซาตาน

ซีกหนึ่งของโลกสว่าง อีกข้างจะมืดสนิท

อินเทอร์เน็ตก็เช่นกัน มันให้แสงสว่างแห่งวิสัยทัศน์กับซีกหนึ่งของชีวิต และอีกซีกหนึ่ง ก็ตะล่อมชีวิต เข้าสู่ มุมมืด แห่งหายนะ จุดจบที่มนุษยชาติ มิอาจหลีกพ้น เพราะดวงตาแห่งโลก ถูกบดบังด้วยม่านหมอก แห่ง การบ้าคลั่ง เทคโนโลยีของคน โลกทุกวันนี้ จึงเดินไปข้างหน้า อย่างไอ้บอด

ธุรกิจซอฟแวร์ทำให้บางคนรวยระบือโลก ดังเช่น เศรษฐีหนุ่มวัย ๓๗ ขวบปี ไมเคิล เชลเลอร์

เขาเป็นเศรษฐีใหม่ที่แจ้งเกิดได้ด้วยธุรกิจไอที ขายไอ้สมองกลจนรวยว่างั้นเถอะ

สินทรัพย์ในรูปหุ้นฟาดเข้าไปถึง ๑๒๐๐๐ล้านเหรียญเทียวแหละ ให้ตายเหอะ รวยอะไร มากมายขนาดนี้ "อุว่ะ โคตรรวยจริงนะมึง" สำนวนขอทาน สะพานลอยเขาว่า

หนังสือพิมพ์ยูเอสเอทูเดย์กระพือข่าวขึ้นว่า เชลเลอร์ ตีฆ้องร้องป่าวว่า จะสร้างมหาวิทยาลัย ไซเบอร์ หรือ กระดกลิ้นสั้นๆ ว่า "อี มหา'ลัย" ทางเลือกใหม่ ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในการศึกษา กำลังจะเกิดขึ้น ในอนาคต อันใกล้นี้

"อี มหา'ลัย" อยู่ระหว่างการเดินทางของความคิดเชลเลอร์ และแผนโครงการ ซึ่งกำลังเริ่มกอปร ให้เป็นจริง

เชลเลอร์ จะรวบรวมเอาครูบาอาจารย์ ผู้เพียบพูนความรู้ทั้งหลาย มาถ่ายทำการสอนไว้ในรูปวิดีโอ จากนั้น ก็ให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต มาขุดคุ้ย เอาข้อมูลไปศึกษา ได้ตามใจชอบ มิต้องเสียสตางค์ สักแดงเดียว

คาดว่า อี มหา'ลัย" จะคลอดออกมาราว ๑-๕ ปีของเวลาอนาคต

หลายคนตั้งตารอ อี มหา ลัย น้ำลายสอ เปิดเปลือกตาแห่งความคิดเห็นแต่มุมดี ที่จะได้รับ จนลืมดึงสมอง กลับมาคิด ถึงมุมมืด ที่จะอุบัติตามมา ในอนาคตอันใกล้....

ในแง่ดีเราก็พอรู้กันว่า มันสะดวกสบาย และไม่ต้องจ่ายเงิน ความรู้ได้มาเพียงแค่ กดผ่านอินเทอร์เน็ต มิต้องลงทุน ลงแรง ให้ขนหน้าแข้งร่วงเลยสักเส้น

แต่สักกี่คน....จะตระหนักถึงหายนะอันแฝงมากับสื่อสารแนวใหม่นี้ มันเหมือน หยดยาพิษ อันเจือมา ในแก้วน้ำผึ้ง อันหอมหวน ชวนดื่ม

หากอนาคตการศึกษาเป็นอย่างที่ว่ามา ไหนเราลองใช้จินตนาการที่เป็นกลาง สร้างบุคลิกภาพ และ วิถีชีวิต ของนักศึกษา ไปในอนาคตข้างหน้าดูซิ ภาพลักษณ์พวกเขา จะเป็นเช่นไร

ภาพปรากฏขึ้นในห้วงความคิด...

นักศึกษาหญิงนางหนึ่ง นั่งถ่างตาอยู่หน้าจอสมองกล แว่นสายตาหนาเตอะเกาะ อยู่บนใบหน้า อันบวมฉุ ดุจอึ่งอ่าง ยามพองลม หุ่นเหมือนโอ่งมังกร ขนาดจัมโบ้ เก้าอี้ต้องรับภาระ อันสากรรจ์ แบกรับน้ำหนักตัวเธอ

เธอไม่ค่อยออกจากบ้าน โลกที่กว้างใหญ่เหมือนถูกบีบหดเข้ามาเหลือแค่ ห้องสี่เหลี่ยม

เธอไม่สัมพันธ์กับใคร ใช้ชีวิตอยู่กับคอมฯ เสียส่วนมาก

งานที่เธอทำเป็นประจำ...จิ้มนิ้วลงคีย์บอร์ดกีฬา ที่นิยมเล่นเสมอ...เกมกด

เธอได้ความรู้มากมายจากการศึกษาทางอินเทอร์เน็ต รู้ได้แม้กระทั่งแกนโลกออกไปนอกถึงจักรวาล ถามเธอว่า รู้จักวิธีหุงข้าว ด้วยไฟฟืนบ้างไหม? เธอบอกว่ารู้

แล้วสามารถหุงข้าวด้วยไฟฟืนได้ไหม? เธอบอกไม่ได้

นี่แหละสูตรสำเร็จของการศึกษาในอนาคต สอนให้คนได้แค่รู้ แต่ทำไม่ได้

คอมฯ กับ คน จึงไม่ต่างกัน ได้แต่รู้อย่างจดจำ ไม่เพิ่มผลิตผลใดให้กับโลก ซ้ำกินพลังงานโลกอีกต่างหาก เป็นมุมมืด ของชีวิต การศึกษาโดยแท้

จินตภาพออกมาเช่นนี้ หลายท่านอาจฝากปิยวาจาให้ว่า....เว่อ เติมเอสอีกหลายตัว

งั้นเอาใหม่...วกกลับไปสาวไส้เรื่องราวในอดีต เพื่อเป็นบาทฐาน ในการมองอนาคต

เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว อินเทอร์เน็ตยังไม่โผล่หน้าเข้ามาในสังคมไทย สื่อทีวีมีบ้าง แต่ก็น้อยมาก สังคมยามนั้น ยังผาสุก พออยู่พอกิน ไม่ถึงกับรวย และคนไทย ไม่มีหนี้ ไม่มีข่าวชาวนาฆ่าตัวตาย ให้ปรากฏ

ถัดมาอีก ๑๐ ปี สื่อทีวีปรากฏอยู่ในบ้านแทบทุกครัวเรือน จอเล็กจอใหญ่ตามแต่ฐานะของบ้านนั้นๆ ลัทธิ บริโภคนิยม ไหลหลั่งเข้ามา ในสังคมไทย ปลุกเร้าตัณหาของคน ให้ทะยานอยาก ต้องกินต้องซื้อ ต้องจ่าย ตามโฆษณา ที่ปรากฏ บนจอทีวี ระบบทุนนิยม มันปะเหลาะขายสินค้าให้เรา ผ่านสื่อทีวี ปลูกฝังลัทธิ บริโภคนิยมลงไป ในสังคมตลอดเวลา

เพราะไหลชีวิตไปตามลัทธิบริโภคนิยม...กินใช้อย่างตะวันตก มีบ้านหลังใหญ่ มีรถขับหลายคัน จิปาถะ เครื่องอำนวย ความสะดวก ที่ต้องซื้อหา ตามโฆษณาทีวี

สังคมไทยที่เคยสุขสงบอย่างพออยู่พอกิน เริ่มป่วนด้วยพายุแห่งความอยาก ที่เกินจำเป็น โหมพัดกระหน่ำ กินใช้กัน อย่างฟุ่มเฟือย

คนไทยหันมาบูชาเงินแทนพุทธธรรม ยกค่าเงินขึ้นมาเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิตไปเสีย

ประเทศไทยเริ่มกู้หนี้ยืมสินจากชาติตะวันตก คนไทยต่างมีหนี้สินท่วมหัวกันเกือบทั่วหน้า และสุดสิ้นปัญญา ปลดหนี้สิน

หายนะที่ตามมา...การฆ่าตัวตายของชาวนาที่ไม่เคยมีมาก่อน โจรกรรมเพิ่มพูนขึ้นในสังคม ยอดคดี ฆาตกรรม พุ่งกระฉูด คนตกงาน เกลื่อนเมือง ยาบ้าระบาด และนับวันจิตใจคนเสื่อมต่ำ เลวทรามลงเรื่อยๆ อย่างแลไม่เห็นฝั่ง แห่งความดี

ในที่สุด เมืองไทยก็กลับกลายเป็นเมืองทาสของชาติตะวันตกโดยสมบูรณ์

เพียงเพราะการแพร่กระจายสื่อทีวีเข้าไปในสังคมตัวเดียว ซึ่งมันกอปรลัทธิบริโภคนิยมขึ้น หายนะมากมาย ไหลตามกัน เข้ามา บดขยี้สังคม จนป่นปี้

ณ วันนี้เป็นทีของอินเทอร์เน็ต มรสุมลูกแรกคือทีวี ล่อประเทศไทยเสียยับเยิน อินเทอร์เน็ต เป็นดุจมรสุม ลูกที่สอง กำลังพัดกระหน่ำ ทั่วทั้งโลก อยู่ในตอนนี้

ทีวีเป็นสื่อสารวงแคบแต่ภายในประเทศเสียส่วนมาก แต่อินเทอร์เน็ตกว้างไกล สื่อสาร ได้ทั่วทุกมุมโลก คุณูปการ มันมากกว่า ทีวี หลายขุม หายนะจากมัน ก็เพียบพูนสมส่วน เช่นกัน

อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยยังไม่แพร่หลาย มีใช้ในกลุ่มคนระดับกลางขึ้นไปเสียส่วนมาก บ้านนอก บ้านนา ยังไม่รู้หรอกว่า อะไรคือ อินเทอร์เน็ต มันยังลึกลับ สำหรับคนเบี้ยน้อย ด้อยการศึกษา เหมือนกับทีวี เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว

แต่ในอนาคตอันใกล้นี้...

ซอพต์แวร์ จะลดค่าลงเป็นสินค้าแบขายริมทางเท้า อินเทอร์เน็ต จะกลายเป็นสินค้า เช่นประเภทซื้อหนึ่ง แถมหนึ่ง เมื่อนั้น คนไทย ทั่วทั้งประเทศ จะรู้จักใช้อินเทอร์เน็ตกันทุกคน เฉกเช่น เปิดทีวีดูละครน้ำเน่า ก็ปานนั้น

เปล่าพูดเว่อ...หากวิเคราะห์ตามกระแสธุรกิจค้าสมองกลทั่วทั้งโลก คาดได้ว่าเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้สูงมาก

แวดวงธุรกิจอินเทอร์เน็ตในตอนนี้ มีข่าวมาว่าสองบริษัท ยักษ์ใหญ่ ในอเมริกัน ได้ไปฝังคมเขี้ยวแห่งธุรกิจ อินเทอร์เน็ต ลงในกลุ่มยุโรป

กระบวนการแข่งขัน กลเกมการค้าอินเทอร์เน็ตกำลังกระพือขึ้นอย่างดุเดือด เป็นสงครามการค้า ระดับโลก โดยแท้ เพราะอย่างไร กลุ่มประเทศยุโรป เขาก็มีกึ๋น ไม่ยอมให้อเมริกา มาล้วงตับกินไส้ง่ายๆ คงได้ขุดคุ้ย เชิงชั้น ทางการตลาด ออกมาขับเคี่ยวกันน่าดู ส่วนใครแพ้ -ชนะ มิอาจคาดเดา แต่ที่แน่ๆ ซอฟต์แวร์ มีหวัง ราคาถูก ยิ่งกว่าของเด็กเล่น

ทว่าหายนะที่พ่วงท้ายมันมานี่สิน่าห่วง!!!

เพราะหากอินเทอร์เน็ตมีแพร่หลายในสังคมเฉกทีวีแล้วล่ะก้อ...หายนะของชาติซึ่งมีอยู่แล้วในปัจจุบัน คงได้ยกกำลังสองกันคราวนี้แหละ

หายนะเพิ่มเป็นสองเท่า หรืออาจมากกว่านั้น

ครั้งนี้ไม่ขอจินตภาพถึงอนาคตสังคมไทย กลัวเห็นภาพยุคมิคสัญญี... ขออนุญาตถอนหายใจ อย่างเศร้าสลด

แน่นอนว่าไม่ต้องให้สังคมไทยไปสู่จุดวิบัตินั้น คนใช้อินเทอร์เน็ต จำต้องตระหนักถึงมุมมืดของมันให้มาก มองให้เห็นถึงโทษภัย แล้วเลือกใช้มัน ให้เป็นประโยชน์ ต่อตน และ สังคมประเทศชาต

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๕ มิถุนายน ๒๕๔๖)