ข้าพเจ้าเห็นเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสมาแสดงทัศนะกับกลุ่มมุสลิมผู้รักสันติ
แท้ที่จริงท่านทั้งหลายย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า
อิสลาม ก็คือ สันติ นั่นเอง ดังท่านใช้คำนี้ สำหรับ ศาสนา ของท่าน
และท่านมักทักทายกันด้วยวลีที่ว่า อิสลามเมเลกุม คือท่านย้ำที่สันติภาพ
และสันติสุข เป็นประการสำคัญ
เป็นที่น่าเสียใจที่ชนชั้นนำในกระแสหลักของตะวันตกมักมองมุสลิมหรือศาสนาอิสลาม
ไปในทางที่ ตรงกันข้ามกับสันติ จนถึงกับกล่าวหาอย่างไร้เหตุผลว่า มุสลิมเป็นต้นตอที่มา
ของความรุนแรงต่างๆ รวมถึง ความหายนะ ที่เกิดขึ้น ณ สหรัฐเมื่อวันที่
๑๑ กันยายนนี้ด้วย
ที่ร้ายยิ่งกว่านี้ ก็ตรงที่เหตุการณ์ ณ หอ-การค้าโลก
ที่นครนิวยอร์ค และที่กระทรวงกลาโหม แห่งกรุงวอชิงตัน นับว่า เข้ากันได้ดีกับทฤษฎีของนายแซม
ฮันติงตั้น แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เขียนเรื่อง Clashes
of Civilization หรือ การกระทบกันของอารยธรรมที่ต่างกัน ดังถึงกับมีผู้เชื่อตามหมอนี่
ว่าสงครามโลกครั้งที่สาม จะเกิดขึ้น ภายใน ๒๕ ปีนี้ โดยที่เหตุการณ์
เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน จักเป็นตัวเร่ง ให้มหาสงครามดังกล่าว เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น
อีกด้วย
ฮันติงตั้นกล่าวว่า ในสมัยสงครามเย็นนั้น
คือการต่อสู้กันระหว่างอุดมการณ์ที่ต่างกัน ของฝ่ายโลกเสรี ที่มีสหรัฐเป็นตัวนำ
กับของฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีสหภาพโซเวียตเป็นตัวนำ ครั้นสหภาพโซเวียต
ปลาสนาการไป ไล่ๆ กับการล่มสลายของ กำแพงที่กรุงเบอร์ลิน ย่อมหมายความว่า
ลัทธิคอมมิวนิสต์ หมดความสำคัญลง แม้หลายรัฐในยุโรปตะวันออก ก็ขอเข้าเป็นสมาชิกของ
NATO ซึ่งเป็นกองกำลัง ทางทหารของโลก ที่เรียกตัวเองว่า เป็นฝ่ายเสรี
เพื่อบดขยี้ฝ่ายตรงกันข้าม เป็นอันภัยจาก คอมมิวนิสต์ หมดไปแล้ว อย่างน้อยก็จากยุโรป
-ตะวันออก แม้จีนกับเวียดนาม ก็สมาทาน ลัทธิทุนนิยม และบริโภคนิยม
ตามๆ กัน ทั้งๆ ที่ฮันติงตั้น ถือว่าจีนจักเป็นศัตรู ตัวสำคัญของสหรัฐ
ในอันดับต่อไป โดยเขาใช้คำว่า ลัทธิขงจื๊อ จักเป็นตัวท้าทาย อำนาจของฝ่ายตะวันตก
แต่นั่นก็ยังอีกนาน เพราะจีนยังอ่อนแอ ทางด้าน เทคโนโลยี และมีประชาชนพลเมือง
ที่ยากแค้นอยู่อีกมากมายนัก โดยที่จีน อาจแผ่อิทธิพล ทั้งทางทหาร ทางการค้า
ทางการเมือง และทางวัฒนธรรม ไปยังประเทศที่ด้อยพัฒนาอื่นๆก่อน
จีนเรียกประเทศเขาว่าเป็นสาธารณรัฐของประชาชน
แต่องค์กรนิรโทษสากล ที่กรุงลอนดอน ประกาศออกมา ชัดเจนว่า ทุกชีวิตไม่ปลอดภัย
ในเมืองจีน แม้กระนั้น จีนก็สามารถเอาใจชนชั้นปกครอง จากทุกประเทศ
หากจีนไม่ไยดีกับคนยากไร้ ในประเทศของคนเองเอาเลย ดังขอให้สังเกตว่า
กีฬาโอลิมปิก ที่จะมีขึ้น ในเมืองจีนนั้น คนยากคนจน จะถูกไล่ที่ ไม่รู้ว่ากี่หมื่นกี่แสน
เพียงเพื่อสร้างสนามกีฬา อย่างมหึมา เพื่ออวด ชาวโลกว่า จีนเป็นอภิมหาอำนาจ
อย่างแท้จริง
อนึ่ง พึงสังเกตไว้ด้วยว่า ชนชั้นบนของไทย
ล้วนอยู่ฝ่ายชนชั้นนำของสหรัฐ อย่างปราศจาก ความเข้าใจ ถึงผู้ยากไร้
หรือผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหง ในสหรัฐด้วยประการใดๆ สิ้น ยิ่งจะให้ชนชั้นนี้
เข้าใจถึงคนอาหรับ ส่วนใหญ่ แม้จนชาวเอเชียส่วนใหญ่ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้เอาเลย
ดังขอให้สังเกตว่า พระเจ้าราชาธิราช แห่งเปอเชีย และพระมเหสี ในขณะที่สองพระองค์นี้
ทำทารุณกรรม อย่างเลวร้าย ด้วยประการต่างๆ กับพสกนิกร ของพระองค์ท่าน
ในประเทศนั้น จนราชวงศ์นั้น จำต้องถึง ซึ่งความพินาศลง และ ทั้งสอง
พระองค์ ตลอดจนสมาชิกต่างๆ ในพระราชวงศ์ ต้องลี้ภัยไปต่างแดน กันทุกท่านทุกองค์
ก่อนที่จะดำเนินความต่อไป ในเรื่องทฤษฎีของฮันติงตั้น
ในข้อที่ว่ามุสลิม โดยเฉพาะก็จาก ตะวันออกกลาง จักเป็นต้นตอ ที่มาของสงครามโลก
ครั้งที่สาม ขอให้ย้อนไปฟังคำของศาสดาปลอมคนนี้ ในสมัยสงคราม เวียดนามดูก็ได้
ว่าเขาเสนอให้สหรัฐทิ้งระเบิด ตามชนบทต่างๆ ของเวียดนามให้ทั่ว เพื่อประชาราษฎร
จะได้ทิ้งชนบท เข้าไปแออัดอยู่ในเมือง คนพวกนี้ จะได้ไม่อาจไปร่วมช่วยเหลือ
พวกเวียดกง ซึ่งเป็น คอมมิวนิสต์ เมื่อเป็นเช่นนั้น สหรัฐก็จะได้ชัยชนะ
นับว่าน่าเศร้าที่รัฐบาลอเมริกันเชื่อนักวิชาการจอมปลอมผู้นี้
เป็นเหตุให้สหรัฐสูญเสียลูกระเบิดไป เป็นอันมาก ราษฎรเวียดนามสูญเสียชีวิต
และทรัพย์สินไป มากยิ่งกว่านั้น แต่แล้วในที่สุด คอมมิวนิสต์ เวียดนาม
กลับได้ชัยชนะ ในสงครามดังกล่าว กล่าวคือ ธรรมะย่อมชนะอธรรมนั้นเอง
อนึ่ง พึงตราไว้ด้วยว่ารัฐบาลเผด็จการของไทยได้ร่วมกับสหรัฐในสงครามเวียดนาม
กองทัพอเมริกัน ไปจากอู่ตะเภา จากโคราช อุดร ตาคลี ฯลฯ เพื่อทิ้งระเบิดในเวียดนาม
และก่อนกลับสู่ฐานทัพ ที่เมืองไทย ลูกระเบิด เหลืออยู่เท่าไหร่ๆ นักบินสหรัฐทิ้งลงในลาวจนหมด
เพื่อปลอดภัย ในการบินลงที่เมืองไทย มีนักสถิติบอกว่า ลูกระเบิดที่อเมริกันทิ้งลงในลาวนั้น
มากกว่าที่ทิ้งลงในญี่ปุ่น เมื่อสงครามโลก ครั้งที่สองเสียอีก
แม้สหรัฐจะมีแสนยานุภาพเพียงใด มีเทคโนโลยีทันสมัยเพียงใด
แต่สหรัฐขาดความชอบธรรม ในการที่ เข้าไป ปู้ยี่ปู้ยำเวียดนาม ดังที่สหรัฐก็ขาดความชอบธรรม
ในการที่เข้าไปทำลายล้าง อัฟกานิสถาน อยู่ในบัดนี้ นั่นเอง
สหรัฐอ้างความชอบธรรมในการรุกรานอัฟกานิสถานอย่างเลวร้าย
โดยมีข้ออ้างเพียงว่า รัฐบาลตาลิบัน ปกป้องนายเบน เลเดน ซึ่งอังกฤษและสหรัฐยืนยันร่วมกันว่า
มีเอกสารที่เชื่อได้ว่าบุคคลผู้นี้วางแผน ในการก่อวินาศกรรม ในสหรัฐเมื่อวันที่
๑๑ กันยายน ทั้งๆ ที่รัฐบาลอัฟกานิสถาน ขอให้ส่งเอกสาร หลักฐาน ไปยืนยันอย่างจังๆ
รัฐบาลทั้งสองนั้นก็ไม่ทำ หรือทำไม่ได้ หากอ้างว่า การที่อัฟกานิสถาน
ขัดขืนคำขาด ของสหรัฐ เท่ากับขัดขวางความยุติธรรม รัฐบาลทั้งสอง จึงมีความชอบธรรม
ในการ ทำลายล้าง รัฐบาลนั้น ดังที่ทั้งสองประเทศ ใช้คำว่า สงคราม กับอัฟกานิสถาน
คราวนี้เป็นธรรมยุทธ หรือ Just War ซึ่งฟังดูโก้เก๋ดี หากเอาคำโตๆ
มาใช้อย่างหลอกลวง แม้ประชาราษฎร ที่มีมโนธรรมสำนึก ในอังกฤษ และสหรัฐ
ก็เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลหลอกลวงตัวเอง และใช้สื่อกระแสหลัก มอมเมาประชาชน
และ ประชากรของโลก
ใครที่เคยอ่านงานเขียนของนอม ชอมสกี้ ซึ่งสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยบอสตัน
คนละฝั่งแม่น้ำกับฮาวาร์ด ของนายฮันติงตั้นนั้นเอง ย่อมตระหนักได้ว่า
สหรัฐใช้คำโตๆ เช่นนี้ หลอกลวงราษฎรของตน และ หลอกลวง ชาวโลก มาแต่สมัยสิ้นสงครามโลก
ครั้งที่แล้ว แต่ในปี ค.ศ.๑๙๔๘ คือเมื่อตอนตั้งประเทศ อินโดนีเซีย
ซึ่งเป็นรัฐอิสลาม ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หรืออย่างน้อย ก็มีมุสลิมมากที่สุด
ในบรรดาประเทศอิสลามต่างๆ กล่าวคือ ในเวลานั้น สหรัฐกลัวว่าอินโดนีเซีย
จะไปเข้าข้างคอมมิวนิสต์ และสหรัฐหนุนวิลันดา ซึ่งไม่ยอมให้เอกราช
แก่อินโดนีเซีย ผลก็คือ อินโดนีเซียประกาศเป็นกลาง โดยไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติ
ของสหรัฐ หรือสหภาพโซเวียต คำประกาศดังกล่าว เกิดจากการประชุม ณ เมืองบันดุง
ในปี ๑๙๕๕ จนเกิดขบวนการ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดขึ้น มีอินเดีย จีน อินโดนีเซีย
และอียิปต์ เป็นแกนกลางที่สำคัญ
อ่านต่อฉบับหน้า