>เราคิดอะไร

เวทีความคิด - เสฏฐชน -

คนบ้า จึงเกิด ยาบ้า

นังสือพิมพ์เส้นทางเศรษฐกิจพาดหัวข่าวหน้า ๑ ว่า "รัฐทบทวนศึกยาบ้า ชาติหายนะแสนล้าน" ปัญหาที่ ประเทศไทย กำลังเผชิญอย่างหนักหน่วงตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ เป็นต้นมาจนบัดนี้ นอกจากปัญหา ด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังมีปัญหาทางสังคม ที่กำลังเป็นมหันตภัยใหญ่ คือ ปัญหาจากยาเสพติด โดยเฉพาะการระบาดของ"ยาบ้า"

การประกาศสงครามยาเสพติด เป็นวาระแห่งชาติ ๑ ใน ๓ วาระแห่งชาติที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่รัฐบาล โดยการนำ ของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ต้องทำการบ้านอย่างหนัก

ข่าวกระแสหนึ่งบอกว่า ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์โลกของศูนย์ ๓ ฝ่าย คือ "ผู้ผลิต-ผู้ขาย-ผู้เสพ" แม้ผู้ผลิตจาก ต่างประเทศ ก็ต้องอาศัยส่งผ่านประเทศไทย รวมทั้งซื้อวัสดุอุปกรณ์ ในการผลิต ผ่านประเทศไทยด้วย ผู้ขายต้องมาขายกัน ในประเทศไทย ผู้เสพต้องหาซื้อในประเทศไทย ทั้งต่างชาติ และคนไทย ฉะนั้นถ้าประเทศไทยสามารถต่อสู้เอาชนะ ยาเสพติดได้ จะเป็นการแก้ปัญหา ยาเสพติดโลก ไปพร้อมๆ กัน

ด้วยเหตุผลแง่นี้ จึงทำให้รัฐบาลชุดนี้ ต้องประกาศออกมาว่า "จะเอาชนะยาเสพติดให้ได้ภายใน ๒ ปี คือ ภายในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗" ก่อให้เกิดยุทธการ ๑๒.๘.๔๗ เพื่อชนะยาเสพติดมาปฏิบัติ

การประกาศก้องถึงเจตนารมณ์ของผู้ปกครองประเทศเช่นนี้ เป็นนโยบายที่ควรแก่การแซ่ซ้อง ให้คะแนนนิยม แสดงถึง ความตระหนักในหน้าที่ รู้ถึงสาระสำคัญในภาระที่ตรงฐานะ แม้ว่าคู่สงคราม ในสงคราม ยาเสพติดนี้ หาใช่ระหว่าง "รัฐบาลกับขบวนการยาเสพติด" อย่างเดียวไม่ ตามหลักยุทธศาสตร์ ที่ถูกต้อง คู่สงครามยาเสพติด ในประเทศไทย คือระหว่าง "ประชาชนกับขบวนการยาเสพติด" โดยฝ่ายประชาชน ต้องเป็นฝ่ายยืนหลักสู้ ให้แข็งแรง กว่าขบวนการ ผู้ก่อการร้ายพวกนี้ ต้องรวมตัวกันในรูปแบบ "กองทัพประชาชน" คือประชาชนส่วนใหญ่ จะต้องคำนึงถึง ความรับผิดชอบ ในงานชิ้นนี้ร่วมกัน อย่าคิด หรือ ผละโยนภาระให้แก่หน่วยงานรัฐ องค์กรใดองค์กรหนึ่ง อย่างเดียว แม้ว่า "กองทัพ" ในหน่วยงานรัฐ จะเป็นกองหน้า โดยหน้าที่อยู่แล้ว หรือ "นักบวช (ภิกษุ)" จะเป็นกองหน้า ด้านจิตวิญญาณ หรือสื่อสาร มวลชน เยาวชน นิสิต นักศึกษา จะเป็นกลไกด้านสื่อสารแล้วก็ตาม ก็ไม่ควรเมิน ข้อมูลพื้นฐาน ที่เป็นระดับ รากหญ้า ของปัญหา ที่แตกแขนงออกไปเป็นระดับชาติ ระดับโลก คือ "ปัจเจกบุคคล" โยงใยถึง "ระดับครอบครัว" ด้วย

เพราะว่าสรุปผลประมาณการคณะกรรมการ สำนักงาน ป.ป.ส. พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า เยาวชนอายุ ๑๒ ปี ขึ้นไป เริ่มมี พฤติกรรม เสพยาแล้ว เด็กมัธยม ๓ มัธยม ๔ ฮิตยาบ้าที่สุด นักเรียนชั้นนี้ เป็นพ่อค้ายารุ่นเยาว์ มากที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ ในรูปของ "รับจ้างซื้อ" เพราะผู้เสพยาต้องการหาเงิน เพื่อไปซื้อยามาเสพ หรือรูปของ การเดินยอด กับเครือข่าย ผู้เสพ ขันอาสาขายยาบ้าให้แก่ผู้เสพ เพื่อจะได้รับค่าตอบแทน เป็นยาบ้า ตามสัดส่วน ที่ขายได้ แม้การขายแบบ เงินเชื่อก็มี ในกรณีที่ผู้เสพกับผู้ค้า ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ให้นำไปขายก่อน ในราคาขายส่ง เม็ดละ ๔๐-๕๐ บาท แต่ผู้เสพนำไปขาย ต่อ เม็ดละ ๖๐-๑๐๐ บาท แล้วค่อยจ่าย ผู้ค้าหลังเมื่อรับยา ในงวดต่อไป

บางคนก็ขายแบบ ซึ่งคนนั้นจะต้องมีเงินหนักพอ ไม่เฉพาะแต่ตนเองเสพเท่านั้น แต่อาจซื้อ จำนวนมาก เพื่อไปขายต่อ หากำไรด้วย วิถีทางที่ผู้เสพเห็นว่าการขายนี้ง่ายขึ้น จึงทำให้ผู้เสพ กลายเป็นผู้ค้า ในที่สุด

เยาวชน นักเรียนที่หลงเข้าไปในวงจรเลวร้ายนี้ มักเนื่องมาแต่การชอบเที่ยวกลางคืน คบเพื่อนชั่ว ใช้จ่ายเงิน โดยไม่รู้จัก ประมาณมั่วสุมตามแหล่งบันเทิง หมกมุ่นกับเพศตรงกันข้าม ดื่มเหล้า ติดบุหรี่ เล่นการพนัน เกมกีฬาบอล ไพ่ มวย ฯลฯ "สังคมทุกประเภทที่คนไม่มีศีลรวมตัวกันอยู่" เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค เหล่านี้

แม้ทางรัฐบาลจะใช้มาตรการเด็ดขาดขั้นประหารชีวิต โดยน้ำมือเจ้าหน้าที่รัฐเอง หรือขบวนการ กฎหมายเถื่อน ลุกลาม นอกกรอบออกไปจนกลายเป็น "ฆ่าตัดตอน" ก็ไม่อาจทำให้จำนวนเชื้อโรค ชนิดนี้ ลดน้อยลง

มิหนำซ้ำอาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อน ซ่อนเงื่อน สลับปมซับซ้อนยิ่งๆ ขึ้น ไม่ต่างไปจากปมเชือก ที่ถูกขมวด ปมแล้วปมเล่า จนยุ่งเหยิงไปหมด จนไม่รู้ว่า จะแก้ปมไหนก่อน หรือกว่าจะแก้ปม แต่ละปมออก ปมอื่นๆ ก็ยิ่งเขม็ง รัดแน่น จนแก้ยากขึ้นๆ กว่าเก่า และก็คงต้องทิ้ง -เผาเชือกเส้นนั้นไป ในที่สุด

อุปมาไม่ต่างจากเรื่องการปราบยาเสพติดที่ฮือฮาอยู่ในขณะนี้ มองภาพดังจะเป็นของขวัญ ที่รัฐจะมอบ ให้แก่ประชาชน ส่วนจะผูก "โบดำ" หรือ"โบแดง" (ล้มเหลวหรือสำเร็จ) คงยังตอบไม่ได้

เรื่องทำนองนี้ เคยเกิดมาแล้วในอดีต ที่เป็นปัญหาร้อนไม่ต่างกัน แม้สังคมจะมีปัจจัยอื่นๆ เกิดขึ้นใหม่ใน บางแง่บางมุม อยู่บ้าง ก็คงไม่พ้นจากรูปรอยเดิม ตั้งแต่สมัยมีการเผาฝิ่นในปี ๒๕๐๐ แต่ก็เกิดมอร์ฟีน ระบาดขึ้นแทน เฮโรอีนติดตามมา ยาบ้าเกาะเป็นกระพรวน ยาอี และยาเสพติดอื่นๆ ก็ทยอยเข้ามา ทดแทน ตลอดเวลา

สังคมไม่เคยปลอดจากยาเสพติด แม้ที่กำลังประกาศทำศึกกับยาบ้า ก็ยังมียาเสพติดล่าสุดคือ "โคเคอีน!" จ่อคิวอยู่

มีการร้องป่าวประกาศให้ "สังคมไทยเข้มแข็ง" เพราะเขาเชื่อว่านี่เป็นวิธีเดียวที่แก้ไขที่ดี แต่ไม่ได้แจกแจง ว่า
"สังคมไทย" นั้นคืออย่างไร?

สังคมไทย หมายถึง พื้นที่ แผ่นดินไทย
หรือสังคมไทย หมายถึงภาษาไทย
หรือสังคมไทย หมายถึงคนไทย
หรือสังคมไทย หมายถึงจิตใจที่เป็นไทย

คงจะหมายถึงทุกๆ อย่างดังกล่าวมาผสมรวมกันนั่นกระมัง?

หากหมายถึงแผ่นดินไทย คนไทยรักแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนแค่ไหน? ประมาณคำตอบนี้ ได้จากปริมาณ คนไทยชั้นสูง (ชั้นมีเงิน มีอำนาจ ยศ ศักดิ์) ไปจนกระทั่ง ระดับเกษตรกร ที่เป็นอาชีพหลักส่วนใหญ่ เขาเหล่านั้น ได้ช่วยกันดูแลรักษา แผ่นดินในเมืองไทยแค่ใด? ไม่ว่าจะด้านการฟื้นฟูเนื้อดิน สร้างความ อุดมสมบูรณ์ ให้แก่แผ่นดิน ไม่ทำความสกปรก หรือก่อสิ่งที่เป็นมลพิษ ทำร้ายทำลาย จนดินหมดสภาพ ในการใช้งาน หมดความสำคัญ ในการใช้เป็นแหล่งผลิต อาศัย ต่อชีวิตลมหายใจ ของคนในชาติ อาจอยู่ในรูป ของการขายแผ่นดิน ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า ทำสิ่งที่เป็นพิษภัย ให้ดินเสีย จนกระทั่ง หลีกลี้ หนีไปทำงานแผ่นดินอื่น เพียงเพื่อแลกกับเงิน ที่มากกว่า ความสะดวกสบาย ที่เหนือกว่า ความโก้ มีชื่อเสียงกว่า กระเถิบไปจนกระทั่ง "ทรยศต่อแผ่นดิน" ในทุกรูปแบบ เพื่อความอยู่ อย่างเสพ ชั้นเลิศของตน

ภาษาไทยในยุคโลกาภิวัตน์ ทวีปต่างๆ ใกล้เข้ามาทุกที จนภาษาเฉพาะประเทศของตน กลายเป็น ความล้าสมัย ไม่ก้าวหน้า หากคนในประเทศนั้นๆ "ไม่รู้จักภาษาต่างประเทศ" หรือ "พูดภาษาต่างประเทศ" ไม่ได้ โดยเฉพาะภาษา "ต่างประเทศสากล" ที่เป็นประเทศมหาอำนาจ จนทำให้ประเทศ เจ้าของ ต้องสร้าง สถาบันการศึกษา เพื่อรับถ่ายทอดภาษา ต่างประเทศมากขึ้นๆ รวมถึงบริษัท แหล่งทำงานระดับใหญ่ๆ โตๆ มีชื่อเสียง ก็ต้องนับเนื่อง เอาความรู้ภาษา ต่างประเทศ เป็นหนึ่ง ในการตัดสินรับคนเข้าทำงาน ยิ่งถ้าได้ปริญญา จากต่างประเทศด้วยแล้ว จะมีโอกาสมากกว่าคน ที่จบจาก สถาบัน ในประเทศ

คนไทยพันธุ์แท้ ก็คงหมายถึงคนไทยที่มีเชื้อผสมน้อยที่สุด คือนับเชื้อสายบรรพบุรุษ ถอยหลังไปแล้ว คงได้แค่เชื้อต่างด้าว ปลายแถว แต่ในวงการบันเทิง ชั้นลูกหลาน ที่มีเชื้อคนต่างชาติ กลับได้รับความนิยม กว่าไทยพันธุ์แท้ จิตใจคนไทยล่ะ เห็นคนไทยเป็นคนไทยด้วยกัน หรือ มักริษยา แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น ประหัตประหาร คนไทยด้วยกัน หรือเพียงเหตุผล "ทำอะไรตามใจตัวเอง คือคนไทยแท้" หรือมักเอา แบบอย่างคนไทย ที่ไม่ค่อยเป็นไทนัก เช่น คนไทยที่นิยม อาหารต่างชาติ เครื่องแต่งกายต่างชาติ รวมไปถึง คนไทยที่ชมชื่น ยกย่องคนต่างชาติ ว่าเจริญกว่าคนไทยด้วยกัน

ถ้าให้เลือกคนต่างชาติเข้าทำงานระดับผู้บริหารสูงๆ กับคนไทยที่มีปริญญาดีกรีจากต่างชาติ สถาบัน เดียวกัน คนไทยจะเลือกคนต่างชาติหรือคนไทย ในเมื่อคนไทย มักจะให้คำตอบว่า "เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ต่างประเทศ" จึงรู้สึกเลื่อมใสกว่าคนไทยด้วยกัน

ดยลืมไปว่า เขา "เชี่ยวชาญต่างประเทศ" เขา "ไม่ได้เชี่ยวชาญในประเทศ(ไทย)" แล้วเขาจะมา ทำให้ประเทศไทย เจริญได้อย่างไร

หรือแม้ประเทศไทยเจริญ ก็เจริญตามอย่าง ของเขา ซึ่งเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบต่างๆ ตามแบบของเขา ถ้าเอามาใช้กับเรา ก็ไม่ต่างจากการนำฝาโอ่งมาปิดตัวโอ่งชนิด "ผิดฝาผิดตัว"

แต่แม้จะถูกฝาถูกตัว เช่นกับพืชบางชนิดที่นำมาปลูกข้ามทวีป ข้ามบ้านข้ามเมือง แต่ก็ได้ชื่อว่า "พืชต่างประเทศอยู่ดี"

ผลไม้ต่างประเทศที่ปลูกในเมืองไทย บางอย่างปลูกได้เหมือนกับต่างประเทศ หรือ ผลไม้ประเทศไทย บางอย่าง ต่างประเทศเอาไปปลูกได้ แต่ไฉนจะมีน้ำหนักเท่ากับต้นเหง้ารากเดิมที่เป็นถิ่นกำเนิด คงได้เพียง คำชมเชย ว่าเก่งเท่านั้นเอง

มิหนำซ้ำความเก่งที่ทำได้อย่างนั้น ในอนาคตสิ่งนั้นอาจเป็นวัตถุหลักฐานในการยืนยันความ "กลายพันธุ์" ของต้นเค้าเดิม ประจานเจ้าของภายหลัง

เช่นเดียวกับยาเสพติด ที่บางข้อมูลบอกว่าไม่ได้เกิดที่เมืองไทย แต่เป็นพืชจากต่างประเทศที่แพร่เข้ามา แล้วขยายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นการปลูก การผลิต การขาย การซื้อ การเสพออกไปสู่แหล่งเดิม ที่มาของมัน ในที่สุด หากเป็นเช่นนั้นก็คง ไม่ต่างไปจาก "ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว" หรือ "ก่อเหตุใดไว้ ย่อมได้รับผล ของเหตุนั้น" เช่นเดียวกับประเทศยุโรป ที่นำเอาสิ่งเสพติดเข้ามาในเอเชีย นับแต่สงครามฝิ่นเมืองจีน หรือฝิ่นเมืองไทยในอดีต จนกระทั่งต้องมาผจญ กับปัญหา ร่วมกันจากที่ช่วยกันสร้างขึ้น วงจรเหล่านี้ ไม่ได้พ้นไปจากวัฏจักรของมันเอง ไม่ต่างไปจากความเสื่อม ที่เกิดมาแต่เนื้อ ผ้าที่ "กินเนื้อ" เอง แม้ไม่ได้ นำมาตัด เย็บเป็นเครื่องนุ่งห่มก็ตาม

ทั้งๆ ชาติที่เจริญแล้วทุกชาติมีศาสนาเป็นหลักยึด ที่ประชาชนจะต้องเคารพนับถือ นำมาเป็นหลักการ ในการ ดำรงชีวิตประจำวัน แม้ศาสนาเหล่านั้นจะสอนให้ "ละสิ่งชั่ว ทำความดี" เหมือนกันหมด แต่คน ในชาตินั้นๆ ได้นำมาปฏิบัติตามหรือไม่?

ความรักตัวเองที่ควรแสดงออกในรูปของการไม่เอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับความชั่วต่างๆ ตั้งแต่ทำให้ เสียสุขภาพ เสียพละกำลัง เสียนิสัย แต่ละคนในชาตินั้นๆได้ระมัดระวัง ระลึกถึงหรือไม่?

ความรักครอบครัว ที่ควรแสดงออกในรูปของการเป็นคนดีในครอบครัว ตั้งแต่ระดับหัวหน้าครอบครัว ทั้งเพศชาย เพศหญิง เป็นตัวอย่างที่ดีด้วยการกระทำดีให้สมาชิกในครอบครัวเห็น ซึมซับ ตามธรรมชาติ หรือไม่

ความรักสังคม ที่ควรแสดงออกในรูปของความเป็นคนดีของสังคม ไม่ทำอะไรที่เป็น "ตัวนำ" ไม่ดีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน "นำแฟชั่น" เรื่องอะไร ที่เป็นเรื่องไม่ดี เป็นความนิยมไม่ดี เป็นรสนิยมไม่ดี เป็นความคิด ไม่ดี ฯลฯ คนชาตินั้นๆ ได้คิดถึงเรื่องนี้หรือไม่ หรือมัวแต่คิดเรื่อง "สิทธิส่วนบุคคล" หรือ "ความเป็นส่วนตัว" เพียงด้านเดียว โดยไม่ได้มองรอบๆ ด้านด้วยความเมตตาคนอื่นว่า เขาจะเอาแบบอย่าง ที่ไม่ดี ด้วยความด้อยปัญญาก็ได้

รวมยอดไปจนถึงความรักสัตวโลกด้วยกัน ไม่เว้นชนิดใดๆ เป้าหมายตรงที่ "คน" ซึ่งเป็นสัตวโลก ที่ต้อง ร่วมทุกข์ ที่ใกล้ชิดเราที่สุด เพราะต่างก็เป็น "คนเหมือนกัน" แม้จะต่างสีผิว ต่างภาษา ต่างบ้าน ต่างเมือง ฯลฯ แต่ก็ไม่ต่าง "วัฒนธรรม" ที่หมายถึงความเจริญด้านธรรมะ ตามหลักคำสอน ของศาสดา ในศาสนา ที่ประเทศ เขาเหล่านั้นนับถือ

ชาวพุทธใช่จะมีเฉพาะเมืองไทย เช่นเดียวกับชาวคริสต์ก็ใช่จะมีเฉพาะทวีปยุโรป อเมริกา หรือชาวอิสลาม จะมีเฉพาะ ตะวันออกกลาง ฯลฯ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าล้วนเป็น "ชาวโลกีย์" ที่ควรดำเนินอยู่ ในวัฒนธรรม เดียวกัน คือ ความรัก ปรารถนาดีต่อกันและกัน ช่วยปกป้องความชั่วร้ายซึ่งกันและกัน

คุณสมบัติของ "คนดี" ในทุกศาสนาย่อมมีบัญญัติไว้
คุณลักษณะของ "ความดี" ในทุกศาสนาก็คงมีบัญญัติไว้

ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคล ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ โลก แม้ข้ามภพ ข้ามชาติก็มีบันทึกไว้ใน "คัมภีร์-คำสอน" แน่ๆ ซึ่งศาสนิกของแต่ละศาสนาน่าจะหยิบขึ้นมาใช้ร่วมกัน เพื่อเป็นการร่วมมือ ในการแก้ปัญหา เรื่องนี้

เพราะ "คน" คือผู้สร้าง ผู้ก่อ ผู้ทำให้เกิด ทั้งด้านบาป ด้านบุญ
เพราะ "คน" คือผู้ที่เป็นได้ทั้ง "คนบ้า" และ "คนดี"
ถ้าคนบ้าเสียแล้ว ยาบ้าจะไม่เกิดขึ้นได้อย่างไร?

เรื่องราวที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ศาสนาพุทธ เขียนถึงสมุทัยของความชั่ว ความดีทั้งหลายว่ามาแต่ "กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมด้วยสัญญาและใจ" เป็นสำคัญ หากคนไม่ฝึกตน ให้พ้นจากความเป็น "คนบ้า" โลกก็คงจะไม่รอดพ้นจากความบ้านานาชนิด ไม่จำเพาะแต่"ยาบ้า"เท่านั้น

อย่าดูดาย ปัดว่าเป็นปัญหาระดับชาติ ระดับโลกก่อนที่จะมองตัวเอง หรือมองข้ามตัวเอง ด้วยความประมาท คิดว่าปัญหา จุลภาคไม่น่าสนใจ ไม่สำคัญ มัวพุ่งเพ่งไปหายอด โดยเมินเลยโคนรากต้นกำเนิด จึงมุ่งเป้า ที่จะแก้ปัญหาปลายเหตุทั้งนั้น จนเกิดเหตุการณ์ "ฆ่าตัดตอน" หรือ "วิสามัญฆาตกรรม" จนเกิดเสียง สะท้อนว่า ไม่ชอบธรรม ทำให้คนทำงาน ปราบปราม ท้อถอย บ่นตามหลังอีกว่า "คนทำงานหนัก มักโดนด่า คนนั่งวิจารณ์ ดีแต่ปากเอาแต่สบาย" จนอาจทำให้เกิด สงคราม ระหว่าง "ผู้หวังดีด้วยกันเอง" มาทำศึก กันเอง ฆ่าด้วยหอกปากกันเอง แทนการทำสงครามกับยาบ้า เพราะ "คนบ้าเลือดขึ้นหน้า" ด้วยกันในที่สุด

มีผู้หยิบยกกฎหมายสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แม้ในยุคต้น รัตนโกสินทร์ มาตรา กำหนดโทษ ผู้ทำผิด นอกจากประหารชีวิตแล้ว ยังมีการตัดมือคนร้ายที่ขโมย ตัดแขนโจรที่ฆ่า หรือ ตัดอวัยวะ ส่วนใดส่วนหนึ่ง ที่เขาใช้กระทำทุจริตกรรมนั้น ผู้นำเสนอเรื่องราว ครั้งกระโน้น มีเชิงแนะ ให้รัฐบาล นำวิธีการ ในอดีตมาแก้ไขปัญหา การลงโทษ อันเป็นทางออกอีกทางหนึ่ง ที่ดีกว่าการ "ทำผิดศีลข้อ ๑" (ปาณาติบาต) เพราะแม้การใช้วิธีนี้ อาจจะทำ ให้เกิดคนพิการเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ต้อง ไปทำบาป ถึงขั้นอนันตริยกรรม ฆ่าตัดชีวิต ซึ่งประเทศอื่นๆ อีกซีกโลกหนึ่ง เขาก็กำลังจะยกเลิก ด้วยมติชนยุคใหม่ ว่าเป็นพฤติกรรมของ "อนารยชน" ประเทศที่เจริญแล้ว ย่อมไม่กระทำ เพราะแม้ใน สถานศึกษา ต่างๆ ก็ยังให้ละเว้น การตีนักเรียนกันแล้ว ผู้ใหญ่กลับจะมาทำทารุณปานนี้ ได้อย่างไร?

เมื่อเทียบเคียงความผิดของผู้ใหญ่ แม้การตัดอวัยวะจะดูรุนแรงกว่าการเฆี่ยนตี แต่ก็เป็นความเหมาะสม สมดุล ระหว่าง ความผิด วัยอายุ ประสบการณ์ชีวิต

การตัดอวัยวะในยุคนี้ มองในรูปของการศัลยกรรมแบบหนึ่งก็ได้ แม้เจ้าตัวจะไม่ประสงค์ หากไม่เกิดโรค ที่ต้องเสีย อวัยวะไป ในมุมมองอีกด้านหนึ่ง คนที่กระทำกรรมทุจริตอันหยาบช้า เบียดเบียนตน เบียดเบียน คนอื่นมากๆ เขาก็คือผู้กำลังเป็น "โรคใจ" ที่ร้ายแรงกว่า "โรคกาย" เป็นไหนๆ ถ้าจะใช้เหตุผล ในทาง พุทธศาสนามาอ้างอิงว่า "ยอมเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ยอมเสียชีวิต เพื่อรักษาธรรมะ" จะพอเข้ากันได้ไหม?

ปริมาณของคนพิการอาจเพิ่มขึ้น แต่เป็นการลดปริมาณคนตาย ปริมาณของคนทำชั่วร้ายแรงถึงขั้น ประหาร ก็ลดลง เช่นกัน เหมือนกับที่เคยใช้ได้ผลมาแล้ว ในสมัยโบราณ

คนพิการที่กลับตัวกลับใจได้ เมื่อรัฐให้ความช่วยเหลือด้านฝึกอาชีพที่เหมาะกับคนพิการ หรือ ผู้ร้ายคนนั้น เกิดสำนึก มาปรับตัวปรับใจ "ทำดีทดแทน" ก็เป็นการแปรรูปที่ดำเนินไปสู่ทิศทางที่ดี ซึ่งดีกว่า จะทรงอยู่แต่ ในรูปของวัตถุ ซากที่ไร้ประโยชน์ ก่อมลพิษ เป็นเศษชีวิต เศษมนุษย์กองสุมอยู่ในโรงขยะ

เคยมีผู้เสนอเรื่องการชำระคดี "ก่อกรรมชำเรา" ให้ตัดอวัยวะที่กระทำการมาแล้วเหมือนกัน เพราะเมื่อใคร ห้ามใจตัวเอง ไม่ให้ไปกระทำชั่วไม่ได้ ก็ต้องหาทางห้ามกาย ห้ามด้านอวัยวะแทน ยิ่งเป็นการแก้ปัญหาอื่นๆ ที่ติดตามมา ภายหลัง คือลบล้างตัดหนทางในการก่อกรรม แพร่พันธุ์ชั่วออกไปสู่ ประเทศชาติ เป็นการทำแท้ง ทำหมัน ทำลายพันธุ์ชั่ว ไม่ให้สืบเชื้อขยายพันธุ์ต่อไป เพราะประชากร ที่เพิ่มขึ้น มีมากกว่าจะลดลง เพียงการรักษาพันธุ์ดีๆ ไว้ก็แสนยาก ไม่ต่างไปจากชาวสวน ชาวนา ที่รู้จัก คัดเลือกพันธุ์ สงวนพันธุ์ หรือทำลายพันธุ์พืชต่างๆ ในการทำเกษตรกรรมนั้นๆ ซึ่งก็เป็นวิธีที่ดีกว่า ของฮิตเลอร์ สมัยเยอรมัน เรืองอำนาจ ที่พยายามฆ่า เผา คนยิวที่เขามีอคติว่า เป็นคนไม่ดีมาแล้ว

ด้านการแพทย์โรคบางอย่างที่รักษาไม่หาย หรือโรคบางอย่างที่ต้องรักษาโดยวิธีศัลยกรรม ผ่าตัด เขาก็ต้องทำ เพื่อรักษาส่วนดีไว้ มีช่องว่างที่จะให้เวลาแก่ตัวเอง เพื่อแก้ไข ดีกว่าที่จะไปจับอัดยัดไว้ ในกำแพง ห้องมืด อย่างเดียว จนเกิดปัญหางบประมาณการเลี้ยงดู ไม่เพียงพอ ในทัณฑสถาน มิหนำซ้ำ ยังอาจกลายตัว เป็นแหล่ง "เพาะเชื้อโรคร้าย" ที่มีปริมาณหนาแน่นที่สุด จนเมื่อพ้นโทษก็ได้ "วิชามาร" มีข่าวว่า เมื่อพ้นโทษ ก็ได้ "วิชามาร" ชนิดยอดๆ หรือติดสิ่งเสพติดมาจากในคุก เพิ่มขึ้นจากเดิม คิดค้นวิธีทำเลว ได้เก่งกว่าเดิม

เคยมีข่าวหนังสือพิมพ์จากประเทศจีนตีพิมพ์เรื่องกฎหมายที่นั่น จะออกมาบังคับ ไม่ให้คนเป็นโรคเอดส์ แต่งงาน มีเพศ สัมพันธ์ ไม่ให้คนเป็นโรคเอดส์ ที่แต่งงานแล้วมีลูก ไม่ให้คนเป็นโรคเอดส์ต่างชาติ เข้าเมือง ไม่ให้คนเป็นโรคเอดส์ ทำงานร่วมกับคนที่ไม่เป็นโรคเอดส์ รวมไปถึงการจำกัดสิทธิอื่นๆ ที่คนปกติเขามีอยู่ เพื่อปิดป้อง กันภัยให้คนดีๆ ให้สังคมดีๆ จะได้ดำเนินไปง่ายขึ้น เพราะคนชนิดที่จะเป็น "ตัวถ่วง" ถูกกำหนด ขอบเขตไว้แล้ว เช่นเดียวกับ การกำหนด เขต "ปลอดภัย" ต่างๆ ที่เรามักเห็นเขาพิมพ์ สติกเกอร์บอก เมื่อมีนโยบาย รณรงค์สิ่งไม่ดีต่างๆ เตือนสติตามสถานที่ต่างๆ เช่น เขตปลอดบุหรี่ เขตปลอดมลพิษ เขตปลอดเสียง เขตปลอดอบายมุข ฯลฯ เป็นต้น

แม้จะมีเสียงคัดค้านว่าแนวคิดที่จีนทำนี้เกินไป เป็นการจำกัดสิทธิมนุษยชน ไปๆ มาๆ ก็อดแสดงความ "ความเห็นแก่ตัว" ของบุคคลแต่ละคนไม่ได้ ซึ่งเป็นธาตุแท้ของปุถุชนทุกชาติทุกภาษา และบอกว่า เป็นการ "ฝืนธรรมชาติ" แม้คนเป็นเอดส์ ก็ยังต้องการเสพเมถุน มีลูกสืบวงศ์ตระกูล ...ฯลฯ สัญชาตญาณ มักชนะ อยู่เหนือคนมากกว่า "ปัญญาญาณ" เสมอ ทั้งๆที่ตัวเองกำลังได้รับ "วิบากอกุศลกรรม" นั้นๆอยู่ ก็ยัง "ตาบอด" (โมหะจิต) ละเว้นไม่ได้ ช่วยตัวเอง ช่วยสังคมไม่ได้ เพราะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตา "ช่วยกิเลส" อย่างเดียว

เหตุการณ์เรื่องอื่นๆใดๆ ทั้งหมดในโลกจึงไม่อาจแก้ไขไปสู่ความดี ความเจริญ (มงคล) ทั้ง ๓๘ ข้อ เพราะคน ไม่ได้ตั้งใจ เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี คนไม่ได้ตั้งใจเป็นศาสนิกที่ดี โลกาจึงเดินทางไปสู่ ความพินาศ คู่เคียงไปกับ คนที่ก็กำลัง ดำเนินชีวิตไปสู่ความพิบัติ ไม่มีใครได้สิทธิพิเศษ พ้นความเดือดร้อน ความทุกข์ เว้นแต่ผู้ฝึกตน ให้พ้นความชั่ว ละเว้นการทำบาป ไม่ไปคิดเลว สร้างก่อเวรกรรมเท่านั้น

อริยสงฆ์มหาเถระเมืองไทยรูปหนึ่งเคยเขียนหนังสือไว้ว่า "ผู้เป็นอริยโสดาบัน คือคนที่พ้นความบ้า ๕๐% เท่านั้น" แล้วคนที่ยังไม่เคยรู้ว่าอริยโสดาบันเป็นอย่างไร และไม่คิดที่จะเรียนรู้วิธีเป็นอริยบุคคล เช่นนี้ มีเหลือ คณานับ ในประเทศ ทั่วโลก แล้วจะไม่ให้เชื่อมั่นว่า "คนบ้าจึงเกิดยาบ้า" ได้อย่างไร.

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๖ กรกฎาคม ๒๕๔๖)