นัยปก
สร้างให้แก่ประเทศ
ไม่เอาจากประเทศ นับว่าเป็นเรื่องน่าดีใจจนเนื้อเต้น ถ้าเราจะได้เห็นคนจนรุ่นสุดท้ายของเมืองไทย เฉพาะในยุคของรัฐบาล คิดใหม่ทำใหม่นี้เท่านั้น ต่อไปข่าวประเภทแม่ลูก ๗ ไปขโมยของที่ห้างเพื่อเอามาเลี้ยงลูก คงจะเป็นตำนานที่เล่าขานวิถีชีวิต คนยากจน ว่าต้องปากกัด ตีนถีบกันแค่ไหน ให้คนรุ่นหลัง ที่มีแต่ความมั่งคั่ง ได้ฟังกันและดูเหมือนว่า รัฐบาลนี้ จะไม่ใช่เพียงแต่กล้าคิดเท่านั้น รัฐมนตรีหลายท่าน ในรัฐบาลพยายาม เคลื่อนไหว ที่จะให้มี การรณรงค์โครงการดีๆ ที่จะให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง อย่างไม่เห็น แก่การสูญเสีย รายได้ มหาศาล ของนายทุน ที่มีอิทธิพลอย่างสูงในสังคม อย่างเช่น โครงการห้ามโฆษณาประชาสัมพันธ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ ในช่วงเวลา ๐๕.๐๐-๒๒.๐๐ น.แม้ว่าจะเลื่อนไปเลื่อนมาอยู่หลายครั้งในการนำเสนอเข้ามติ ครม. แต่นายกรัฐมนตรี ก็ได้แสดงความเห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว พร้อมกันนี้ยังได้ยกตัวอย่างกรณี ที่มีเด็ก ผู้หญิง ไปนั่งกินเหล้าหน้าผับบาร์ซึ่งดูแล้วน่าเกลียด แต่ขณะนี้ได้กลายเป็น เรื่องปกติ ของสังคมไทย ไปแล้ว เนื่องจากมีการเปิดขายสุราอย่างเสรี (มติชน ๒๔ ก.ค. ๔๖) ซึ่งมีผลการวิจัย ในต่างประเทศ ยืนยันว่า โฆษณา มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคของเยาวชนและก็สอดคล้อง กับผลการวิจัย ของเครือข่าย พัฒนาวิชาการและข้อมูลสารเสพติดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มหาวิทยาลัยขอนแก่นระบุชัดว่า เด็กไทย อายุ เพียง ๑๑-๑๕ ปี ริลองดื่มสุรากันแล้วกว่า ๗๘.๓% โดยปีหนึ่งๆ คนไทยจะดื่มสุรา เพิ่มขึ้น เฉลี่ยปีละ ๒๖๐,๐๐๐ คน (ไทยรัฐ ๒๒ ก.ค. ๔๖) และยังมีข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า คนไทยกลายเป็น ชาติที่ดื่มเหล้า มากที่สุดในโลกไปแล้ว ถ้าคนไทยพากันกินเหล้ามากขึ้น สูบบุหรี่เพิ่มขึ้น และพากันเล่นการพนันซื้อหวยมากขึ้น ก็ชวนให้เป็นงงว่า แล้วคนจนรุ่นสุดท้ายจะขาดหายจากประเทศไทยได้อย่างไร และสิ่งที่น่าเป็นห่วง ยิ่งกว่านั้นก็คือ การที่ เศรษฐกิจไทย ขยายตัวขึ้นเป็นอันดับสอง ของภูมิภาคเอเชีย รองลงมา จากประเทศจีน ทำให้เกิด การซื้อง่ายขายคล่อง แม้แต่พ่อค้ารถยนต์ ก็พากันตีปีก ที่รถยนต์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า คาดว่าสิ้นปีนี้ จะขายได้ถึง ๕.๒ แสนคัน และปีหน้า คาดว่า จะขายได้ถึง ๖ แสนคัน แต่ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังทะยานตัวพุ่งสูงขึ้นนั้น ก็มีตัวเลขออกมาว่าช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวย ก็ถ่างกว้าง ห่างตามไปด้วย และที่น่าหนักใจก็คือเด็กไทยทั้งหมด ๖.๖ ล้านคน อยู่ในภาวะทุพโภชนาการถึง ๑,๐๐๑,๙๔๕ คน (ข้อมูลจาก สปช.) ในขณะที่รถยนต์กำลังขายดี แต่มีเด็กไทยเป็นล้านต้องขาดอาหาร ชวนให้สงสัยในความซับซ้อนซ่อนกล ของเศรษฐกิจของทุนนิยมว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และตัวเลขทางคุณภาพชีวิต ของประชากร ดูจะไม่สอดคล้องกัน ยิ่งสังคมไทย ในปัจจุบัน มีสถิติออกมาว่ามีคนฆ่าตัวตาย และมีคนเป็นโรค จิตประสาท เพิ่มขึ้น ตามรอยประเทศที่เจริญ ทางเศรษฐกิจทั้งหลาย เจ้าอาวาสวัดกู้(ไม่ใช่เปรตกู้ที่ยังมีชีวิตอยู่) น่าจะเป็นตัวอย่างของนักบริหารชั้นเยี่ยม ท่านทำให้วัด เจริญรุ่งเรือ งอย่างก้าวกระโดด ทำให้คนรอบวัดมีอาชีพ มีเศรษฐกิจที่ดี มีการงานทำ มีร้านค้าผุด ขึ้นมา อยู่รอบวัด และแถมยังทำให้วัวควายหลายพันตัวรอดตายในโครงการไถ่โค กระบือ อะไรๆ ก็ดีไปหมด เสียแต่ ท่านเอาไว้ ให้แก่ตัวเองมากไปหน่อย จนตัวเองร่ำรวย คนรอบข้างร่ำรวย แต่คนมาหาท่าน จนไปตามๆ กัน พระพุทธเจ้าของเราเมื่อตรัสรู้แล้ว ท่านจะกลับมาปกครองแผ่นดินอีกครั้งก็ได้ แต่พระพุทธองค์ ก็ทรงทำตน ให้เป็นตัวอย่าง ในการสร้างทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่โลกนี้ โดยไม่เอา ไม่สะสมสิ่งใดๆ จากโลกนี้ มีผ้าสามผืน ไว้เพียงห่ม ปิดร่างกาย มีบาตรไว้ฉันอาหารตามมีตามได้ บางวันไม่ได้ก็ต้องอดอาหาร และอยู่กลางดิน กินกลางทราย ตายอยู่ใต้โคนไม้อย่างคนยากไร้ แต่วิญญูชนทั้งหลายย่อมเข้าใจได้ว่า นี่คือการสร้าง ให้แก่โลก โดยไม่เอาจากโลก และนี่คือการกอบกู้ทั้งคนและโลก ระหว่างเจ้าอาวาสวัดกู้กับพระพุทธเจ้า ชาวพุทธเรากำลังเลือกเดินทางไหนกันเอ่ย ? และถ้ามีคนรวยมากอย่างเจ้าอาวาสวัดกู้ น่าจะทำให้คนจนจริงๆ ย่อมหมดไป เพราะได้เจอคนจน ที่หิวโหย แม้จะมั่งมีเท่าไหร่ๆ ก็ยังจนไม่เสร็จ จนขนาดขอทานก็ยังต้องวิ่งหนี เพราะได้เจอเศรษฐี ที่อยากได้กว่าเขา มากมาย หลายเท่าตัวยิ่งนัก - จริงจัง ตามพ่อ (เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๗ สิงหาคม ๒๕๔๖)- |