>เราคิดอะไร

งดเหล้า เข้าพรรษา พาเลิกส่วย - วิมุตตินันทะ -
ธรรมดาวิสัยของปุถุชนคนกิเลสไม่เบา เมื่อเข้ามามีอำนาจเป็นผู้มีอิทธิพล ย่อมอดไม่ได้ ที่จะต้องคิดเก่า ทำเก่า ดูอย่างแม้รัฐบาลไทยคณะคิดใหม่ทำใหม่ ก็ได้เรื่องดีๆ หลายอัน แต่ห่วงว่า มันจะสำเร็จผล ชั่วคราว เท่านั้นหรือเปล่า เพียงกำราบปราบด้วยกฎหมายอำนาจรัฐ อาจสยบ หลบฝ่อไปพักหนึ่ง เสร็จแล้ว ด้วยแรง ขี้โลภ หลายๆ คนอยากรวยตามอย่างท่านผู้นำบ้าง เมื่อรวยบนดินไม่ง่ายไม่ได้ทันใจ แม้ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล สันดานคนมันจะพาเล่นทางลัด ถ้ามีอิทธิพลพอ พวกจะเรียกให้ส่งส่วย อย่างที่เจ้าพ่ออ่าง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ต้องยอมส่งส่วย เป็นค่า อำนวยสะดวก ธุรกิจอาบอบนาบ แค่ซื้อเหล้านอก แจกทีหนึ่ง แปดเก้าแสน ไม่ต้องพูดถึงเงิน ที่ทำตกหล่นสดๆ ตรงๆ ข่าวที่กำลังดังเรื่องส่วย มันคงจะจริง ไม่น้อย ยิ่งได้ยินว่า มีตำรวจไทยกินไวน์ ขวดละแสนและนั่งรถโรลสรอยซ์ หากข่าวนี้ไม่ใช่ ตลกคาเฟ่ หรือออกจากปากเด็กเลี้ยงแกะ คงสะท้อนให้เห็นเส้นทาง ตำรวจไทยกลายพันธุ์ เป็นเจ้าพ่อ น้อยใหญ่ ไปตามๆ กัน ตั้งแต่เดินออกจาก ร.ร.นายร้อยติดดาว ก็ก้าวขึ้นรถเมล์ไม่เป็นเช่นนั้นไหม...

มันน่าเห็นใจ ที่เราจะหาตำรวจดีๆ พิทักษ์สันติราษฎร์ได้ยากมาก เพราะตำรวจไทย เขาใหญ่คับฟ้า มานานกาเล ตำรวจมีอำนาจจับทุกคนได้หมด คิดดูตำรวจไทยเป็นผู้มีอิทธิพลขนาดไหน มีใครไม่กลัว ตำรวจบ้าง แต่โทษที มีใครบังอาจจับตำรวจได้บ้างล่ะ โจรไม่จับโจรฉันใด มันก็คงประมาณนั้นแหละ มีบ้างในรายที่ถูกหวยคงต้องซวยช่วยไม่ไหวจริงๆ เลยจำเป็นต้องเล่นงานฟันทิ้งไปตามระเบียบเรียบร้อย ร.ร.นายร้อยตำรวจไทย

ดูทีน่าจะถึงเวลาได้ฤกษ์ยามทำเวิร์คฉ็อบตำรวจไทย ให้หันมาคิดใหม่ทำใหม่แบบไหนดี ถ้ายังปล่อย ให้ตำรวจ คุมตำรวจ หรืออย่างเก่ง ก็นักการเมืองคุมตำรวจ เราย่อมได้ตำรวจเจ้าพ่อ ทรงอิทธิพล อย่างที่เห็น ทั่วไทย ใครจะใหญ่กว่าตำรวจได้ หากไม่ใช่ประชาชน ขบวนการกลุ่มประชาชน ต้องเป็นใหญ่ ในแผ่นดิน ด้วยศีลด้วยธรรม...

เมื่อตำรวจไทยเลวเพราะส่วยเป็นเหตุสำคัญอันหนึ่ง มันจึงอดใจได้ยากเหลือเกิน เคยมีคำพูดว่า เป็นนายทหารนับขวด เป็นนายตำรวจนับแบงก์ เดี๋ยวนี้คงไม่จริงเสียแล้ว เมื่อตำรวจทำรวยเละได้ ทหารเลย เอาอย่าง อยู่ว่างๆ รับงานเจ้าพ่อขอทำเงินบ้างซี ด้วยวิสัยทัศน์กว้างไกลมันต้องแบ่งต้องแชร์ ขืนไปกินรวบ พวกเดียวหมด มันไม่ถูกหลักเจ้าพ่อ ธรรมชาติต้องแบ่งเขตกันหากิน เช่นนี้เป็นธรรมดา ของการจัดระเบียบ โจรก็ต้องมีระเบียบของโจรนั่นเอง !

ทีนี้เราจะมีสูตรแก้ปัญหาส่วยได้อย่างไร นายกรัฐมนตรีเสนอให้เพิ่มรายได้แก่ตำรวจ ตามที่ตัวเอง ออกจะถนัด ใช้เม็ดเงิน จูงใจแก้ปัญหาสารพัด ซึ่งไม่รู้จะต้องเพิ่มเงินประเคนอีกตั้งเท่าไหร่ ตำรวจถึง จะอยู่นิ่งๆ ไม่แยแสส่วย ก้อนเบ้อเร่อ มันคงไม่ไหวเป็นแน่เทียว ยังไงก็ไม่พอชดเชยเงินส่วยอยู่ดี

โดยเฉพาะ ยิ่งส่งเสริมให้รวยใหญ่ขนาดไหน พวกขี้โลภไม่เสร็จคงอยากรวยเงินทุกทางที่ขวางหน้า ดีไม่ดี บางคน อยากจะเทียบชั้น ขอรวยน้องๆ ทักษิณบ้าง ท่านจะว่าอย่างไร...

ในทางกลับกัน แทนที่จะใช้เม็ดเงินจูงใจตำรวจ ซึ่งแม้นไม่ต้องใช้เงินฟาดหัว คนก็แย่งกันเป็นตำรวจ อุตลุด จะตายชักอยู่แล้ว

ทางที่ถูกหลัก น่าจะเป็นสูตร พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เสนอให้กวาดบ้านเหมือนล้างบางไปเลย พร้อมกับ รับเลือดใหม่ ตำรวจพันธุ์แท้ขึ้นมา คัดเอาคนที่เลี้ยงง่าย มักน้อยสันโดษด้วยเศรษฐกิจพอเพียง และอยาก จะทำงานรับใช้ประชาชนจริงๆ เชื่อว่าจะมีคนสมัครตรึมไม่เงียบเหงาเป็นแน่ โดยเฉพาะ น่าจะต้อง ปฏิรูปผ่าตัด ยกเครื่องกันใหม่หรือเปล่า ยิ่งไม่ต้องเอายศเจ้าขุนมูลนายเลยจะได้ไหม เล่นจัดระเบียบ แบบตำรวจเทศกิจ จะเป็นอย่างไร โดยไม่ต้องรวมศูนย์อำนาจใหญ่โต เหมือนกรม เหมือนสำนักงาน แห่งชาติ ดังที่เป็นอยู่ คือกระจายอำนาจให้เทศบาลและท้องถิ่น เลี้ยงดูตำรวจ ทำนองนี้ จะน่าสนใจ เป็นทางเลือกขนาดไหน

เลือกเฟ้นจัดระเบียบเลี้ยงตำรวจให้กล้าจน กินน้อยใช้น้อยแต่แข็งขันขยันงาน เป็นพวกติดดินเลี้ยงง่าย แบบนี้น่าจะดีกว่า พาหลงให้กล้ารวยกล้าเอา กินเก่งใช้เก่ง หรือแข่งกันกินล้างกินผลาญ ขืนเลี้ยงยาก พรรค์นี้ ใครไม่เก๊กซิมซี่บ้าง พ่อเลี้ยงลูกด้วยเงิน มันพาเสียคนมาเยอะไม่รู้เท่าไหร่ เสร็จแล้ว จะเลี้ยงตำรวจไทย ด้วยเงิน มันคงดูไม่เบื่อจริงๆ....

อนึ่ง คิดถึงตำรวจที่แข่งกันรวย น่าจะช่วยกันตรวจสอบทรัพย์สิน ให้มีรายงานเปิดเผย ทำนองเดียวกับ นักการเมือง น่าจะดีไม่น้อยเลย

เรื่องของเรื่อง อย่างส่วยที่เป็นข่าวครึกโครม หนีไม่พ้นผลพวงของค่านิยมแข่งกันรวย ด้วยเงินทุกอย่าง ที่ขวางหน้า เมื่อเอาเม็ดเงินเป็นตัวตั้งตัวแปร มันแย่ทั้งนั้น ปัญหาจึงต้องเจาะลึกถึง จิตวิญญาณ อันเป็นประธาน สิ่งทั้งปวง ทุกอย่างไหลมาแต่เหตุ มันจึงต้องแก้ให้ถึงลูกถึงคนที่ต้นเหตุ คือ กิเลสตัณหา ร้อยแปด

ผลงานของรัฐบาลไทยรักไทย ที่กำลังจะเข้าตาประชาชนเต็มที่ขณะนี้ คือ การคุมกำเนิด โฆษณาเหล้าเบียร์ ตั้งแต่ตีห้าถึงสี่ทุ่ม ข่าวว่าจะเสนอครม.มาตั้งหลายงวดแล้ว ไม่รู้มีมารหน้าไหน ไปเป็นจระเข้ขวางคลอง ให้เกิดโรคเลื่อน เรื่อยเปื่อย

เหล้าเบียร์หวยพนัน มันพาจนทั้งนั้น เข้าใจยากเย็นเหลือเข็ญตรงไหนใครทราบบ้างหนอ ในขณะที่ รัฐบาลไทยรักไทย ใจดีเหลือเกิน อยากจะแก้จนใจจะขาด ถึงขนาดจัดเป็นวาระแห่งชาติ จะกวาดทิ้ง บัญชีคนจน ให้หายจนถ้วนหน้า ทั่วไทยในหกปี คุยโขมงอวดเก่งกล้า ประมาณนั้น มันคงทำได้ แค่ฝันกลางแดด หน้าร้อน...

เพราะเหตุอันใดหรือเจ้าข้า ต่อให้แต่ละคนรวยเงินได้ถึงขีดเดือนละหลายพันหรือเป็นหมื่นต่อคน เสร็จแล้ว พวกก็กินเหล้า เมาเบียร์เสียหวย ด้วยอยากรวยเงินล้าน เมื่อเล่นผลาญกินใช้แบบนี้ มันจะเหลืออะไร ให้รวยได้หรือ มีแต่จนกับจนหมดตัวต่างหาก

ลำพังเม็ดเงินรายได้ไม่ใช่ตัวกำหนดเศรษฐกิจแท้จริงเลย การลดรายจ่ายจนเกิดรายเหลือเกินกินเหลือใช้ ส่วนเหลือ นี้แหละ ค่อยนับว่าจนหรือไม่จนขนาดไหน

ดังนั้น การแก้จน จึงไม่ใช่ตั้งหน้าหาเงินเพิ่มลูกเดียว สิ่งที่ทำได้ทันทีไม่มากก็น้อยคือถอยรายจ่าย จึงไม่ควรมองข้ามการอุดรูรั่วทั้งหลายแหล่ ดูเหมือนนักเศรษฐกิจจะมองแบบทุนนิยมหรือเปล่า ถึงมัก จะไม่ใส่ใจให้คนลดละประหยัดกินใช้ ชะรอยเกรงว่าจะขัดแย้งกับการเติบโตขยายตัวเศรษฐกิจ ใครจะ ผลาญกินใช้ ก็ดีสิเงินทองมันรั่วไหล จากคนจน แล้วมันไปเพิ่มความรวย ให้คนอื่นต่อ เศรษฐกิจ จะได้หมุนคล่อง เหมือนอย่างคิดตั้งคาสิโน เปิดหวยบนดิน ซึ่งประโคมโหมโฆษณา ซื้อหวย ช่วยสังคม ได้บุญอีกต่างหาก ไม่กลายเป็นมิจฉาทิฐิเพี้ยนไปกันใหญ่หรือนี่...

แต่ก่อนแต่ไร ค่านิยมกินเบียร์ อยู่ในวงจำกัดเฉพาะคนมีสตางค์ค่อยว่ากันไป คนจนๆ พื้นบ้าน ซดแต่ เหล้าโรง ๓๐ ดีกรี หรือไม่ก็แม่โขงผสมโซดา มันก็พาเมาได้ดังใจ ไม่เหมือนถองเบียร์ เท่าไหร่จะพอเมา

ลำพังไม่ค่อยมีโฆษณาบ้าระห่ำอะไรกันมาก คนไทยก็ขี้เหล้าเมาหยำเปจนดูไม่เบื่ออยู่แล้ว ชาวไร่ชาวนา จนซ้ำซาก โงหัวไม่ขึ้น เหล้าเป็นตัวการสำคัญอันดับหนึ่งทีเดียว

เดี๋ยวนี้ ขี้หมูขี้หมาใครๆ กล้ากินเหล้านอกทั้งกล้ากรอกเบียร์เป็นว่าเล่น ไม่ว่ากรรมกรพวกหาเช้ากินค่ำ ต่างซื้อ เบียร์กิน เหมือนเป็นเครื่องดื่มน้ำขวด ทั้งๆ ที่วันๆ หาเงินได้จิ๊บจ๊อย พวกเขาเหล่านี้ น่าสมเพช ที่ขาดแคลน ความสุขในหัวใจจนต้องไปหาความสุขที่ดื่มได้จากน้ำเมา ธุรกิจช่างมอมเมากันได้เก่ง เหลือร้ายแท้ๆ

ไม่ว่าเบียร์ช้างม้าเสือสิงห์ อะไรๆ อีกก็ตามที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า รัฐบาลส่งเสริมเหมือนไม่รู้ว่า มันดูดซับ เลือดคนจน ไปตั้งเท่าไหร่ หากคิดเก่าทำเก่าอีหรอบนี้ ต่อให้อีกสิบชาติ คนไทย ไม่มีวัน หายจน ได้ดอก อย่าว่า แค่หกปีเลย...

ข้าวผ้ายาบ้าน ปัจจัยสี่เลี้ยงชีวิต จำเป็นต้องให้ถูกเข้าไว้ คนจนจะได้มีกำลังซื้อหามากินใช้ พอเพียง ส่วนของ ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย มันต้องแพงกว่าบ้าง ยิ่งของมอมเมาอบายมุข ยิ่งสมควรให้แพงสุดๆ ไปเลย อย่างน้อย ได้จำกัดคนบริโภค ให้เฉพาะพวกกิเลสตัณหาราคะจัด ทั้งต้องควักกระเป๋าหนักด้วย เช่น สมัยพุทธกาล นางคณิกาโสเภณี จะต้องรูปสวยมากๆ เพื่อชวนให้เศรษฐีมาหลงนอนด้วย คืนหนึ่ง ต้องจ่าย เป็นแสนๆ เหรียญกหาปณะ ไม่ใช่แค่พันแค่หมื่นบาทเหมือนปัจจุบัน

วิสัยคนมั่งมี จะผลาญเงินซื้อบริการแพงๆเพื่อสนองตัณหาตัวเอง มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนไม่เห็นทุกข์ ปล่อยเขาไปพวกเศรษฐีมีเงินเมื่อยังไม่เกิดปัญหาสังคม ไม่เหมือนสมัยนี้ผู้หญิงราคาถูก เอาเศษเงิน ฟาดหัว นิดเดียว เสพสมอารมณ์หมาย ใครๆ ก็เที่ยวลงอ่าง ซื้อบริการได้ง่าย นักเที่ยวเยอะ ผู้หญิงขายตัวนางบำเรอ บานเบิกนับแสนๆ มันบ่อนทำลายเศรษฐกิจบานเบียง บางชุมชนมีคาราโอเกะ แหล่งมั่วสุม มากกว่า ร้านขาย ของชำเสียอีก ปล่อยให้เปิดกันได้ทุกซอยตามตึกแถวได้อย่างไร ไม่เห็นใจบ้านร้านข้างเคียงเลย ส่วยคงมีจ่าย ถึงออกอนุญาตกันเป็นว่าเล่น

วกเข้ามาหาประเด็นโฆษณาเหล้าเบียร์ เป็นเรื่องของธุรกิจพวกนอกศาสนา ของไม่ควรกินดื่ม เพื่อนสามารถ เอามาปั่นหัว ยั่วยุให้เมาหมัดซัดเข้าไปฆ่าตัวตายได้ กินเหล้าเบียร์มันดีตรงไหน เหล้าก็บาดคอ เบียร์ก็ขมขื่น กินดื่มเอาอะไรไม่ทราบ นอกจากน้ำเจือแอลกอฮอล์ ประหลาดที่คนอุตริ ฝืนธรรมชาติตัวเอง โดยไร้เหตุผล สิ้นดี น้ำอร่อยอื่นอีก ๑๐๘ ไม่ยักสรรหามาดื่มให้ชื่นปากคอ ผู้ชายจึงออกพิลึก ที่มักกินเหล้า สูบยา ในขณะ ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ ไม่นิยมเท่า พวกหล่อนคงจะไปเมาเสื้อผ้าแต่งตัวทาสีหัวจรดเท้า ว่ากันไป บ้าบอ คนละแบบ

ทางรัฐบาลช่างพิลึก คุยว่าจะคิดใหม่ทำใหม่ กลายเป็นหาเสียงประชานิยมโดยตามใจชาวบ้าน เช่น ยอมให้ต้มเหล้า เปิดตลาดแข่งขันเสรีขึ้นมา เหล้าสาโทเป็นผลงานชิ้นเอก ขึ้นหน้าขึ้นตา ของหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไปฉิบ เศรษฐกิจไร้ศีลธรรม ย่อมขยายตัวไป ตามขี้โลภ ส่วนใครจะเป็นเหยื่อ ตกนรกน้ำเมา เป็นกรรม ของสัตวโลก อยากกินเองทำไมล่ะ...

การเมืองไม่มีศาสนาเป็นหลักปักยึดมั่น รัฐบาลจึงทำสะเปะสะปะ ถึงขนาดเปิดถนนคนเมาก็เอาด้วย พิลึกปานนั้น ไม่น่าเชื่อ เมื่อรัฐมนตรีไม่มีหัวคิดทางสร้างสรร ที่เหนือชั้น นำหน้าชาวบ้านได้ ก็ไม่น่า ก้าวขึ้นมา เป็นผู้นำแนวหน้าได้เลย หรือว่าชาวบ้านห่วยแตก ถึงเลือกตัวแทนได้แค่นี้เอง

เคราะห์ดีที่ยังมีคนไม่ขาดสติ อย่างรองนายกรัฐมนตรีจตุรนต์ ฉายแสง ซึ่งผลักดันแผนห้ามโฆษณาเหล้า หรือ รมต.สาธารณสุข สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ เจ้าของโครงการอดเหล้าเข้าพรรษา ใครเป็นชาวพุทธหรือเปล่า คงต้องดูว่า ถือศีลยังไงบ้าง ตรงกันข้ามกับพวกมอมเมา ดูถูกคุณเป็นคนไทยรึเปล่า ทำไมเป็นคนไทย แล้วมันต้อง เกี่ยวน้ำเมา ช้างม้าอะไรด้วย...

เดี๋ยวนี้ ผู้เขียนเองเพิ่งรู้ว่าคนไทยเป็นแชมป์ขี้เมาโลก มันภาคภูมิใจตรงไหนหว่า มันขายขี้หน้าทั่วโลก สิ้นดี แล้วยังไม่รู้สึก!

สาธารณสุข เริ่มก้าวมาถูกจุดแล้ว ในการบรรเทาสาธารณทุกข์ โดยชวนคนไทยอดเหล้าเข้าพรรษา การนับถือพุทธของคนไทย จะได้ตั้งต้นมีความหมายจริงจังสักที

ศาสนาจำต้องเป็น ธรรมนูญชีวิต ของคนไทยและรัฐบาล การเมืองจะต้องมีศาสนานำพาปฏิบัติ ให้อยู่ใน ทำนองคลองธรรม สีเลน สุขาวหํ ศีลย่อมนำสุขมาให้

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๗ สิงหาคม ๒๕๔๖)