>เราคิดอะไร

กติกาเมือง - ประคอง เตกฉัตร -
ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช

ปราบผู้อิทธิพล ต้องปราบปืน

การปราบปรามผู้มีอิทธิพลเป็นนโยบายของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรี พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร พยายาม ผลักดันให้เกิดความสำเร็จให้ได้ โดยผ่านรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการ กระทรวง ยุติธรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมีรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงคือ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้รับผิดชอบ ส่งผลให้นายวันมูหะหมัด นอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย ออกคำสั่งที่ ๒๓๕/๒๕๔๖ ซึ่งมีสาระสำคัญว่า

๑. ให้จำกัดการออกใบอนุญาตให้มีอาวุธปืน (แบบ ป. ๑๒) หรือระงับการออกใบพกปืนไว้เป็นการชั่วคราว

หากบุคลใดมีความจำเป็นและประสงค์จะขอใบพก ต้องได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ โดยการอนุมัติ ของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย

๒. ให้จำกัดการออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.๔) สำหรับปืนต่อไปนี้

๒.๑ อาวุธปืนเล็กยาวทุกชนิด ทุกขนาด รวมทั้งเครื่องกระสุนปืนที่ใช้สำหรับปืนเหล่านั้น เช่น ปืนยาวลูกกรด ขนาด .๒๒ เป็นต้น

๒.๒ อาวุธปืนลูกซองที่มีเครื่องกลไกสำหรับบรรจุกระสุนเองทำให้สามารถยิงซ้ำได้ ทุกชนิด ทุกขนาด เช่น ปืนลูกซองยาว แบบกึ่งอัตโนมัติเป็นต้น

๒.๓ อาวุธปืนที่มีรูปลักษณะและการทำงานคล้ายคลึงกับอาวุธปืนเล็กกล ปืนกลมือ หรือปืนกลทุกชนิด ทุกขนาด

กรณีมีบุคคลใดมีความจำเป็นและประสงค์จะขอมีและใช้อาวุธปืนเหล่านี้ต้องได้รับใบอนุญาต ให้มีและใช้ จากนายทะเบียนท้องที่ โดยการอนุมัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น

ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๔๖ จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๖

คำสั่งดังกล่าวได้แนบหนังสือเวียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยให้ถือ แนวทางปฏิบัติ

๑. แจ้งให้นายทะเบียนท้องที่และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบออกตรวจร้านค้าอาวุธปืน

๒. ให้นายทะเบียนปืนพิจารณาดำเนินการอย่างจริงจังและเคร่งครัดในเรื่องการเพิกถอนใบอนุญาต ให้มี และใช้ อาวุธปืนของผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีพฤติการณ์ไม่เหมาะสม

๓. บุคคลที่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนไปแล้วไม่สมควรให้และใช้อาวุธปืนอีก โดยยึดหลักว่า บุคคล ควรมีอาวุธปืนสั้น ๑ กระบอก และปืนยาว ๑ กระบอกเท่านั้น

คำสั่งนี้ยังครอบคลุมถึงหน่วยราชการที่มีปืน กระสุนปืน วัตถุระเบิดหลายชนิด หลายขนาด อยู่ใน ครอบครอง ให้มีการตรวจสอบ ควบคุม ดูแล หรือปฏิบัติตามระเบียบ โดยเคร่งครัด ป้องกันไม่ให้มี การถูกปล้น หรือ ลักลอบนำปืน กระสุน หรือระเบิดดังกล่าว ไปใช้ก่ออาชญากรรม

ด้วยสาเหตุดังกล่าวทำให้ร้านขายอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาตให้สั่งเข้าอาวุธปืนบางชนิดมาขาย ในราชอาณาจักร เช่น ปืนลูกกรด ขนาด .๒๒ และปืนลูกซองยาว กึ่งออโตเมติก กลายเป็นอาวุธปืน ที่มีปัญหา ค้างสต๊อกขึ้นมาทันที และเป็นปัญหาที่พ่อค้าอาวุธปืน จะต้องดำเนินการแก้ไข เพื่อลด การขาดทุน

"จู่ๆ กระทรวงมหาดไทย ออกคำสั่งห้ามขาย คำสั่งห้ามเกิดตามมาภายหลังจากการอนุญาต ให้สั่งนำเข้ามา ในราชอาณาจักรแล้ว จำนวนมาก โดยไม่มีการ บอกกล่าวล่วงหน้า ถามว่าจะให้พวกเรา จัดการกับอาวุธปืน ที่มีอยู่อย่างไร" นี่คือคำโอดครวญ ของร้านขายอาวุธร้านหนึ่ง ผู้เขียนในฐานะ นักกฎหมาย ไม่มีความรู้เรื่อง การค้าขาย มากนัก ถ้าจะต้องตอบตรงๆ แบบนักกฎหมาย ก็ต้องตอบว่า เมื่อขายแล้วมีกำไร ก็ต้องมี การขาย ได้กำไรน้อยบ้าง กำไรมากบ้าง ไม่ได้กำไรบ้าง หรือขาดทุนบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา ในการค้าขาย เป็นหน้าที่ ของพ่อค้าแต่ละคน จะต้องดำเนินการ จัดการในการกิจการ ค้าขาย ของตนเอง เมื่อสั่งเข้ามาได้ ก็ต้องส่งออกไปให้ได้ ถ้ารัฐต้องสำรวจอาวุธปืนที่ค้างสต๊อกอยู่ก่อนจึงออกคำสั่งดังกล่าว คำสั่งดังกล่าว ก็ไม่เป็น ความลับ จะทำให้มีการจำหน่าย จ่ายแจกอาวุธปืน ดังกล่าวไปในสังคม อีกจำนวนมาก ก่อนที่ คำสั่ง ดังกล่าว จะออกมา หรือเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า จะก่อปัญหา ให้พ่อค้าอาวุธปืนขาดทุน จึงไม่ยอม ออกคำสั่งใดๆ นั้นน่าจะไม่เป็นการถูกต้อง ผู้เขียนเห็นด้วยกับ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย เป็นอย่างยิ่ง ที่ออกคำสั่งดังกล่าว และเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวนั้น ยังเบาไปด้วยซ้ำ น่าจะต้องสั่งการ ให้รวมไปถึง ผู้ที่มีอาวุธปืน ดังกล่าว ไว้ในครอบครองมากกว่า ๑ กระบอก หรือผู้มีพฤติการณ์ ไม่เหมาะสม ที่จะมีอาวุธปืน ดังกล่าว ไว้ในครอบครองด้วย และน่าจะครอบคลุมไปถึง อาวุธปืนแบบอื่นๆ อีกหลายชนิด

"รัฐหวังลิดรอนสิทธิผู้มีอิทธิพลบางกลุ่มแต่กระทบสิทธิของสุจริตชนทั่วไป" นี่เป็นคำโอดครวญ ของพ่อค้า อาวุธ อีกคนหนึ่ง ผู้เขียนคิดว่าผู้ค้าอาวุธปืนท่านนั้น หรือพ่อค้าอาวุธปืนทั่วไป ที่จะไม่ทราบเลยว่า อาวุธปืน เป็นอุปกรณ์ อันสำคัญ ของผู้มีอิทธิพล หรือผู้ก่อการร้าย หรือผู้ที่ก่อให้เกิด อาชญากรรมนั้น ไม่น่าจะเป็น ไปได้ ตามี ตามา ยายสี ยายสา ที่ทำนาทำไร่อยู่ตามชนบท คงไม่สามารถ เป็นพ่อค้า อาวุธปืนได้ แต่ท่าน ดังกล่าวนี้ ยังรู้ว่า อาวุธปืนนั่นแหละ เป็นส่วนหนึ่ง ที่สนับสนุน หรือก่อให้เกิด ปัญหาต่างๆ ขึ้นใน ประเทศไทย ถ้าไม่มีอาวุธปืน แม้แต่กระบอกเดียว ในประเทศไทย

ยกเว้นแต่ของฝ่ายทหารที่มีหน้าที่ไว้ป้องกันประเทศชาติ ที่ควบคุมไว้อย่างดีแล้ว ประเทศไทย น่าจะอยู่กัน อย่างร่มเย็น เป็นสุขยิ่งกว่านี้แน่นอน การออกระเบียบ ของสังคม แล้วไปกระทบ ผลประโยชน์ของ บุคคล บางกลุ่ม บางพวกนั้น เป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่การตัดถนนหนทาง การบริหารทั่วไป ในทางปกครอง หรือ แม้แต่ การร่างกฎหมาย แต่ละฉบับ ก็ยังต้องกระทบกระเทือน ซึ่งผลประโยชน์ ของบุคคลอื่นบ้าง พ่อค้า อาวุธปืน ต้องยอมรับ ในส่วนนี้ เพราะประโยชน์ จะตกแก่ประชาชน ส่วนใหญ่ ของประเทศชาติ ผู้เขียน ขอชมเชย ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกครั้งหนึ่ง ว่าท่านมีความกล้าหาญ และรัฐบาล ก็มีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ที่มุ่งพยายาม แก้ไขปัญหานี้ แม้จะไม่สำเร็จก็ตาม ก็จงพยายามต่อไป และ พยายามรุกคืบ ในเรื่องดังกล่าวนี้ อย่างต่อเนื่อง

"มีคนมากมายโดยเฉพาะคนในชนบทที่ห่างไกลหรือที่เปลี่ยว เกิดปัญหาพึ่งพาเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ได้ จำต้องมีปืนไว้ ป้องกันชีวิต และทรัพย์สิน" นี่เป็นเหตุผล อีกประการหนึ่ง ของพ่อค้าอาวุธคนหนึ่ง ที่โอดครวญ ฟังดูแล้วดีมาก แต่มันแฝงไว้ด้วยยาพิษ เมื่อรัฐคิดจะปราบปราม ผู้มีอิทธิพลแล้ว ให้อำนาจ ของรัฐ เข้าไปปกป้อง คุ้มครองประชาชนแทน ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็ไม่ควรจะปกครองโดยตัวแทน ของประชาชน อีกต่อไป น่าจะปกครองโดย เจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล หรือผู้ก่อการร้าย จะได้หมดเรื่องราวไป เมื่อรัฐเข้าไป ปราบปราม ผู้มีอิทธิพลแล้ว ถ้าไม่สามารถ ปกป้องคุ้มครอง ประชาชนได้ หัวหน้า สถานีตำรวจ ก็ดี นายอำเภอก็ดี ผู้ว่าราชการจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็ดี ก็น่าจะถูก ให้ออกจาก ทางราชการ ไปให้หมดสิ้น นำผู้มีอิทธิพลดังกล่าวนั้น มาทำหน้าที่แทน เพราะเมื่อมีหน้าที่แล้ว ก็สามารถ จะนำอาวุธ มาปกป้อง คุ้มครองประชาชนได้ โดยชอบด้วยกฎหมาย

ประเทศไทย เมื่อประมาณ ๕๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปีที่แล้ว ข้ออ้างดังกล่าวนี้ อาจจะนำมาใช้ได้ แต่ปัจจุบันนี้ การคมนาคมก็ดี การสื่อสารก็ดี ข่าวสารก็ดี สื่อมวลชน ล้วนพัฒนา เข้มแข็ง ไปทุกด้าน การปกครอง ก็สามารถ เข้าไปทั่วถึง ประชาชนทุกหมู่เหล่า เว้นแต่ประชาชนคนนั้น จะไปบุกรุก อยู่ในป่าสงวนแห่งชาติ หรือในที่อุทยานแห่งชาติ ที่ห่างไกล จากบุคคลอื่น ก็เป็นข้อยกเว้น แต่ละรายไป ทั้งข้อที่อ้างว่า จะไว้ปกป้อง คุ้มครอง ทรัพย์สินนั้น รัฐต้องออกกฎหมาย ให้ผู้ที่มีสิทธิมีอาวุธปืน ดังกล่าวนั้น ต้องมีรายได้ และ เสียภาษีต่อรัฐ ในแต่ละปีนั้น จำนวนเท่านั้นเท่านี้ ให้เป็นที่แน่นอน เพื่อให้เชื่อว่า มีทรัพย์สิน จะต้อง คุ้มครองจริง มิใช่ว่า มีใบอนุญาต ให้มีอาวุธปืน ไว้ในครอบครอง แต่ไม่เคยเสียภาษีเงินได้ ให้รัฐบาล ก็แสดงว่า ไม่มีทรัพย์สิน ที่จะต้องปกป้อง คุ้มครองอีกต่อไป

"ปืนก็เหมือนรถยนต์และทุกสิ่งในโลก มีทั้งด้านที่เป็นคุณและโทษ ขึ้นอยู่กับผู้คนที่นำมาใช้ ต่อให้มีรถสัก ๑๐ คัน มีปืนสัก ๑๐ กระบอก หากทุกกระบอก มีทะเบียนถูกต้อง ตามกฎหมาย ถามว่า จะมีเจ้าหน้าที่ คนไหน ยินดีให้คนอื่น เอาไปใช้ฆ่าคน เพื่อให้ตัวเอง ต้องติดบ่วงด้วย" นี่เป็นข้ออ้าง ของพ่อค้า อาวุธปืน อีกคนหนึ่ง ซึ่งมองดูแล้ว น่าจะเป็นข้ออ้าง ที่เห็นแก่ตัวเกินไป เมื่อจุดประสงค์ของการมีอาวุธ เพื่อไว้ปกป้อง คุ้มครองชีวิต และทรัพย์สินแล้ว เหตุใดจะต้องมี จำนวนมาก และการยิงปืน ทีละ หลายกระบอก จะทำได้หรือ ใช่อยู่ว่า อาวุธปืนแต่ละกระบอก มีอานุภาพ ในแต่ละด้าน ต่างกัน หรือเหมาะสม ในการใช้ ต่างวาระกัน การที่อ้างว่า จะมีอาวุธปืนไว้ยิงสัตว์ก็ดี มีอาวุธปืน ไว้ยิงเล่น เพื่อกีฬาบันเทิงใจก็ดี ล้วนแต่ เป็นเหตุผล ที่ไม่สามารถ หักล้างได้ ถึงการนำอาวุธปืน ดังกล่าว ไปก่อให้เกิดอาชญากรรม ขึ้นในประเทศ เพราะอาวุธปืนดังกล่าว ก็มีอานุภาพ ที่จะทำลายล้าง ชีวิตของคน และก่อให้เกิดอำนาจ แก่ผู้มีด้วย เช่นเดียวกัน ถ้าอนุญาตให้ทุกคน มีอาวุธปืนได้โดยเสรี ต่อไป ก็ต้องมีผู้อ้าง ขอมีอาวุธสงคราม ไว้โดยเสรี เพราะไม่มีผู้ใด ประสงค์ ให้คนอื่น เอาอาวุธสงคราม ของตนเอง ไปยิงผู้อื่นได้ เช่นเดียวกัน หรือต่อไป ก็ต้องอนุญาต ให้คนมีวัตถุมีพิษ และสารพิษ หรือแม้แต่ ยาเสพติด ที่ก่อให้เกิดอันตราย ไว้ได้โดยเสรี ด้วยเช่นเดียวกัน โดยอ้างเหตุผล เช่นกับพ่อค้าอาวุธปืน คนดังกล่าวนี้

"โดยเฉพาะปืนยาวลูกกรด ขนาด .๒๒ ซึ่งถือเป็นปืนประเภทกระสุนดินขับ ที่มีอานุภาพอ่อนที่สุดในโลก ส่วนใหญ่ชาวบ้าน ซื้อไว้เฝ้าบ้าน หรือใช้ยิงนก ยิงหนู ที่มารบกวน ตามไร่นา บ่อปลาหรือกุ้ง" เหตุผลนี้ ถ้าบุคคลที่ไม่อยู่ในวงการกฎหมายอาจจะไม่ทราบและเห็นว่าน่าจะพออนุโลมให้มีไว้ได้ แต่ผู้เขียน ในฐานะ ผู้พิพากษา ท่านหนึ่ง ได้พิจารณา พิพากษาคดี ที่เกิดด้วยอาวุธปืนชนิดนี้ มาแล้วจำนวนมาก ประชาชน ชาวบ้านทั่วไป สามารถซื้ออาวุธปืนชนิดนี้ ไว้ในครอบครองได้ โดยอ้างเหตุผล ประการเดียวกับ พ่อค้า อาวุธปืนรายนี้ แต่อาวุธปืนดังกล่าวนี้แหละ จะเป็นอาวุธที่ทำลาย ประหัตประหารซึ่งกัน และได้ อย่างดียิ่ง เพราะเป็นอาวุธปืน ที่หาซื้อง่าย และมีทั่วไป ตามชนบท ไม่ต่างกับอาวุธปืนอื่น ที่อ้างว่า มีอานุภาพ ร้ายแรงกว่า และมีราคาสูงกว่า แต่อย่างใด

"กีฬายิงปืนเหมือนกรีฑา ว่ายน้ำและกีฬาอื่นๆ นักกีฬาคนหนึ่ง ไม่ใช่ฝึกซ้อม และลงแข่งประเภทเดียว กีฬายิงปืน มีทั้งปืนสั้นอัดลม ปืนสั้นยิงช้า ปืนสั้นมาตรฐาน ปืนสั้นยิงเร็ว ปืนสั้นขนาดกลาง ปืนสั้นชาวบ้าน ปืนยาว อัดลม ปืนชาวบ้าน การฝึกซ้อมและแข่งขัน แต่ละประเภท ต้องใช้ทั้งปืน และขนาดกระสุนปืน ที่แตกต่างกัน" "นักกีฬาคนหนึ่ง ลงแข่งตั้ง ๓-๔ อย่าง โดยเฉพาะเยาวชนทีมชาติ ที่ได้รับการสนับสนุน พอเลยเกณฑ์ เยาวชนขึ้นมา ก็ต้องเปลี่ยนไปแข่ง ปืนสั้นอัดลม ปืนสั้นมาตรฐาน ปืนยาวมาตรฐาน คำสั่งที่บอก จะให้มีปืนสั้น คนละ ๑ กระบอก ถ้าไม่ยกเว้นให้นักกีฬา อนาคตวงการกีฬายิงปืนเมืองไทย มีหวังดับสนิท" ช่างเป็นเหตุผล ที่น่าฟัง อย่างยิ่ง แต่ผู้เขียนเห็นว่า การที่จะพัฒนากีฬายิงปืน ไปแข่งขัน กับบุคคลอื่นนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะไปจำกัด และควรส่งเสริมให้มียิ่งขึ้น แต่ไม่จำเป็น ที่บุคคล ดังกล่าว ต้องมีอาวุธปืน ของตนเอง ไว้ในครอบครอง ส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้องกับ การกีฬาก็ดี รัฐบาลก็ดีต้องมี หน่วยงานกลาง ที่เก็บอาวุธปืนชนิดนี้ ไว้เป็นของส่วนรวม และ ทำการเบิกจ่าย ควบคุมไว้ เฉพาะกรณีที่ จะไปยิงปืน ที่สนาม ดังกล่าวเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว และนำกลับไปไว้ ในครอบครอง เป็นส่วนตัว ก็จะปกป้อง คุ้มครอง ประเทศชาติได้ และไม่เป็นการตัดอนาคต นักกีฬายิงปืน คนใดๆ กลับให้โอกาส นักกีฬา หรือ ประชาชนทุกคน ที่สนใจ วงการกีฬา สามารถพัฒนาตนเองได้ เท่าเทียมกัน ยิ่งขึ้นกว่า ให้แต่ละคน ขวนขวาย หาซื้อปืนไว้ในครอบครอง ด้วยตนเองอีก

อีกกรณีหนึ่งที่มีปัญหามากคือการรับโอนมรดก กรณีบิดามารดาเป็นเจ้าของอาวุธปืน เมื่อบิดามารดา ถึงแก่ความตาย อาวุธปืนดังกล่าวนั้น ก็ตกแก่ทายาท ซึ่งตามกฎหมาย ถ้าบิดามารดา มีคุณสมบัติ ที่จะมีอาวุธปืน ดังกล่าวไว้ในครอบครองได้ ก็สมควรอยู่ แต่บุตรหลานบางคน ที่เป็นทายาท ไม่มีคุณสมบัติ ที่จะไป รับมรดก แต่โดยกฎหมาย ก็ต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ และเมื่อตกเป็นกรรมสิทธิ์ ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเป็น ผู้จัดการมรดก ก็จะรับโอนมรดก อาวุธปืนดังกล่าวนั้นเป็น ของตัวเอง การตรวจสอบ คุณสมบัติ ดังกล่าวนี้ เป็นไป อย่างหละหลวม เป็นจำนวนมาก

ผู้เขียนเคยเขียนบทความเรื่องอาวุธปืนมาหลายครั้งและได้เสนอข้อคิดเห็นต่างๆ มาหลายครั้งแล้ว อีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่มีผู้ใด เคยเสนอมา ผู้เขียนใคร่ขอให้เสนอ ทางรัฐบาล ตั้งหน่วยงานกลางขึ้นมา รับฝาก อาวุธปืนทั้งหมด โดยกำหนดให้ทุกคน ที่มีอาวุธปืนเกิน ๑ กระบอก ตามคำสั่งดังกล่าว ของกระทรวง มหาดไทย นำอาวุธปืนที่เกินนั้น มาฝากแก่ หน่วยงานดังกล่าวนี้ และในระหว่างนี้ อนุญาต ให้เสนอขาย บุคคลอื่น ที่อยู่ในกฎเกณฑ์ ที่สามารถจะซื้อไว้ได้ และเมื่อต้องตกลง ซื้อขายกันเมื่อใด ก็จะมาดูอาวุธปืน ที่ฝากไว้ ต่อหน่วยงานดังกล่าวนี้ หรือกรณีบุคคลใดตาย ต้องกำหนดให้ทายาท นำอาวุธปืนดังกล่าวนั้น ไปฝากเก็บไว้ ที่หน่วยงาน ดังกล่าวนี้ก่อน และถ้าทายาท ผู้รับมรดก ไม่ประสงค์ จะได้กรรมสิทธิ์ หรือ มีคุณสมบัติ ไม่เหมาะสม ก็ให้ดำเนินการ จัดจำหน่วย ไปยังบุคคลอื่น ตามที่กฎหมาย อนุโลมให้มีได้ และ มีคุณสมบัติครบถ้วนก่อน ฉะนั้น จะไม่มีอาวุธปืน ไปกองอยู่ที่ บุคคลใด จนสามารถ ตั้งแก๊ง ก๊วน หรือ กลุ่มอิทธิพล ไว้ข่มขู่บุคคลอื่น หรือหน่วยงาน ของทางราชการ และไม่เป็นเครื่องมือ ในการทุจริต คอร์รัปชั่น และป้องกันผู้มีอาวุธปืน ไปฮั้วประมูลงานของรัฐ ตามที่มีข่าวอยู่ และนักเรียน นักศึกษาทั้งหลาย ที่เกิดกรณี นำอาวุธปืนไปยิง ในสถานศึกษา และเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน จะไม่ปรากฏ เช่นที่เป็นอยู่ ในขณะนี้

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๗ สิงหาคม ๒๕๔๖)