>เราคิดอะไร


ตอน..คนเกเร

พี่จบเป็นหลานชายวัยรุ่นของแม่ เคยมาอยู่ที่บ้านแว้งเป็นเวลานานจนพูดภาษามลายูได้ดีมากพอๆ กับน้อย และพี่แมะ พ่อของเขา กับน้าของน้อยแยกทางกัน แม่จึงสงสารหลาน และเห็นว่าเขาอาจจะชอบชีวิต แบบบ้านป่า มากกว่าในเมือง จึงรับ ให้มาอยู่ด้วย ส่งให้เขาเข้าเรียน ที่โรงเรียนประชาบาลแว้ง แม่หวังว่า แว้งจะเปลี่ยน นิสัยเกเรของหลานได้บ้าง

พี่จบไม่ถึงกับไปตีรันฟันแทงกับใคร แต่เขาก็ไม่ตั้งใจเรียน ชอบคบคนเกเรและทำในสิ่งที่ใครๆ เห็นว่า ไม่ควรทำ ชอบทำ กรุ้มกริ่ม หยอกล้อผู้หญิงอย่างยิ่ง จนครั้งหนึ่ง ทำให้แม่เป็นทุกข์ เพราะไปปีนห้องน้ำ ดูลูกสาว ป้ามุนอาบน้ำ เขาเป็นคน ไม่รักษา ความสะอาด แต่ชอบแต่งตัวฉุยฉาย หวีผมเรียบแปล้ อย่างบรรจง และใส่น้ำมันใส่ผม เสียจนเหม็นเอียน

น้อยโกรธกับพี่จบอยู่หลายเดือนเรื่องที่เขาเอาสันมีดตีขาลูกไก่หัวโล้นของเธอ จนกระดูกมันหัก ดีที่มันไม่ตาย เพราะแขก สอนให้เธอ เข้าเฝือกขามัน ด้วยเยื่อเปลือกต้นบอน จนมันหาย แต่มันก็กลายเป็นลูกไก่ขาคด จนทุกคนเรียกมันว่า อีคด

พ่อพูดกับแม่ว่าความจริงพี่จบคงจะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ช่างคิดช่างทำพอตัวทีเดียว เพราะดูมีศิลปะบางอย่าง จากสายเลือด ทางแม่ แต่เขามักชอบคิดชอบทำ ในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เอาเสียเลย อะไรที่เป็นการงาน ของบ้าน พี่จบจะเลี่ยงเสียด้วยการ ไปเที่ยว กับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกับเขา ซึ่งพ่อว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้เขา ยิ่งเกเรหนักขึ้น เพราะเพี่อนๆ พี่จบ ก็เอาแต่เที่ยวเตร่ ยิงนก ตกปลา จนในที่สุด พี่จบก็ต้องออกจาก โรงเรียนแว้ง เพราะโตเกินเรียน และเป็นเด็กเกเร แม่เสียใจมาก ที่หลานไม่จบ แม้แต่ ป.๔ แต่พี่จบ ไม่เสียใจเลย กลับดีใจว่าจะได้มีอิสระเต็มที่เสียที ไม่ต้องนั่งให้พ่อตักเตือน จ้ำจี้จ้ำไช ให้เรียนหนังสืออีก

แม่ยกห้องหลังบ้านถัดจากครัวให้พี่จบอยู่คนเดียว ไม่มีใครทราบว่าเขาออก และกลับมาห้องของเขา ตอนไหน เพราะเขา ไม่ขออนุญาตพ่อแม่ น้อยเคยแอบเข้าไปดูห้องส่วนตัวของพี่จบ เป็นห้องที่แสน จะรกรุงรัง และสกปรก เพราะเจ้าของ ไม่เคย ปัดกวาดเช็ดถู ตามฝาห้องเต็มไปด้วยข้าวของ ที่พี่จบ ทำขึ้นเองบ้าง ได้จากเพื่อนบ้าง เช่น กรงสำหรับดักนก และสัตว์ป่า ขนาดต่างๆ ขดลวดทั้งใหญ่และเล็ก มีด พร้า ขวาน ฆอเลาะ๑ และอื่นๆ อีกมากมาย พี่จบกับเพื่อนเคยเลี้ยงปลากัดไว้ใต้ถุน ตรงห้องนอน ใส่ขวด เรียงไว้ เพื่อเอามากัดกัน ระหว่างขวด ต้องเอากระดาษ สอดคั่นไว้ ไม่เช่นนั้น ปลามันจะพุ่งเข้าชนขวด เพื่อกัดกัน แล้วมันก็บาดเจ็บ น้อยเคยเห็นปลาที่เขาเอามากัดกันจริงๆ หาง ครีบ ตลอดจนปากของมัน ขาดวิ่น บางตัวถึงกับ ตายก็มี พวกที่ดูก็ชอบอกชอบใจ โห่กันลั่นที่ปลาของตัวชนะ พ่อสั่งให้เลิกการเลี้ยงปลา ในบ้านต่อไป อย่างเด็ดขาด

วันหนึ่งน้อยเห็นพี่จบเอานกที่เขากับเพื่อนดักได้มานั่งชื่นชมกันอยู่ใต้ถุนห้องของเขา นกตัวนั้นสวยมาก ขนเป็น สีเขียวสด แซมด้วยสีขาว และเหลืองเล็กน้อย ปากของมันสีแดงงุ้มเป็นจะงอย กรงเล็บสีแดงเรื่อ

"พี่จบไปดักมันมาเหรอ นกแก้วใช่ไหม?" น้อยเตร่เข้าไปถาม

"อะไรนกแก้ว ไม่รู้นกชั้นดีเสียแล้ว นี่เขาเรียกว่านกแล" พี่จบว่า

"น้อยก็รู้จักเหมือนกันแหละ ที่บ้านแขกเพื่อนน้อยเขาก็เลี้ยง นี่นกแก้ว" น้อยเถียงตามความเข้าใจของตน เพราะจำสี และ รูปร่าง มันได้

"อย่ามาเถียง นกแก้วที่ไหนจะเท่านี้ นกแก้วตัวนิดเดียว สีมันเหมือนกัน นี่ตัวใหญ่กว่าตั้งเยอะ เขาเรียกว่า นกแล เราน่ะรู้จัก แต่นกบินหลา ในหนังสือเท่านั้นแหละ ของจริงไม่เคยได้จับได้เลี้ยงหรอก นกแลก็ไม่รู้จัก" พี่จบว่า ทำให้น้อยได้ทราบ ในวันนั้น ว่า นกแก้วกับนกแล ต่างกันที่ขนาดของมัน

"ใครว่าน้อยรู้จักแต่นกบินหลา พี่จบนั่นแหละไม่รู้อะไร ภาษาบางกอกเขาเรียกนกบินหลาว่านกกางเขนย่ะ แขกเรียก บุรงแลบา ใช่ไหมล่ะ?" น้อยหันไปทางเพื่อนแขกของพี่จบ พวกนั้นพยักหน้ารับ "โธ่! นึกว่าเราไม่รู้ นกอื่น น้อยก็รู้จัก นกกรงหัวจุก น้อยก็เคย เอากล้วยให้มันจิกกิน ไพฑูรย์ว่า ที่บางกอกเขาเรียก นกปรอด หัวโขน" พอเห็นเพื่อนพี่จบถามกันว่านกอะไร ในภาษาแขก น้อยก็ต่อทันทีว่า "แขกเรียก บุรงจาเลเนะห์ นกกระจิบ ก็บุรงปาดี นกกระจอก ก็นกเยาะห์อุเมาะห์ นกกระจาบ ก็บุรงเยาะห์รายอไง น้อยยังเคย เอารังมัน มาเล่นเล้ย"

"อาเด๊ะแดมอตาฮูซูโงะห์ เว้ บูเดาะตินอตู้! (น้องเธอรู้จักจริงด้วยแฮะ เด็กผู้หญิงนะนี่!)" เพื่อนพี่จบคนหนึ่ง พูดอย่างแปลกใจ

"นกขมิ้นมันก็ขนเหลืองๆ พ่อยังเคยร้องเพลงนี้ให้น้อยฟัง นกกวักน้อยก็รู้จักทั้งนั้นแหละ นกคูดล่ะ พี่จบ เคยรู้จักเหอ? ในเพลงร้องเรือยังมีเลย ยายว่าให้ฟัง ใครว่าน้อยอ่านแต่เรื่องนกกางเขน น้อยชอบเรื่องนั้น เพราะมีลูกนก ชื่อเดียวกับน้อยต่างหาก แต่พ่อไม่ให้เลี้ยงนกนะ นกฮูกน้อยยังเคยดูมันใกล้ๆ เลย วันนั้นพี่จบ ไม่อยู่ ซักกะหน่อย เลยไม่ได้เห็น นกเจาะหิน ล่ะ พี่จบเคยเห็นเหรอ ก็ไม่เคย" น้อยสังเกตว่า พี่จบกับเพื่อน ของเขา หันขวับมาทันที ที่เธอเอ่ยถึงนกเจาะหิน จึงเดินเข้าไปนั่งบนแคร่แล้วพูดต่อ

"ปากมันเบ้อเริ่มเลย แล้วก็แข็งจนเจาะหินที่ภูเขาได้ด้วยจะบอกให้ แขกยังเคยเลี่ยมทองมาขายให้แม่ ด้วยหละ" น้อยจ้อต่อ คราวนี้ยิ่งได้ผลมากขึ้นอีก เพราะพี่จบกับเพื่อนถามว่า

"แล้วป้าซื้อไว้ไม้?" เมื่อน้อยสั่นศีรษะ พี่จบก็ส่ายหน้าทำเสียง จุ๊ย์ จุ๊ย์ พูดกับเพื่อนเขาว่า

"ปัดโท้! ทำไม้ไม่รู้จักซื้อไว้ ของดีไม่รู้จัก ฟันแทงไม่เข้านะนั่นนา น่าเสียดายแทน ถ้าเราอยู่ก็ได้เรื่องแล้วนะ ใครเอามาขายป้าน่ะ น้อยรู้ไม้?"

"รู้สิ แขกที่บาเละโน่น ทำไม พี่จบจะไปหานกเจาะหินมั่งเหอ เดี๋ยวแม่ก็_" น้อยพูดแต่ยังไม่ทันจบ เพื่อนพี่จบ ก็ขัดขึ้นว่า

"อย่าเพิ่งเลยน่า เอาไว้ก่อน เอาเรื่องนี้ก่อน เดี๋ยวเราข้ามคลองไปดูกรงดักดีกว่า"

"พ่อไม่ให้ขังนก" น้อยพูด

"รู้แล้วน่า ก็ใครบอกว่าจะขังล่ะ พวกเราจะทำให้สวยจนใครๆ ต้องชมแหละ ลุงก็ว่าเราไม่ได้ก็ไม่ได้ขัดคำสั่งนี่ ตัวเป็นเด็ก ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ต้องตามไปด้วย" พี่จบว่าก่อนที่พาพรรคพวกออกเดินไปทางสวนทุเรียนหลังบ้าน

บ่ายวันนั้น ทั้งพ่อและแม่ไม่อยู่บ้าน แขกที่เดินผ่านไปมาหน้าบ้านต่างแวะกันเข้ามา ไม่ใช่มาซื้อของ ที่หน้าร้าน ที่พี่แมะเฝ้าอยู่ พวกเขาเดินเลยเข้าไปในสวนข้างบ้านใกล้ๆ กอแล (สระ) ศักดิ์สิทธิ์ ไปดูผลงาน ของพวกพี่จบ ที่เขาคิดว่า ใครๆ ก็ต้องชม

ตรงนั้นมีต้นยางขึ้นอยู่หลายต้น เป็นต้นยางที่มามุกับน้อยชอบเอามีดตัดยางมากรีด เพื่อเอาน้ำยาง ไปทำ ลูกบอลเล่น แต่วันนี้พวกพี่จบช่วยกันขึงลวดเส้นยาวระหว่างต้นยางสองต้น อีกคนหนึ่งตัดลวดส่งให้พี่จบ ซึ่งนั่งจับ ตัวนกแลไว้ หว่างเข่าทั้งสองข้าง จากนั้นก็เอาห่วงขบเข้ารอบข้อเท้านกที่น่าสงสารตัวนั้น คนดู ต่างพยักพเยิดให้กัน ไม่มีใครว่าอะไรทั้งสิ้น เพราะรู้กันดีว่า ไม่มีใครห้ามเด็กหนุ่มพวกนี้ได้ พี่จบขบห่วงเสร็จ ก็เอาไป สอดเข้าในลวด ที่ขึงไว้ระหว่างต้นยาง จับตัวนกแลให้เกาะสายลวด เขาทำอย่างนั้น ตัวแล้วตัวเล่า จนเกิด มีนกแล ยืนกันอยู่เป็นแถว ในแนวเดียวกันเสียด้วย

นกแลได้ที่เกาะแล้ว มันสวยดีมาก เลื่อนตัวไปมาให้คนดูชมสีสันได้ด้วย

แต่ต่อแต่นี้ มันจะบินไปหาผลไม้กินหรือไซ้ปีกไซ้ขนให้แก่กันไม่ได้อีกแล้ว

พวกพี่จบยืนมองผลงานอย่างสุดภูมิใจ คนดูยืนนิ่งบ้าง ส่ายหน้าบ้าง

น้อยน้ำตาเต็มตา หวังในใจว่าพอเย็นลงพวกเขาก็คงจะปล่อยนกเป็นอิสระ

ค่ำแล้ว สองพี่น้องช่วยกันปิดประตูหน้าถังและทำกิจวัตรประจำวันกันจนเสร็จเรียบร้อย พี่จบไปเที่ยวต่อ เป็นการเที่ยว ช่วงหัวค่ำของพวกเขา เมื่อน้อยถามเรื่องนก เขาก็ตอบแต่เพียงว่า

"ปล่อยมันทำไม กว่าจะจับมาได้ ก็เกาะคอนนอนบนลวดก็ได้นี่ พรุ่งนี้คนก็จะได้เห็นอีกว่า มันสวยแค่ไหน พี่ไม่ได้ขัง มันซักกะหน่อย ไม่ต้องมายุ่ง เราจะไปดูมนอฆอกัน กลับดึกๆ โน่นแหละ ป้าถาม บอกด้วย แล้วกันนะ เดี๋ยวจะว่า ไปเที่ยวก็ไม่บอกไม่กล่าวอีก เบื่อฟัง"

สองพี่น้องหุงข้าวรับประทานกันตามลำพังกับกับข้าวที่แม่ครอบไว้ให้ใต้ฝาชี จากนั้น ก็เข้าไปอ่านหนังสือกัน ในห้องโถงกลาง เร็วกว่าปกติ เพราะน้อยรู้สึกวังเวงใจพิกล อาจเป็นเพราะใบไม้รูปต่างๆ ริมสระศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ ซ้ำเสียง นกฮูกก็ดัง ฮูก ฮูก ตุม ตุม มาแต่หัวค่ำ มันเป็นคืนข้างแรมเสียด้วย

"กลัวผีอีกแล้วซี เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็มา บ้านกำนันเขามีงานก็ต้องดึกหน่อย" พี่แมะพูด

"น้อยรู้สึกว่านกฮูกมันมาเร็วกว่าทุกคืน จริงๆ แล้วเสียงมันดังแปลกยังไงก็ไม่รู้" น้อยพูด รู้สึกถึง ความผิดปกตินั้น

"ดังแปลกยังไงกัน พี่ว่ามันก็ดังอย่างนี้ทุกคืนแหละ" พี่แมะว่า

"ไม่นะพี่แมะ ทุกคืนเสียงเรไรดังกว่านี้ แต่นี่เสียงเหมือนมีนกฮูกหลายตัวงั้นแหละ ฟังซี หรือ ผะ..ผี.. มาประชุมกัน" น้อยพูดตาโพลง พลางเงี่ยหูตั้งใจฟังอีก

"เห่อย! น้อยนี่ อะไรไม่รู้ ขี้ขลาดไม่เข้าเรื่อง" พี่แมะดุน้อง แต่เจ้าตัวก็ก้าวยาวพรวดๆ ไปปิดประตูกลาง ลงกลอน เพื่อให้ภาพ ใบไม้เว้าแหว่งหายไปเสีย

แต่เสียง ฮูก ฮูก ตุม ตุม ก็ดูเหมือนจะดังรุมเร้ายิ่งขึ้น อย่างน้อยว่าจริงๆ เสียด้วย

จ๊าก! จ๊าก! จ๊าก! นั่นเป็นเสียงอะไรกันอีกล่ะ?
ไม่เคยมีอย่างนี้มาก่อน! จ๊าก! จ๊าก! ฮุก! ฮุก!

สองพี่น้องตลึงพรึงเพริด เข้าใจเหตุการณ์ได้พร้อมกัน ไอ้ดำไปตะกายอยู่ใต้ต้นยาง เห่าเสียงลั่น

"นก! นกพี่จบ! เร็วพี่แมะ เร้ว!" น้อยร้องลั่น ความกลัวหายไป รู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ

พี่แมะคว้าตะเกียง น้อยนั้นเร็วเท่าความคิด กระโดดลงบันได ลอดเข้าไปใต้ถุน ดึงเอาไม้สอยผลไม้ออกมา แต่ภาพ ที่ปรากฏเลือนราง ระหว่างต้นยางทั้งสอง ทำให้มือเท้าอ่อนปวกเปียก ก้าวขาไม่ออก

"โอ๊ย พี่แมะ! เห็นไม้ นกตัวนั้นถูกนกฮูกจิกตายแล้ว มันห้อยอยู่ เห็นไม้ ฮือ..ฮือ..ไอ้พี่จบบ้า!
นกตายแล้ว มันบินหนีไม่ได้ ดูตานกฮูกผีตัวนั้นซี โอ๊ย! นั่น! มาอีกตัว มันมากินนกแล! ทำไงพี่แมะ?"

"อะไรกัน?" เสียงพ่อกับแม่ร้องถามเป็นเสียงเดียวกันอย่างตระหนก ดังมาจากถนนหน้าบ้าน "ลงมาทำไม เอาตะเกียง มาด้วยทำไม? เกิดอะไรขึ้นหรือ?"

น้อยโผเข้าหาพ่อพร้อมไม้สอยผลไม้ ละล่ำละลัก ตอบไม่เป็นส่ำ

"พ่อ ช่วยนกด้วย นกฮูก แม่ นกพี่จบถูกนกฮูกกิน มันตายไปกี่ตัวแล้วก็ไม่รู้ ฮือ..ไอ้พี่จบบ้า!"

"คุณพระช่วย!" พ่ออุทาน เข้าใจเรื่องได้ตลอดอย่างรวดเร็ว เมื่อมองเห็นภาพรางๆ ของร่างนกที่ห้อยต่องแต่ง ขนร่วงกระจุย นกฮูกตัวใหญ่สามตัว เกาะอยู่บนคาน กำลังจิกกินนกแล ที่ไม่มีทางหนี เสียง จ๊าก!จ๊าก! ยังดังมาจาก นกแลที่เหลือ "อะไรกันนี่ ช่างคิดทำบาปอะไรได้อย่างนี้!" พ่อกัดฟันพูด ดึงไม้สอย ไปจาก มือน้อย ฟาดไปบนลวด "เอ๊ะ! ทำไมนกแลมันไม่หนีเล่า?"

"มันหนีไม่ได้ พ่อ พวกเค้าเอาลวดผูกตีนมันกับเส้นลวด ฮือ..ฮือ" น้อยบอกพ่อพลางร้องไห้

เมื่อตาพ่อชินกับความมืดเข้าก็เห็นนกฮูกถาไปที่นกแลอีกตัว น้อยและพี่แมะร้อง โอ๊ย พร้อมกันกับ เสียงพ่อ ออกคำสั่ง

"น้อย! หันไปทางอื่นเดี๋ยวนี้! แม่ถือตะเกียง! แมะวิ่งขึ้นไปเอาตะไกรอันใหญ่มาให้พ่อ เร้ว!"

ทุกคนทำตามคำสั่งพ่ออย่างรวดเร็ว พ่อลากเอาม้าจากใต้ถุนมารองขึ้นไปตัดลวดขึงเส้นนั้น ทั้งซากนก ที่ตายแล้ว และ ตัวที่ยังเหลืออยู่ รูดพรวดตกลงมาที่ดิน พ่อตรงเข้าไปรูดเอาซากนกออกก่อน เพื่อช่วย ตัวที่ยังมีชีวิต นกฮูก ยังคงถา เข้าไปจิกอีก พี่แมะคว้าไม้สอย ฟาดไปไล่นกฮูก น้อยนั้นซบหน้า กอดขา แม่แน่น ตัวแม่สั่น และแม่พึมพำ อะไรไม่ทราบ เธอรู้สึกอย่างเดียวว่า เกลียดพี่จบเป็นที่สุด

ความสยองของเหตุการณ์คืนนั้นทำให้น้อยนอนไม่หลับเป็นครั้งแรกในชีวิต พี่แมะพยายามพูดเรื่องอื่น ให้น้อย คลายความรู้สึก จนพี่แมะหลับไปแล้ว น้อยก็ข่มตาลงไม่ได้ เธอฉวยผ้าห่มเดินงุ่มง่าม ออกไปหา พ่อกับแม่ ที่ห้องโถงกลาง พ่อโอบเธอบอกให้นอนลง ระหว่างพ่อกับแม่ ในความรู้สึก เหมือนฝันร้าย วุ่นวาย น้อยได้ยิน แม่พูดว่า

"ฉันไม่รู้จะทำอย่างไร พ่อ จะส่งเด็กไปไหนล่ะ พ่อกับแม่เค้าก็ไม่เอามันแล้ว ยกมาให้เราเลี้ยง พวกเค้า ต่างมีใหม่ กันแล้ว มีลูกมีเต้าใหม่กันทั้งสองฝ่าย บางทีจบมันต้องมารับกรรม ที่พ่อแม่ก่อขึ้น ก็ได้นะพ่อ คิดแล้ว เวทนา มันเหมือนกัน แต่มันก็ช่างร้ายเหลือ"

พี่จบถูกแม่เฆี่ยนอย่างแรงจนน้อยสงสาร เขาให้สัญญาว่า จะไม่ทรมานสัตว์อีกแล้ว แต่ในไม่ช้า พี่จบ ก็ทำเรื่อง อีกจนได้

สมัยนั้น แว้งไม่มีลอตเตอรี่ ไม่มีบ่อน นอกจากการชนไก่แล้วแขกจะลักลอบเล่นยูดี (การพนัน) บ้างก็ น้อยที่สุด ชาวบ้านที่นี่ รังเกียจการพนัน เพิ่งจะมีหวย ก.ข. เกิดขึ้นก็เมื่อไม่นานนี้แหละ แต่ก็เล่นกัน เหมือนสนุกๆ วิธีเล่น ก็แค่ทายว่า ตัวอักษรไทยที่เจ้ามือเลือกไว้นั้นเป็นตัวอะไร แล้วคนซื้อหวย ก็ไปบอก ตัวอักษร ที่ตนเลือก ให้เจ้ามือ จดไว้ แทงกันตัวละบาทสองบาทเท่านั้นเอง พอตกเย็น ก็ไปดูกันว่า หวยออกอะไร ถ้าใครแทงถูก ก็ได้เงินหลายเท่า ของที่ลงไป แล้วก็แทงต่อกันอีก อย่างสนุกสนาน

แม้อย่างนั้น พวกเขาก็ยังต้องแอบเล่นกันทางริมคลองหลังบ้านน้อย เพราะกลัวตำรวจมาจับ แต่จริงๆ แล้ว ครอบครัว ตำรวจเอง รวมทั้งข้าราชการ ก็มาแทงเหมือนกัน มันเหมือนเป็นการบันเทิงที่เกิดขึ้นใหม่ในอำเภอ ให้พอสนุก ตื่นเต้นกันมากกว่า

พวกที่มาแทงหวยมักมาแวะนั่งคุยกับแม่ที่หน้าร้านเสมอ ทั้งไทยทั้งแขก บางทีคนหนึ่งไปแทง หลายคน ก็ฝาก ไปแทงด้วย แม่ยังเคยฝากเขาแทงบาทหนึ่ง แล้วก็ถูกเสียด้วย แต่พ่อนั้นไม่เคยแตะต้องหวยเลย

"ลงซื้อหนหนึ่งแล้ว จะถูกหรือไม่ถูกก็เถิด เดี๋ยวก็ต้องซื้ออีก อดไม่ได้หรอก อย่ายุ่งเลยดีกว่า"

แม่หยุดซื้อหวยอย่างเด็ดขาดตามที่พ่อขอ อาจจะเพราะเหตุผลอื่นด้วย นั่นคือเงินที่แม่นับไว้เป็นพับ เก็บไว้ ใต้หมอน หายไปส่วนหนึ่ง ใครจะเข้าไปขโมยถึงใต้หมอนในห้องนอนแม่กับพ่อ สอบสวนทวนความ แล้วพี่จบ ก็ยอมรับสารภาพว่า เป็นคนแอบเข้าไปขโมย

"ผมไม่ได้ลักไปทั้งพับ ผมหยิบไปแค่สิบบาท ป้าอย่าตีผมเลย ผมไม่มีเงิน เพื่อนเขาชวนไปแทงหวย ที่หลังบ้าน น้ากิม" พี่จบบอกเหตุผล

พ่อส่ายหน้าอย่างระอา แม่ก็โกรธมาก ซักพี่จบว่า "แกไปแทงกับเขาทำไม ฮึ?"

"ก็ผมฝันดี ป้า ผมรู้ว่ามันต้องออกตัว ต.เต่า แน่" พี่จบเล่า น้อยกับพี่แมะค่อยๆ ย่องเข้ามาฟังพี่จบ เล่าความฝัน ของเขา ให้พ่อกับแม่ฟัง "ผมฝันว่าผมไปแทงหวย แล้วก็ถูกป้าตีด้วยดุ้นฟืน ผมหนีป้า ป้าตาม ผมเลย กระโดด ลงบ่อหลังบ้าน คอยตั้งนาน คิดว่าป้าไปแล้ว ผมก็โผล่หัวขึ้นมา ที่ไหนได้ ป้าแอบอยู่ขอบบ่อ เอาฟืนตีผม ผมก็เลย มุดลงบ่ออีก อย่างนั้นตั้งหลายที ผมโผล่ เจอป้า ผมก็ผลุบลง อย่างนั้น ผมก็เลยแทง ต.เต่า เพราะผม โผล่ผลุบ เหมือนหัวเต่าไง ป้า เพื่อนๆ ผมเขาก็เห็นด้วยว่าต้อง ต.เต่า"

"แล้วไง แกได้เงินมาเท่าไร?" พ่อซักบ้าง น้อยคิดว่าน้ำเสียงพ่อเหมือนจะขำปนอยู่ด้วย "มันไม่ออก ต.เต่าลุง มันออก ฆ.ระฆัง เจ้ามือกินเรียบ ไม่มีใครแทงตัวนั้น ผมก็คิดไม่ถึง ความจริงผมฝันแม่นแล้ว แต่แก้ไม่เป็นเอง ระฆัง มันก็ต้องตี ถึงจะดัง ผมก็จะถูกป้าตี ก็ออกตรงแล้ว" พี่จบว่า

"ฝันแม่นจริง จบ" แม่ว่า "ฝันว่าถูกฉันตี แก้ฝันก็ถูกอีกนั่นแหละ แกผิดสองกระทง ทั้งขโมยเงินด้วย ทั้งแทง หวยด้วย จะได้หลาบจำเสียที อย่าไปแทงอีกเป็นอันขาด เห็นไหม เงินก็เสียแถมยังถูกตี"

แล้วพี่จบก็ถูกตี ตามระเบียบ แม่เป็นคนตี พ่อไม่ตีหรอกเพราะเป็นหลานแม่

พี่จบเข็ดหลาบไปเป็นเรื่องๆ แต่ก็หาเรื่องใหม่ขึ้นมาได้เรื่อยจนทุกคนอิดหนาระอาใจ เรื่องที่รุนแรงที่สุดนี้ น่ากลัวมาก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาถรรพ์ของเวทมนตร์ด้วย

ความจริงศาสนาอิสลามสอนให้เชื่อคำสอนของอัลเลาะห์เพียงพระองค์เดียว ไม่ให้เอาเรื่องอาถรรพ์อื่นใด เข้ามาปฏิบัติ แต่ในอำเภอแว้ง ก็รับรู้กันอยู่ว่า มีผู้ที่รู้เวทมนตร์คาถามีอยู่อย่างน้อยสามคน คือ โต๊ะแชซาอิด คนแก่ที่แสนดี โต๊ะอุมา นายหนัง ซึ่งต้องมี เวทมนตร์เป็นธรรมดา และ ป๊ะดออาแว เจ้าของสวน เยื้องกับ บ้านของน้อย ภรรยาเขาเป็น โต๊ะบีแด (คนทำคลอด) ก็ต้องรู้ เรื่องมนตร์ๆ ผีๆ ด้วย

หลังสงครามป๊ะดออาแวปลูกมันสำปะหลังไว้เต็มสวนเพื่อไว้หุงปนกับข้าวสารและต้มกินเล่น น้อยเคยเห็น ผู้ชาย ที่อดอยาก เข้า ไปขโมยถอนมัน ในสวนนั้น ตอนตะวันมุ้งมิ้งวันหนึ่ง หลังจากนั้นป๊ะดออาแว ก็ทำสิ่งที่คนอื่น ทำไม่เป็น คือ ลงขวากมนตร์ รอบสวน แต่เขาก็ประกาศทั่วไปว่า ถ้าใครต้องการซื้อ หรือขอหัวมัน ก็ให้มาบอก อย่าได้เข้าไปขโมยเป็นอันขาด ใครที่เหยียบ ถูกขวากมนตร์เข้า แล้วจะถอนเอง ไม่ออก เพราะเขาว่ามนตร์ไว้ ต้องให้เจ้าของสวนมาถอนมนตร์ให้ จึงจะปลอดภัย

แน่นอนอยู่แล้ว คำประกาศอย่างนั้น ยิ่งท้าทายพวกหนุ่มเกเรกลุ่มพี่จบ แม่ไม่ได้เลี้ยงพี่จบให้อดอยาก แม้แต่สักมื้อ แต่พี่จบ อดที่จะอวดว่า ตนเองเก่งกว่าใครไม่ได้ แม้แต่กับคนอย่างป๊ะดออาแว ที่ทุกคน เกรงกลัว

เมื่อเพื่อนๆ พี่จบวิ่งมาบอกพ่อกับแม่เรื่องพี่จบเป็นหัวโจกเข้าไปขโมยหัวมัน ในสวนมันสำปะหลังนั้น เป็นเวลา เข้าไต้ เข้าไฟแล้ว แม่ตกใจจนหน้าซีด พ่อบอกให้หนุ่มๆ พวกนั้นไปช่วยเอาตัวพี่จบมาที่บ้าน พี่จบ เดินมาเองไม่ได้ ต้องหามกันขึ้นมา ทางบันไดหลัง ให้มานั่งพิงฝาบ้าน อยู่ที่นอกชานกลาง

ทั้งที่ใจสั่นเพราะรู้ว่าจะต้องเห็นเลือด น้อยก็ยังอดออกไปดูเขาไม่ได้ พ่อกับแม่ก็มัววุ่น จนไม่ทันห้าม

แรกสุด น้อยเห็นพวกนั้นมุงกันเต็ม พ่อนั่งอยู่ที่ปลายเท้าพี่จบ เธอเอียงคอมองต่อ คราวนี้เห็นหน้าพี่จบ หน้าเขาซีด จนเหลือง ทั้งที่เขา ผิวคล้ำกว่าเธอเสียอีก แล้วก็เห็นพี่จบแหงนหน้าอ้าปากร้องลั่น ด้วยความเจ็บปวด น้ำตาไหลเป็นทาง มือหนึ่ง กุมเท้าตนเองไว้แน่น อีกมือปัดแขนพ่อออกพัลวัน

"ลุงอย่าดึงแรง ผมเจ็บจะตายอยู่แล้ว โอ๊ย ลุงอย่าดึง!"

น้อยเห็นมือพ่อแล้ว เปรอะเลือดพี่จบเต็มเลย เสียง วิ้ง วิ้ง วิ้ง ดังขึ้นในหูของน้อย เธอรู้สึกสยดสยองแทนพ่อ ที่มือ เปื้อนเลือด อย่างนั้น แต่น้อยก็คงไม่ถึงกับเป็นลม ถ้าไม่ใช่เพราะไปส่ายสายตา เห็นภาพเท้าพี่จบเข้า

เท้าข้างขวาของพี่จบมีเลือดเต็ม ขวากแหลมอันหนึ่ง แทงทะลุหลังเท้าขึ้นมา!!!

"ออกไปให้พ้น น้อย มาดูทำไมกันนะ" เสียงพ่อตวาด

ก่อนที่น้อยจะหน้ามืดหมดสติ และแม่อุ้มออกมา เธอได้ยินเสียงเพื่อนคนหนึ่งของพี่จบพูดว่า

"แทสมุห์ (ท่านสมุห์) เราพยายามถอนมันกันในสวนนานแล้ว แต่มันไม่ออก ต้องไปตามป๊ะดออาแว มาด่วนแล้ว ท่าน เลือดออก อย่างนี้ แล้วเป็นขวากอาบพิษด้วย"

เมื่อน้อยคืนสติจากการเมาเลือดนั้น ป๊ะดออาแว และภรรยามาอยู่ที่นอกชานกลางหลังบ้านแล้ว พี่จบ นอนหายใจ ระรวยอยู่ น้อยทราบ จากพี่แมะภายหลังว่า ป๊ะดออาแวก็ตกใจเหมือนกัน แต่เขาไม่พูดอะไรเลย ตรงเข้าไปที่พี่จบ ปากเขาขมุบขมิบ ว่าอะไร อยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็ถอนเอาขวากยาวนั้นออกมา ได้อย่าง ง่ายดาย จากนั้นเพื่อนพี่จบ จึงช่วยกันล้างแผลให้ ด้วยทิงเจอร์ ไอโอดินของพ่อ พี่จบร้องลั่นบ้าน แต่พ่อ ให้พวกนั้น กดตัวไว้ แล้วป๊ะดออาแว จึงขอเชี่ยนหมากของแม่ พี่แมะว่า เขาหยิบเอาพวกหมาก พลู ขึ้นมา ทีละอย่าง ว่ามนตร์เป่าลงไป แล้วจึงเคี้ยวทุกอย่างจนแหลก ก่อนที่จะพ่นลงไปที่ฝ่าเท้า และหลังเท้าพี่จบ พี่จบไม่เห็นร้องลั่น เหมือนตอนถูกพ่อราด ด้วยทิงเจอร์ พี่แมะเล่าน้อยอย่างเลื่อมไส ในเวทมนตร์

"ทำไมเค้าถึงไม่ร้องล่ะ? เค้าไม่เจ็บเพราะมนตร์ใช่ไหม?" น้อยกระซิบถามพี่แมะ ก่อนที่จะได้ยินเสียง ป๊ะดออาแว ด่าว่าพี่จบ

"มุงมาโซะฆีบะปอแฮะห์ ยาหะซูโง๊ะ กาลูพั๊วะมุงยาหะสกาลีลาฆี อากูเตาะตูลงเดาะ บูวีมาโป๊ะ! (มึงเข้าไป ทำไมฮะ ชั่วจริง ถ้าพวกมึงทำชั่วอีกครั้ง กูจะไม่ช่วยแล้ว ปล่อยให้มึงตายโหงไป!)"

เมื่อเรื่องร้ายผ่านไปแล้ว น้อยหาโอกาสถามพ่อในสิ่งที่ยังติดใจอยู่ว่า

"พ่อคะ ทำไมพ่อถึงถอนขวากมนตร์ไม่ออก พ่อไม่มีมนตร์ใช่ไหมคะ พี่แมะว่าพี่จบเค้าร้องลั่น ตอนพ่อราด ทิงเจอร์ บนเท้าเค้า แต่เค้าไม่ร้องเลย ตอนป๊ะดออาแวพ่นหมาก ป๊ะดอเขาว่ามนตร์อะไรคะ?"

"พ่อราดทิงเจอร์เพื่อล้างเชื้อโรคต่างๆ ทิงเจอร์นั้นใครโดนก็แสบทั้งนั้น น้อยก็ร้องลั่นตอนมีดบาดมือลูก แผลพี่จบเขาลึก จนทะลุหลังเท้า เขาก็ต้องแสบมากเป็นธรรมดา พ่อถอนขวากนั้นไม่ออก เพราะอะไร พ่อก็ไม่ทราบ ลูก อาจจะเพราะพ่อกลัวพี่จบ เขาเจ็บมากก็ได้ อีกอย่าง ถอนแล้วพ่อก็ไม่ทราบว่า จะทำแผล ให้เขาอย่างไร แต่พ่อรู้ว่าทิงเจอร์ จะช่วยไม่ให้เขาเป็นบาดทะยัก ส่วนเรื่อง มนตร์ของป๊ะดอ เขาต้องเรียน ถ่ายทอดกันมานาน จะเรียนอย่างไร มนตร์เป็นอย่างไร เขาก็คงไม่บอก ให้คนอื่นรู้หรอก เอาเป็นว่า ป๊ะดอ เป็นคนดี เขาใช้ความรู้ของเขาไว้ช่วยคนอื่น ก็เป็นความดี เราอย่าไปรู้ของเขาเลย ดีไหม?" พ่ออธิบายน้อย อย่างยืดยาว และน้อยก็พยักหน้า รับอย่างเข้าใจ และเห็นด้วยกับพ่อ แม่เองก็เห็นด้วย เมื่อพ่อพูดต่อว่า "ต่อไปแว้งต้องมี โรงพยาบาล และหมอ เป็นอยู่อย่างนี้ไม่ได้แน่"

ไม่นานหลังจากนั้นพี่จบก็ตามคณะรำโทนไป เขาพอใจมากที่ได้หน้าที่สั่นลูกแซ็ก แต่พ่อว่าเขาอายคนแว้ง เรื่องที่เกิดขึ้นด้วย เพราะลือกัน ไปทั้งอำเภอเลยทีเดียว
______________________________________________________________________
หมายเหตุ เขียนเสร็จเวลา ๑๑.๑๑ น.วันที่ ๒๗ ส.ค. ๔๖ ก่อนไปประชุมเรื่องการศึกษาของ ร.ร.สัมมาสิกขาปฐมอโศก และเตรียมข้อมูล ไปเป็นวิทยากร ให้อาจารย์สมพร เทพสิทธา เรื่อง "การเสริมสร้างสถาบันพระมหากษัตริย์" พรุ่งนี้
พี่จบเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ลูกๆ ของเขาหลายคนเรียนจบมีการงานทำอย่างดี หลานชายคนหนึ่ง เป็นมัณฑนากร อยู่ในกรุงเทพฯ นี้เอง


๑. เป็นกริชแบบหนึ่ง คมมีดไม่คด มีฝักสำหรับสอด แขกผู้ชายที่แว้งทุกคนเหน็บติดตัวไว้ที่สะเอว แต่จะซุกไว้ตามกอ ต้นเหมล หรือฝากไว้ ก่อนเข้าในตัวอำเภอ เพราะมีกฎหมายไม่ให้พกอาวุธ

๒. แว้งเคยเต็มไปด้วยนกแถบศูนย์สูตร ปัจจุบันเหลือน้อย ความนิยมก็เปลี่ยนไปตามกระแสสังคม นกกรงหัวจุก หรือนกปรอดหัวโขน ที่เคยกระโดด ตามกิ่งไม้อย่างเสรีก็กลายเป็นนกมีค่าที่คลั่งไคล้กัน จนมามีชื่อภาษามลายูว่า 'มนอเบาะยาโม (นกมนอเบาะหัวจุก)' นกชนิดนี้ ก็เลยสิ้นอิสรภาพ และไปเพิ่มภาระการเลี้ยงให้แก่คน เช่นเดียวกับ นกเขา ที่ได้แต่คูรัก อยู่ในกรง กับที่เหลือเป็นมรดกยืนยาว ก็คือคำว่า 'บุหรง' ในพระราชนิพนธ์ เรื่องอิเหนาเท่านั้น

๓. ผู้เขียนไม่ยืนยันว่า นกชนิดนี้เจาะหินได้จริงหรือไม่ แต่ที่อำเภอแว้งเคยเรียกชื่อกันอย่างนั้น กับรู้กันดีว่า เป็นนก ครองคู่ ซื่อสัตย์กัน ตลอดชีวิต ภาษาทางการเรียกนกชนิดนี้ว่า 'นกเงือก' เป็นเครื่องหมายบอกความสมบูรณ์ของป่าดง พงไพร บางทีคนปักษ์ใต้เรียกว่า 'นกเงียก'

๔. 'มนอฆอ' เป็นคำกลายเสียงมาจากคำไทยว่า 'มโนห์รา' ซึ่งแถบนั้นมีการแสดงแบบเร่และใช้ทั้งภาษาไทยเวลาร้อง ภาษามลายู เวลาเจรจา ปัจจุบันนี้คงไม่มีแล้ว จะเห็นได้ว่า คนไทยปักษ์ใต้ตัดเสียง 'ม' ออกเสีย เหลือแต่ 'โนรา' ในขณะที่ ภาษาที่ทางมลายู ที่ยืมไป ยังมีคำเต็มเดิมอยู่ แต่กลายเสียง

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๘ กันยายน ๒๕๔๖)