เหนือฟ้ายังมีฟ้า
เหนืออเมริกายังมีธรรมชาติ เกิดไฟฟ้าดับครั้งใหญ่สุดที่นิวยอร์กและหลายรัฐในอเมริกา
เมื่อ ๑๔ สิงหา ที่ผ่านมา โดยไม่รู้สาเหตุ แต่ไม่เกี่ยวกับการก่อการร้าย
ผู้คนอลหม่าน ทุกอย่างหยุดกึก ไม่มีรถใต้ดิน กลับบ้าน ต้องเดินเอา...
ชีวิตที่ยังเวียนวน ยังไงก็หนีธรรมชาติไม่พ้น ถึงจะไฮเทคทุ่นแรง ทุ่นเวลา
ขนาดไหน จู่ๆ อนิจจังขึ้นมาเมื่อไหร่ ถ้าพึ่งตัวเองไม่เป็นเลย คงดูไม่จืด...
เศรษฐียังมีวันขาดไฟ โบราณว่าไว้
จึงอาจต้องขอไฟจากคนจนบ้างก็ได้
คนเกิดจากธรรมชาติ จำเป็นอยู่เองที่จะต้องเข้าใจอาศัยธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง
เพื่อพึ่งพาธรรมชาติ อย่างผสม กลมกลืนพอเหมาะ ดินน้ำลมไฟ พลังธรรมชาติที่เราได้กินใช้เปล่าๆ
เราก็ต่างเป็นหนี้สายลมแสงแดด แผ่นดิน ท้องฟ้า โดยไม่มีใครเป็นเจ้าของ
คอยคิดบัญชี ทวงต้นทุนกำไร ดอกเบี้ย หรือแม้ทวงบุญทวงคุณ ลูกหนี้ ไม่เคยลำบาก
เป็นหนี้แบบนี้ สบายดีจัง เพียงระวังอย่ากินใช้เลยเถิด จนผลาญพร่า
ทำลาย ต้นทุนธรรมชาติ ให้เสียศูนย์ดังที่เป็นอยู่
ในด้านวิถีอเมริกัน เจ้าลัทธิบริโภคนิยม
ดูยิ่งเก่งกาจก็ยิ่งฮึกเหิมทำประมาทกับธรรมชาติ แดดน้ำลมฝน ไม่สน สิ่งแวดล้อม
ทั้งพืชและสัตว์ คิดแต่จะเอาเปรียบโดยไม่ค่อยปรานีปราศัย โดยเฉพาะผู้คนหน้าโง่
ธรรมชาติย่อมมีกุศล อกุศล ตลอดทั้งเป็นกลาง
(กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา) เมื่อไม่ยอม รู้เรารู้เขา
ตั้งหน้าจะเอาเป็น เหยื่อให้หมด เพื่อบำเรอใจตัวเองเป็นใหญ่ ด้วยจิตขี้โลภขี้โกง
คนอื่นๆ ที่เขาโดน รังแกข่มเหง เขาย่อมมีจิตวิญญาณแก้แค้นเป็นเหมือนกัน
ถึงไม่ประหลาดอันใด ในเมื่ออเมริกาต้องเผชิญหน้าภัยก่อการร้าย
นับวันท่าจะหนักขึ้น ต้องหวาดผวา กับปฏิกิริยาสะท้อนกลับ ทุกๆ กิริยาย่อมก่อให้เกิดปฏิกิริยา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบาย ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แรงมาก็ยิ่งแรงไป จึงน่าสมเพชกับการสร้างศัตรู
แทนสร้างมิตร เสร็จแล้วต้องเดือดร้อนทั้งกายและใจ ไหนจะต้อง ระแวง
กังวลอยู่ไม่เป็นสุข เช่น จู่ๆ ไฟดับพรึ่บ หมดท่า ฝีมือก่อการร้ายอีกรึเปล่า..
.ประสาทกิน ซ้ำซาก ไม่ใช่เท่านี้ ต้นทุนรักษาความปลอดภัย ยิ่งต้องพุ่งขึ้นทุกวัน
เปลืองแรงงานเวลา ทรัพยากร สารพัด โดยใช่เหตุ
เมื่อไม่ยอมสำคัญในความสำคัญของจิตวิญญาณ
การแก้ไม่ถึงต้นเหตุ โดยเฉพาะธรรมชาติขี้โลภจัด ของตัวเอง อเมริกาคงจะ
งมโง่เป็นเสือลำบาก ไปอีกนาน กว่าจะรู้ซึ้งถึงโฉมหน้าผู้ก่อการร้ายใหญ่ตัวจริง
เสียงจริง...
กรณีอิรัก เป็นตัวอย่างชี้ชัด บทอวดเก่ง
บุชขอลุยขยี้เมือง ไม่ง้อยูเอ็น มาถึงวันนี้แม้ชนะเหมือนชนะแต่ชื่อ
ไม่กล้า แม้กระทั่งจะส่งทหารมะกันไปเพิ่ม ต้องร้องขอใครๆ ไปทั่วโลก
ให้มาช่วยอเมริกา ยึดครองอิรัก ไว้หน่อย เรื่องอะไร เนื้อไม่ได้กิน
หนังไม่ได้รอง ใครเขาจะเอา กระดูก มาแขวนคอทำไม พวกรู้ทัน ต่างเบี่ยงบ่าย
โบ้ยให้ยูเอ็นขอมาก่อนสิ เวรกรรมอเมริกา ก่อหนี้เอง
จะใช้หนี้บาป อย่างไรต่อไป... ในขณะที่ อุตส่าห์ลงทุน โค่นเผด็จการ
แล้วต้องมาเจอก่อการร้าย นี้คือโจทย์ใหม่ ของอเมริกา!
จากต่างประเทศ หันมาดูไทยเราเองบ้าง
อย่างปัญหาหนี้ เช่นเงินกู้ไอเอ็มเอฟ รัฐบาลประกาศปลดหนี้ สำเร็จแล้ว
(เชิญไอเอ็มเอฟเก็บกระเป๋า กลับบ้านได้) ไชโย! ช่วยกันชักธงไทย ร้องเพลงรวมเลือดเนื้อ
ชาติเชื้อไทย พร้อมๆ กับกินใช้ของไทยกันจริงๆ เศรษฐกิจเมืองไทย คงหายห่วง
อีกเยอะเลย
ด้านประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านทำเหมือนเพิ่งจะตื่นเห็นแจ้งสัจธรรม
โดยออกนโยบายแก้หนี้เกษตรกร ด้วยการ ปรับลด ปลดหนี้ มีเหตุผลอ้างว่า
๒ ปีที่ผ่านมา สำนักสถิติแห่งชาติรายงานหนี้สิน ครัวเรือน เกษตรกร
เพิ่มขึ้นเกือบ ๒๐% ข้างไทยรักไทย ก็ไม่ยอมเอามือซุกหีบ โต้ทันควัน
อย่ามองด้านเดียว ในเมื่อรายได้ เกษตรกร เพิ่มขึ้น (๘-๑๒%)
ต่างฝ่ายต่างหาเสียงเข้าตัว เพื่อประชานิยมอันกลมกลิ้งไปตามประสาทุนนิยม
โดยเฉพาะเศรษฐกิจ แบบฉบับ ที่นับถือกันทั้งโลก มันต้อง ส่งเสริม ให้กู้หนี้ลงทุน
เพื่อขยายตัวเศรษฐกิจการผลิต ให้สนองตาม ทันตัณหา บริโภคนิยม ซึ่งบานปลายไปกับอำนาจซื้อ
แล้วใครกัน ล่ะที่มีกำลังซื้อสำคัญ พวกคนมีสตางค์ น้อย หรือมีเงินหนา
นี่คือคำตอบ ทำไมยิ่งพัฒนาเศรษฐกิจก้าวหน้า ข้าวของต้องแพงขึ้นไปเรื่อยๆ
คนมีเงินถัง นั่นแหละ เป็นตัวการใหญ่ ชักใบราคาให้แพงเป็นแรงจูงใจ
ดังเช่น ของไม่น่าแพงเลย แต่มันมีค่าลมๆ
แล้งๆ เพราะคนแย่งกันอยากได้นักทำไม ถือโอกาสขึ้นราคาไปเลย แค่ป้ายรถ
เลขเด็ดเบอร์เก้า สี่ตัวเรียงแถว ซื้อได้ ๓ ล้าน โดย ร.ม.ต.อุตสาหกรรม
คนรวยจริงทำอะไร ไม่น่าเกลียด เมื่อไม่ทำให้ใครเดือดร้อน สะพัดออกมาแบบนี้เข้า
หลวงเยอะๆ บ้าง ดูดีเหมือนกัน ก็ยกไว้เถอะ
ส่วนที่เลอะเทอะ อย่างธุรกิจอาบอบนาบ
ของเสี่ยชูวิทย์ คนดังส่งส่วยตำรวจ เป็นธรรมดาของน้องนาง บ้านนา หน้าตาดี
ไม่คิดอะไรมาก เพราะอยากรวยลัด พวกเธอจึงไหลมาตามเม็ดเงินล่อใจ ให้ทิ้งนาไร่
หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน มาขายเนื้อหนังสดในห้องเย็นฉ่ำ กลายเป็นบำเรอ
เศรษฐกิจ อบายมุข ฟูเฟื่อง ในขณะที่ เศรษฐกิจ พอเพียงเลี้ยงชีพ การผลิตปัจจัยสี่ของชาวกสิกร
แข็งขลัง เป็นกระดูกสันหลัง ของชาติ กลับตกต่ำ เหงาหงอยสิ้นดี...
รัฐบาลไทยรักไทย อยากจะผลักดันให้ไทยเป็นครัวอาหารโลก
จะรู้จักมีสติคิดใหม่ทำใหม่อย่างไรบ้าง อย่าอ้าง นะว่า อู่ข้าวอู่น้ำ
ไม่เกี่ยวอะไรกับบริการสาวอ่างนางนาบ
วิสัยทัศน์รัฐบาลจะไปไกลรอบโลกถึงไหน
ไม่น่ากลัวเท่ากับหลงมอมเมาประชาชนให้จมปลักอบายมุข เดชะบุญ ที่มีความคิดริเริ่ม
ห้ามกั้นโฆษณาเหล้าบุหรี่ทางทีวีบางช่วงขึ้นบ้าง จึงหวังว่าเมื่อไหร่จะพาลดละ
เรื่องหวยห่วยๆ ลงมาบ้าง
อย่างหวยเอื้ออาทร อุตส่าห์ลงทุนเปิดตลาดหวยบนดินขึ้นมาให้ถูกกฎหมาย
เสร็จแล้วไม่รู้ว่า จะปราบ หวยเถื่อนใต้ดิน ได้ขนาดไหน ถ้าหวยบนดินไปโลด
พร้อมๆ กับหวยใต้ดิน ยังอยู่เต็มเมือง แบบนี้ คงแย่กว่าเก่า หรือปราบเมืองไทย
แต่ไปบานเมืองเขมรชายแดน
อนึ่ง ประเด็นสำคัญอันน่าคิดใหม่ให้ลึกซึ้งหน่อย
คือเรื่องที่นายกฯทักษิณคุยว่า มาซื้อหวยรัฐดีกว่า เมื่อเม็ดเงิน มาอยู่ที่กองสลาก
กำไรจะกลับคืนไปช่วยคนจนๆ ดีกว่าปล่อยให้ธุรกิจใต้ดินมีอิทธิพล หากเพ่งเฉพาะ
ตัวเงินเป็นที่ตั้ง เหมือนมีเหตุผลเป็นคุ้งเป็นแคว แต่มันบูรณาการอะไรแค่ไหนหรือเปล่า
ตามข่าว กองสลากขายหวยได้ ๑,๐๐๐
ล้าน จ่ายรางวัล ๓๐๐ ล้าน เสียค่าใช้จ่ายไป ๒๐๐ ล้าน เหลือกำไร ๕๐๐
ล้าน ซึ่งจะถึงมือคนจนอย่างไร ให้หายจนได้จริงแค่ไหนยังน่ากังขา
แต่ที่แน่ๆ แต่ละงวดสูบเลือดคนจนๆ
มา ๑,๐๐๐ ล้าน เท่ากับเพิ่มความจนสดๆ ทันที ๑,๐๐๐ ล้านเต็มๆ สำหรับ
รางวัล ๓๐๐ ล้าน ที่มีคนได้เฮไป ก็คงไม่ช่วยแก้จนจริงจังอะไร เพราะมักจะหมดไปแบบอีลุ่ยฉุยแฉก
โดยเฉพาะกลับล่อให้ติดใจยิ่งแทงหนักมือต่อไป กลายเป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป
ส่วนค่าใช้จ่าย ๒๐๐ ล้าน ถึงจะสะพัดเป็นรายได้ของคนเดินตลาด แต่มันเป็นรายได้ของแรงงาน
ที่ไม่สร้างสรร ผลผลิตดีๆ กลายเป็น แรงงานพวกมลพิษมิจฉาชีพที่ผลาญพร่า
กินข้าวเสียเปล่า สู้จ้างไปกวาดขี้หมา ยังจะเป็นงาน จำเป็น เห็นคุณค่า
น่านับถือกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า
ดังนั้น รัฐบาลตั้งหน้าแก้จน จะเพิ่มรายได้ต่อหัวให้หายจนอย่างนั้นอย่างนี้
แล้วไม่สนรายจ่าย ที่ละลาย ไปกับหวยๆ อบายมุข แบบนี้เมื่อไหร่คนไทยจะหายจนสักทีได้ล่ะ...
รวมความตามนโยบายไทยรักไทย ไม่กลัวให้คนเป็นหนี้
กล้าสร้างหนี้ถือเป็นการให้โอกาส ส่วนคนเป็นหนี้ จะดีเลวฉลาดน้อยมากแค่ไหน
ได้เงินกู้หนี้ไปแล้วกินใช้อย่างไร เอาไปทำทุนก่อเกิดรายได้เพิ่มพูนหรือเปล่า
อะไรเหล่านี้ ล้วนน่าห่วงทั้งสิ้น เพราะเป็นเหตุแห่งทุกข์ ดังพุทธภาษิตว่า
อิณา ทานํ ทุกขํ โลเก ความเป็นหนี้ เป็นทุกข์ในโลก
โดยเฉพาะ ยิ่งในระบบทุนนิยม การกู้หนี้ยืมสิน
มักจะต้องมีดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์แลกเปลี่ยน เงื่อนผูกมัด เหล่านี้
เสี่ยงภัยทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้
ธรรมดาคนเรา หากเรากินใช้เท่าที่เราพึงมี
พึงได้ มักน้อยสันโดษ รู้จักพอแม้น้อย มีมากก็ใช้น้อย มีน้อยก็ใช้หน่อยเดียว
ไม่ใช้เกินตัวประมาณ นี้ คงไม่ยุ่ง การกินใช้เกินจากสิ่งที่เราพึงมีพึงได้
จึงไม่น่า จะเกิดขึ้นง่ายๆ ถ้าจะมี ควรจัดเป็นวาระพิเศษ เช่น ยกเว้นเจ็บไข้จะเป็นจะตาย
มักจะต้องจำนน ในระดับหนึ่ง เหมือนกัน
สมัยนี้ เครดิตเป็นยอดนิยม กลายเป็นทางหากินของธุรกิจทุนนิยม
ผู้คนเต็มใจเป็นเหยื่ออีกต่างหาก เมืองไทย เคยหลงใหลกับเงินนอก ดอกเบี้ยถูก
กู้มาปล่อยโกงกินกันสนุก จนเกิดบทเรียนฟองสบู่แตก จะเข็ดหลาบแค่ไหน
ยังไม่รู้เลย
ในขณะที่ธุรกิจทุนนิยม อาศัยเครดิตและกำไรดอกเบี้ยเป็นอาวุธสำคัญในการเอาเปรียบขูดรีด
สร้างฐาน ขยายอำนาจทุน ให้เติบโตมหาศาล เงินต่อเงิน นับเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหลือเกิน
เพราะฉะนั้น ผู้รู้เท่าทัน หันมาใช้เงินสดย้อนยุค
เป็นเครดิตเหนือเครดิต เท่ากับปิดประตูพิษภัยของเครดิต นานาประการ
การใช้เงินสด ช่วยลดต้นทุน ทั้งซื้อและขาย ง่ายในการควบคุมบริหาร ประมาณการ
ไม่ประมาท ยิ่งทางล้มละลาย ไม่มีวันจะเกิดหนี้สินล้นพ้นตัว ต่อให้เคราะห์ร้ายอย่างมากสุด
คงแค่หมดตัว เท่านั้นเอง ต่างกันลิบลับกับเครดิต ซึ่งพาล่มจมได้เกินคิด
กิจการที่ตั้งมาร้อยปี อาจล้มครืน ภายในคืนเดียว ด้วยฝีมือ การแขวนธุรกิจไว้กับหนี้
ที่อาจบานปลายไร้ขีดจำกัด เพราะผิดพลาดหรือเกินควบคุม
นับว่าเป็นเรื่องชวนพิศวง เหตุใดระบบบุญนิยมจึงสวนทางกับทุนนิยมเต็มตัวในประเด็นเงินสด
กับเครดิต
อย่างไรก็ตาม ในสังคมชุมชนที่ไม่ได้อยู่กันอย่างแปลกแยก
ไม่ได้แย่งกันหากินหาอยู่ ไม่ต้องดูดเลือดกิน เถือหนัง เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
คนจำเป็นต้องอยู่กันอย่างอุ้มชู เอื้ออาทร แบ่งปัน ยิ่งให้ยิ่งสัมพันธ์
โดยไม่ต้อง ผูกพัน ยึดมั่นถือเหนียวจนเกินไป
นอกจากปัจจัยสี่แล้ว ปฏิเสธไม่ได้ที่ต้องมีปัจจัยห้าคือเงิน
ปัจจัยสี่เรารู้จักแบ่งกันกินใช้มานานแล้ว แม้กระทั่ง เงินทองของนอกกาย
เมื่อไม่ถือเป็นของบาดใจ บุญนิยมก็จัดแบ่งปันเงินให้เป็นทุนสาธารณโภคี
เพื่อใช้สอย ร่วมกันได้อีกเหมือนกัน แต่ละคนจึงไม่จำเป็น ต้องสะสมเพื่อส่วนตัว
เพราะกลัวอะไรๆ จนเกินการ
ดังนั้น การกู้ยืมเงินในสูตรสาธารณโภคี
แทนที่จะเรียกว่าเงินกู้ ก็ถือว่าเป็นเงินเกื้อและทุนนิยมทั่วไป เรียกเงิน
กู้ยืม ว่าเป็นเงินหนี้ บุญนิยมพูดใหม่ว่า เป็นเงินหนุน อะไรทำนองนี้
เป็นต้น
สรุปแล้ว การเป็นหนี้ที่เป็นบาปวิบากกรรมอกุศล
ย่อมส่งผลให้เดือดเนื้อร้อนใจในภายหลัง ตลอดทั้งหนี้กู้ยืม มีดอกเบี้ย
นับเป็นภาระเสี่ยงภัย กับความไม่แน่นอน ในการหามาจ่ายคืน การเอารายได้ในอนาคต
มาใช้ ในปัจจุบัน มักจะเกิดปัญหามากมายตามมา การกู้หนี้หรือให้เขาเป็น
หนี้เงินกู้ หาเรื่องทุกข์ทั้งนั้น หากจำเป็น ต้องจำกัดเงินน้อยๆ ไว้เป็นดี
เผื่อไม่เจ็บตัวมากหรือทำใจได้ง่ายหน่อย
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๕๘ กันยายน ๒๕๔๖)