>เราคิดอะไร


- สมพงษ์ ฟังเจริญจิตต์ -

มาร้ายกับแม่ ปีละ ๑ วัน กันเถอะ!
แม่ไม่ใช่หมาแมว ที่แค่คลุกข้าว ก็เป็นความดีเหลือแหล่
แม่เป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ
ไม่ต้องรักแม่มาก แต่รักแม่เหมือนเดิม ก็พอแล้ว

เมืองไทยตั้งวันอะไรเป็นวันสำคัญ ก็มักจะหมายถึงความขาดแคลนเสียทุกที วันครอบครัว วันสิ่งแวดล้อม วันไม่สูบบุหรี่ ฯลฯ

ก็เลยอยากฝันวันแม่ ประกาศให้ประชาชนมาร้ายกับแม่ปีละครั้งเสียบ้าง หมั่นไส้นัก ดีกับแม่อยู่ได้!

ขอพี่น้องประชาชน มาเย็นชาไม่อาทรสัก ๑ วันกันเถอะ พวกเราทำดีกับแม่มามาก วันนี้ขอให้ลองร้าย กับแม่....

แล้ววันนั้นทุกคนก็จะมีบทบาทสมมติร้ายกับแม่เหมือนวันฮาโลวีนที่ต่างก็จะใส่ชุดผีออกโชว์กัน

สักวัน ฝันอาจเป็นจริง ขอสะเออะฝันจะได้ไหม?

เพราะความเป็นแม่ เป็นเรื่องใหญ่โต โอ้โฮเหลือเชื่อเกินกว่าจะพรรณนา บุญคุณมากล้นยิ่งกว่าแผ่นฟ้า มหาสมุทร

รักแม่วันละ "ช้อนชา" จึงไม่พอ

ส่งเงินส่งข้าวของ ดูแลอิ่มปากอิ่มท้อง ก็อย่าหลงระเริง ฉันทำหน้าที่สมบูรณ์แล้ว โล่งอก...ก็ยังไม่พอ

กระเพาะแม่ใหญ่โตกว่านั้น!

Please sir I want some more (ใครจำหนังโอลิเวอร์ ทวิสต์ได้ ตอนขออาหารจากผู้คุม)

คางคกยางหัวไม่ตก ก็ยังไม่รู้สึก หลายๆ คนพอเป็นพ่อคนแม่คนก็เริ่มสำนึก "รักลูก" มากมายมหาศาล ขนาดนี้ นี่เอง

พระเจ้าอชาตศัตรู ขณะก้มลงดูดหนองให้ลูก พลันสว่างวาบคิดถึงพระราชบิดาพระเจ้าพิมพิสาร ที่ตัวเอง กักขังอยู่ แต่ก็สายเกินไป

ฆ่าพ่อแม่เป็นอนันตริยกรรม ทำบุญแค่ไหนก็ปิดกั้นบรรลุธรรมแม้พระโสดาบัน... เพราะมีรอยมลทิน

เขาจะให้เกิดหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องของลูก แต่ถ้าเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ต้องรู้ว่า การบำเพ็ญบารมี แห่งความดีมีแต่ "ภพมนุษย์" เท่านั้น ที่มีสิทธิ์

ทำไมพระโพธิสัตว์ก่อนจุติจึงสถิต ณ ชั้นพรหมดุสิต ที่นั่นไม่มีการเคลื่อนไหว อยู่นิ่งๆ

เมื่อถึงเวลา สร้างกรรมดี ท่านก็ต้องลงมา โลกมนุษย์ทุกพระองค์ เพราะเป็นละครโรงเดียว ที่จะบำเพ็ญ บารมี

เพราะฉะนั้น จึงอย่าบ่นเลยว่า พ่อแม่ไม่รักผม แม้แต่พัดลมก็ยังส่ายหน้า

เพราะเป็นเรื่องของท่าน แต่เรื่องของเรา จะเอาสัญญาต่างตอบแทนแบบแบกะดินมาวัดไม่ได้หรอก

เมื่อลูกโต พ่อแม่ก็เริ่มเล็ก ลูกยิ่งเป็นเสือ พ่อแม่ก็ยังเป็นสมัน

ลูกบางคน ส่งเงินให้ใช้ก็เริ่มเขื่องใหญ่โต ยโส อวดดี ทำอะไรใช้อำนาจบาตรใหญ่ ทำอะไรไม่เกรงใจ

ลูกบางตัวเอ๊ยบางคน เรียนสูงเริ่มคุยกับแม่แบบมีเลศเล่ห์ สนุกกับการใช้วาทศิลป์ ปั่นหัวบุพการีให้หลง สู้ไม่ได้

เข้าทำนอง ลูกฉลาดแต่อุบาทว์ยิ่งนัก!

ลูกบางคนเริ่มปากหมา เอะอะก็กรรโชกโฮกฮากอารมย์เสียง่าย เมื่อพูดกับพ่อแม่ พูดกับเพื่อนกับเมีย กับผัว ดีกว่า เป็นไหนๆ

"เกิดชาติหน้าเป็นเพื่อนมันยังดีกว่าเลย พูดจาเกรงอกเกรงใจ มีหัวเราะ มียักคิ้ว หลิ่วตา ล้อเล่น

แต่เวลาพูดกับกู เหมือนตำรวจจราจรจับสามล้อเหมือนเทศกิจขู่แม่ค้า"

ลูกบางคนปากพิกุล วันๆ พูดกับพ่อแม่ไม่กี่คำ ไม่รู้จะพูดอะไร แต่พออยู่วงเหล้า มันกลับพูดเป็นต่อยหอย

หาเรื่องพูดซิวะ!

คิดถึงตอนจีบใครสักคนก็ได้ ทำไมรู้จักหาเรื่องพูดกับเขาได้

มาเพ้อเจ้อกับพ่อแม่เราดีกว่า

ลูกบางคน ปฏิบัติกับแม่เหมือน "คนจัณฑาล" ไม่ยอมถูกเนื้อต้องตัว จะกอดจะสัมผัสแม่สักนิดก็ไม่เคย

ลูกบางคน ปฏิบัติต่อพ่อแม่เหมือน "นักโทษ" มาเยี่ยมเดือนละครั้ง ปีละครั้ง

"หนูไม่มีเวลา ผมงานเยอะ..."

ไม่มีเวลาหรือเขาไม่มีค่าพอให้เสียเวลา? ลองให้มารับมรดก ขี้คร้านจะวิ่งมาพบเช้าพบเย็น

อยากให้แม่อายุยืน อีกหน่อยคงต้องทำเป็นคู่มือบอกเล่าเก้าสิบ ข้อ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ เป็นแน่แท้

เพราะแม่ไม่ใช่หมาแมวที่แค่คลุกข้าวก็เป็นความดีเหลือแหล่

แม่เป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ

ไม่ต้องรักแม่มาก แต่รักแม่เหมือนเดิมก็พอแล้ว รักแบบตอนที่พวกเอ็ง ยังเป็นวัยรุ่นน่ะ

อยากให้แม่อายุยืน สุขภาพจิตต้องดีด้วย

ถ้าเราอาทร เราให้ความรัก เอาใจใส่ แบ่งโควต้าเวลาแห่งชีวิตให้ท่าน

คนที่จริงใจกับเรามากที่สุดในจักรวาล ถ้ายังไม่เห็นคุณค่า ยังละเลย ไม่สนใจ ไม่ตอบแทน

ก็อย่าได้หวังความเจริญเลยในชาตินี้

คุยกับท่าน เยี่ยมให้บ่อย บีบนวด หยอกล้อ เล่นกันบ้าง

รักน้อยๆ แต่ให้บ่อยๆ ย่อมดีกว่า รักมากๆ ให้เป็นกาละมัง แต่ให้นานๆ ครั้ง

ลูกจ๋า วันไหนลูกมา จะมีเสียงร้องทักดังสดใส "เวลคัมๆๆ" อึงอลไปทั่ว

แต่วันใด ที่ลูกไม่มา เหล่าเทพยดาอารักษ์ที่ดูแลบ้านเรา ก็จะงึมงำคร่ำครวญ

"เวรกรรมๆๆๆๆ!" วันแล้ววันเล่า

ทนฟังได้ก็ให้รู้กันไป

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๘ กันยายน ๒๕๔๖)