>เราคิดอะไร

กติกาเมือง
- ประคอง เตกฉัตร - ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช

ขบวนการยุติธรรม กับวัฒนธรรม เซ่นสรวง

รื่องของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ที่ออกมาถล่มสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสถานีตำรวจ ในพื้นที่ทั้งสามแห่ง ขณะนี้ กำลังเป็นข่าวครึกโครม และแม้ต่อ มานายชูวิทย์ จะถูกดำเนินคดีในข้อหาแจ้งความเท็จ และคดีเดิม ในข้อหา พรากผู้เยาว์ เพื่อการอนาจาร แต่น้ำหนักที่นายชูวิทย์ พูดก็ยังทำให้สังคม รอบข้างนายชูวิทย์และ ประชาชนทั่วไป ต้องกลับมาคิดว่า สิ่งที่นายชูวิทย์พูด นั้นมีส่วนจริง หรือส่วน เท็จมากน้อยเพียงใด

ผู้เขียนไม่อาจจะก้าวล่วงไปวินิจฉัยส่วนนี้ได้เพราะไม่มีพยานหลักฐานใด แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นสภาวะของ สังคมไทย ส่วนใหญ่ที่ฟัง ข่าว นายชูวิทย์แล้ว เห็นว่าสิ่งที่นายชูวิทย์พูดน่าจะมีส่วนจริงอยู่บ้าง แม้บางครั้ง จะดูว่าออกไป ในทาง เกินธรรมดา แต่สังคม ยังให้น้ำหนัก

นอกจากวงการตำรวจแล้ว สิ่งที่นายชูวิทย์ได้เปิดเผยมานั้นแม้แต่ในวงการราชทัณฑ์ก็ยังมีสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล และ หาผลประโยชน์ จากผู้เกี่ยวข้อง ขณะนี้กระทรวงยุติธรรมได้ทำการสอบสวนและได้จัดแถลงข่าวว่า เรื่องดังกล่าวนี้ มีมูล ส่วนจะมาก น้อยเพียงใด หรือไม่ ผู้เขียนก็ไม่ทราบอีกเช่นกัน

นอกจากเรื่องของนายชูวิทย์แล้ว ก่อนนี้ประมาณ ๒-๓ เดือน มีสถาบันตรวจสอบความคิดเห็นของประชาชน สถาบันหนึ่ง ได้ทำโพล เพื่อตรวจสอบความคิดเห็นของประชาชน ถึงหน่วยงานต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรม และ ผลสรุป ออกมา ประกาศ ผ่านสื่อมวลชน ไม่ว่าวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์รายวัน ฯลฯ ว่าศาลเป็น หน่วยงานหนึ่ง ที่จำต้องใช้เงิน ในการดำเนินการ นอกจากที่ กฎหมายกำหนด แม้ต่อมาจะมีการชี้แจงของสำนักที่จัดทำโพลว่า คำถาม ผิดพลาด และผู้ที่ตอบ นั้นไม่เข้าใจคำถามที่ดีพอ และมีหนังสือถึง ผู้พิพากษา ทุกคนกล่าวขอโทษ ทั้งกล่าว อ้างว่า คำว่าศาล ของผู้ตอบแบบสอบถาม หมายถึงขบวนการยุติธรรมทั้งหมด และมีสถาบัน พระปกเกล้า ออกมา ทำโพล ก่อนนั้น เช่นเดียวกัน และแถลงข่าวว่า สถาบันศาลเป็นสถาบัน ที่มีการคอร์รัปชั่นทุจริต น้อยที่สุด

กระบวนการยุติธรรมประกอบด้วย ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ สำนักงานบังคับคดี สำนักงานคุมประพฤติ และ หน่วยงาน ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อ งอีกหลายหน่วยงาน จำต้องสำเหนียกไว้ว่าปัจจุบันนี้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ นั้น รวดเร็ว และ สามารถ จะเขย่าสถาบันต่างๆ ได้ และทุกสถาบันหรือทุกองค์กร ก็จะต้องดำเนินการจัดกรอบ กำหนดบุคลากร ของตนเอง ให้อยู่ในประมวลจริยธรรม ที่เหมาะสมที่สังคม ยอมรับได้เพื่อปฏิบัติ ไปสู่ความมุ่งหมาย ตามหน้าที่ ตามกฎหมาย

การที่สังคมไทยตกอยู่ภายใต้วัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้การแก้ปัญหาสังคมและการพัฒนาคุณภาพของค น เกิดความสำเร็จ ได้ยากนั้น คือวัฒนธรรมเซ่นสรวงหรือเส้นสาย วัฒนธรรมเซ่นสรวงหรือเส้นสายนั้นเป็น วัฒนธรรม ที่ก่อเกิด มาจากการเชื่อ ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถดลบันดาลให้ตนเอง หรือคณะของตนเอง สามารถประสบ ผลสำเร็จได้ ระบบเส้นสาย เป็นการหวัง พึ่งอำนาจ ของบุคคลอื่นที่สามารถอำนวยประโยชน์แก่ตน หรือคณะของตน เป็นการ หล่อหลอมจิต ใจหวังพึ่งอำนาจนิยม หรืออำนาจเร้นลับ ที่ตนเองสามารถเห็นและรู้ได้หรือไม่สามารถเห็น และ รู้ได้

การเซ่นสรวงด้วยเครื่องเซ่นหรือสิ่งของต่างๆ ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดลบันดาลให้ตนเอง และ คณะประสบ ความสำเร็จ ที่เรียกว่าเซ่นสรวงจึงพัฒนาขึ้นเป็นเส้นสาย เปลี่ยนจากการให้เครื่องเซ่นไหว้ หรืออาหาร การกิน มาเป็นเงินทอง ผลประโยชน์แก่บุคคลที่มีอำนาจ จะอำนวย ผลประโยชน์ แก่ตนเอง บางที อาจกระทำกัน ทั้งสองฝ่าย คือทั้งเซ่นสรวงและเส้นสาย

การสอบเข้าโรงเรียน การเข้าทำงาน การเลื่อนตำแหน่งงาน ถ้ามีการเซ่นสรวงหรือเส้นสายก็จะเป็นการสะดวก แม้แต่ การทำธุรกิจ บางประเภท ก็จะต้องมีการเซ่นสรวงหรือเส้นสาย ไม่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือข้าราชการ ที่มีอำนาจ ในการ ดลบันดาล ให้กิจการนั้น รุ่งเรืองหรือทรุดโทรมลงได้

การเกิดประเพณีฝากเด็กเข้าโรงเรียนแล้วรับเงินใต้โต๊ะเป็นสิ่งที่คู่สังคมไทยมาเป็นเวลานาน ทุกฤดูกาลเข้าโรงเรียน ก็จะมีข่าว ดังกล่าว นี้ทำให้มีการสอบครูและผู้บริหารโรงเรียนตลอดจนสมาคมนักเรียนเก่า ศิษย์เก่า หรือ สมาคม ผู้ปกครอง กันอยู่เป็นประจำ

การให้สินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบุคคลผู้มีอำนาจมีมานานแล้วและพัฒนาเรื่อยมา การส่งส่วยอาจเป็นรูปแบบ ของการ ให้สินบน ที่เป็นระบบ มากที่สุด ทำให้การประกอบกิจการที่ผิดกฎหมาย หรือที่หมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย หรือ กิจการ ที่เรียกว่า ใต้ดินนั้น สร้างรายได้ เป็นกอบเป็นกำ ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งเป็นช่องทางหาเงิน ที่จะทำให้รวยได้ อย่างรวดเร็ว ในระยะ เวลาอันสั้น และเป็นช่องทาง สร้างผู้มีอิทธิพล ในวงการต่างๆ ขึ้นจำนวนมาก

ค่านิยมในการเล่นหวยก็ดี ค่านิยมในการรวยทางลัดแบบอื่นๆ ก็ดี ล้วนฝากความหวังไว้กับไสยศาสตร์หรือ การดลบันดาล ของผู้ที่อำนาจ เหนือกว่า ไม่ว่าการใบ้หวย การเข้าทรง การขอเลขเด็ด ซึ่งก่อให้เกิด การหลอกลวง ฉ้อโกง ไม่มีที่สิ้นสุด

วัฒนธรรมเซ่นสรวง เส้นสาย ส่งส่วยและชอบรวยทางลัดดังกล่าวนี้เป็นวัฒนธรรมที่ก่อขึ้นในจิตใจที่พึ่งพาอำนาจ เหนือตน ปัญหาคือว่า องค์กรหรือหน่วยงานใดที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาส่วนนี้ เพราะจิตใจที่คอยผลของการ ดลบันดาล หรือ การรอคอย ความช่วยเหลือ จากคนอื่น ที่ขึ้นต่ออำนาจภายนอกทำให้มอง ข้ามศักยภาพ ของตนเอง ขาดการ เคารพตนเอง ขาดการเชื่อมั่นตนเอง และทำให้ตนเองไม่กระตือรือร้น ไม่พยายาม ที่จะมุ่งไปสู่ความสำเร็จ ความมุ่งหมาย มุ่งมั่นลดน้อยลง การท้อแท้ ท้อถอย ปล่อยตาม ยถากรรม จึงเกิดขึ้น ทำให้วิถีชีวิต ของคนไทย สังคมไทย เป็นไปตาม ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ เพราะจิตวิญญาณ หรือสภาพของจิตใจ ขาดความ เชื่อมั่นใน ตนเอง ไม่กล้าเผชิญ กับความ ไม่แน่นอน ความไม่มั่นคง หรือความเสี่ยงต่างๆ โดยยกให้ผู้มีบุญญาบารมีเป็นผู้นำ หรือ ประเภท พระเอก ขี่ม้าขาว มาคอย แก้ปัญหาตลอดไป

ขบวนการยุติธรรมที่ประกอบด้วยองค์กรต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ต้องสร้างบุคลากรของตนเองให้เข้มแข็ง และ เข้าใจ สภาพดังกล่าว ของวัฒนธรรมเซ่นสรวงส่งส่วยรวยทางลัดที่เกิดขึ้น และรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ ก็จะต้อง ให้บุคคล ในขบวนการยุติธรรม ดังกล่าวนี้ยืนหยัดอยู่ในสังคมได้อย่างสง่าผ่าเผย ไม่เดือดร้อน และอยู่อย่าง มีเกียรติ การเผชิญกับ ความไม่แน่นอน ความไม่มั่นคง หรือความเสี่ยงเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตมนุษย์ เพราะอยู่ในโลก ที่ไม่แน่นอน ไม่มั่นคง และ มีปัจจัยอื่นๆ อีกหลาย ปัจจัย ที่แปรเปลี่ยน อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เรา ต้องจัดการ กับความ ไม่แน่นอน ความไม่มั่นคง ความเสี่ยงด้วยวิธีการ ที่มีเหตุ มีผล โดยเฉพาะหลักการในพระพุทธศาสนา

สำนักต่างๆ อ้างว่าเป็นสำนักทางพุทธศาสนาหรือแม้แต่คณะสงฆ์เองที่อ้างว่าเป็นคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ก็ต้องตระหนัก ถึงภาวะของสังคมไทยในส่วนนี้ ต้องมีความมุ่งหมายที่จะแก้ไข และมีมาตรการที่เป็นรูปธรรม ที่สามารถ ศึกษาปฏิบัติได้ รวมทั้งมีมาตรการในการวัด ผลทดสอบ ในการยก ระดับจิตใจ ของสังคมไทย ให้ห่างไกล สิ่งดังกล่าวนี้ ตราบใด ที่บุคคลที่ยังไปวัด แต่ยังเลื่อมใสศรัทธา วัฒนธรรมดังกล่าว หรือยังประพฤติเห็นความชอบ ในการปฏิบัติ ตามวัฒนธรรมดังกล่าว โดยคณะสงฆ์ หรือสำนักทาง พระพุทธศาสนา ต่างๆ ไม่สามารถแก้ไขเยียวยา บุคคล แวดล้อม ตนเองได้ แถมยังส่งเสริม ช่วยเหลือสนับสนุนอีก นับว่าเป็นทางหายนะ โดยแท้

วัฒนธรรมดังกล่าวจะกลายเป็นวิถีชีวิตของสังคมไทยมากขึ้นๆ มากขึ้นจนเราไม่สามารถจะแก้ไขได้ ในอนาคต เป็นแน่แท้ ถ้าองค์กร ทางศาสน าโดยเฉพาะทางพุทธศาสนา ไม่ร่วมกันแก้ไข ขบวนการทางยุติธรรม ซึ่งต้องการ ความเชื่อมั่น จากประชาชนจำนวนมาก ก็จะขาดความเชื่อถือ เมื่อขาดความเชื่อถือประชาชน ก็ไม่นิยม ใช้หลักการ หรือวิธีการตามที่ กระบวนการยุติธรรม กำหนดไว้ ก็จะไปขจัด ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง เช่น การติดตาม เร่งรัด หนี้สินโดย วิธีที่ผิด กฎหมาย การมุ่งหมายล้างแค้น ทำลายล้างตอบ แทนซึ่งกันและกันโดยไม่พึ่งพา องค์กร ของรัฐ การตั้งศาลเตี้ยขึ้น ชำระคดีกันเอง โดยไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ของบ้านเ มืองเข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็น การเพิ่ม อุปสรรค หรือวัฒนธรรม ที่อ่อนแอ ทางจิตใจ ไร้เหตุผลเพิ่มเติมเข้าไปอีก นับเป็นปัญหา อุปสรรค ที่ยากยิ่งขึ้น การเปลี่ยน สังคมในระดับเนื้อหา จะเป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อ เราสามารถเปลี่ยนวัฒนธรรม ดังกล่าวนี้ ให้เป็นที่รังเกียจ ในสังคมไทย และใน ขบวนการ ยุติธรรม การเปลี่ยนวัฒนธรรมที่สร้างสภาพจิตใจ แบบพึ่งพา อำนาจเหนือตน ซึ่งเป็นฐาน ของวัฒนธรรมอำนาจ นิยมอุปถัมภ์เป็น วัฒนธรรม ที่สร้างจิตใจ แบบพึ่งตนเอง เคารพตนเอง เชื่อมั่น ในความมุ่งมั่นพยายาม ความวิริยะ อุตสาหะ ความซื่อสัตย์สุจริต พึ่งตนเอง เผชิญกับ ความไม่แน่นอน ความเสี่ยง อย่างมีเหตุผล ทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย ข้อมูลความรู้ และวิธีการที่สามารถ พิสูจน์ได้และ จัดระบบ หมวดหมู่ ได้อย่างถูกต้อง รู้จักประมวล ปัญหา ต่างๆ เข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ และแก้ไข ด้วยปัญญา ของตนเอง มุ่งมั่น รักความยุติธรรม และตระหนักในพลัง ของส่วน ที่เป็นวัฒนธรรม ที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ เราทุกคนจะต้อง พยายามก่อ ให้เกิดขึ้น ในสังคมไทยให้จงได้ มิฉะนั้นแล้ว ขบวนการ ยุติธรรม จะต้อง ล่มสลายลงไป ในเวลาอันไม่ช้านี้ และ ถ้าแต่ละองค์กร สามารถสร้างค่านิยม ที่ถูกต้องได้ ก็นับว่า เป็นบุญของ ประชาชนตา ดำๆ ที่ขาดที่พึ่งได้

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๘ กันยายน ๒๕๔๖)