>เราคิดอะไร

ข้าพเจ้าคดอะไร? - สมณะโพธิรักษ์ -
กำไร ขาดทุนแท้ ของอาริยชน
(ฉบับที่ ๑๕๙)

(ต่อจากฉบับที่ ๑๕๗)

เราได้ขยายความจากพระพุทธพจน์ ที่ตรัสว่า สตรีต้องปิดๆบังๆไว้ จึงจะงาม เปิดเผยไม่งาม แล้วก็แถม อธิบายมาจนถึงความเป็น "กาม" เป็น"ศิลปะ" หากจะว่ากันยืดเยื้อไปอีกก็ยังได้ แต่ก็คงจะต้องพอ แค่นี้ก่อน

ดังนั้น พฤติกรรมใดของคนที่เป็นเหตุก่อให้เกิด"อกุศลจิต" เกิด"กาม" ก็ดี เกิด"พยาบาท"ก็ดี เป็นต้น นั่นย่อมสร้างให้ กิเลสเกิด-กิเลสเพิ่มโต ไม่ใช่กิเลสตาย จึงไม่เข้าข่าย"บุญนิยม" แต่จะเป็น"บาปนิยม"ยิ่งๆ ขึ้น
ข้อ ๑. มาตุคาม(สตรี) ปิดบังไว้ จึงเจริญงดงาม เปิดเผย ไม่เจริญงดงาม เราก็ได้พูดไปแล้ว ทีนี้ก็...

ข้อ ๒. มนต์ของพราหมณ์ ปิดบังไว้ จึงรุ่งเรือง เปิดเผยไม่รุ่งเรือง

มนต์ (มันตา) หมายถึง คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพราหมณ์ คำสอนของศาสนา คัมภีร์พระเวท หรือศาสตร์ลี้ลับ คาถา คำพูดของเทวะ ที่มีอำนาจ วิทยาคม เป็นต้น ซึ่งตามคติของพราหมณ์ ถือว่า เป็นของสำคัญหวงแหน ที่ต้องปกปิด ไม่เปิดเผยให้ใครๆรู้ได้ง่ายๆ ยิ่งเป็นคำสอนสำคัญ ก็ยิ่งปิดบังยิ่งๆขึ้น แล้วถือว่า ยิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งขลัง ดีงาม เขากระทำกันดังนี้ ถือว่า เป็นความเจริญรุ่งเรือง
ความเชื่อเช่นนี้ แม้ในประชาชนคนไทยนี่แหละก็มีมากมายเกลื่อนกล่น ทั้งๆที่ผู้เชื่อเช่นนี้มั่นใจในตนเองว่า ตนเป็นชาวพุทธ ๑๐๐ % ด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ความเป็นไปของจิต(คติ) หรือมโนทัศน์(concep- tion)ของชาวพุทธได้ผิดได้เพี้ยนไปสู่"เทวนิยม"กันแล้ว

หากชาวพุทธมีความเชื่อ(faith,confidence)กันเช่นนี้ นั่นก็คือ "จิตใจหรือภาวะทางจิต"(มนตา) ของชาวพุทธ
แสวงบุญออกนอกขอบเขตพุทธไปสู่คติของ"เทวนิยม"แล้ว เช่น ประดาชาวพุทธที่เชื่อไสยศาสตร์ เดรัจฉานวิชา ก็มีกันเป็นกันอยู่ เห็นๆอยู่เต็มวงการศาสนาพุทธ

นี่คือ ลักษณะแท้ของ"เทวนิยม" ที่เป็นเรื่องลึกถึงขั้นลับทีเดียวในทางจิตวิทยา(psychology) ซึ่งเป็น
พฤติในจิตลึกๆ ของคนที่ยึดติดแบบ"สัสสตทิฏฐิ" มี"อัตตกาม" คือ คนที่มี "ความรักยึดใคร่อยู่ในตัวตน" หรือคนที่มี "อัตตทิฏฐิ" ได้แก่ คนที่มี"ความถือตัวเป็นใหญ่" ลักษณะนี้แหละคือ"อัตตวาทุปาทาน" ซึ่งหมายถึง คนที่ไม่รู้จัก "ตัวตน" (อัตตา หรืออาตมัน หรือปรมาตมัน) ด้วย "วิชชา ๙" กิเลสจึงเกิดซับซ้อนลึกลับลงไป ในจิตยิ่งๆขึ้น

[มีต่อฉบับหน้า]


(ต่อจากฉบับที่ ๑๕๘)

เพราะคนที่มี"อัตตวาทุปาทาน"นั้น จะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง"อัตตาหรืออาตมัน"โดยเฉพาะ"ปรมาตมัน" หรือ "พระเจ้า" ชนิดสัมผัส "ของจริง" (ภาวสัจจะ) ก็ได้แต่เพียงพูดๆ กันไปเท่านั้นว่า "อัตตา (อาตมัน) หรือพระเจ้า" เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อยู่ที่นั่นที่นี่ แต่ที่แท้ยังพิสูจน์ไม่ได้ถึงขั้น มีทฤษฎีสัมบูรณ์จริง เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ทิฏฐิหรือ ทฤษฎีเช่นนี้ จึงได้ชื่อว่า "ความยึดมั่นได้แค่คำพูดว่าเป็นอัตตา" ซึ่งภาษาบาลีว่า "อัตตวาทุปาทาน" เพราะยังไม่มี ญาณหยั่งรู้ (วิชชา ๙) ในความเป็น "ปรมัตถสัจจะ" สำเร็จแท้

ผู้ที่ยังหลงยึดมั่นในตัวตนหนักไปข้าง"เทวนิยม"นั้น ได้แก่ ผู้มีความเห็นเชื่อมั่นไปข้างที่ว่า มีพลังศักดิ์สิทธิ์บ้าง พลังวิเศษบ้าง ช่วยบันดาลได้ (อิสสรนิมมาน) หรือมีอำนาจยิ่งใหญ่เที่ยงแท้นิรันดร (สัสสตทิฏฐิ) ซึ่งก็คือ ทิฏฐิที่นับถือ "พระเจ้า" ทั้งหลายนั่นเอง ชาวเทวนิยมใดๆ ก็จะไม่มีใครได้แตะต้อง สัมผัสความเป็นจริงนั้นอย่าง "ปรมัตถสัจจะ" (ความจริงที่จริงสูงสุดถึงความเป็นจิต..เจตสิก..รูป..นิพพาน) หรือจะไม่มีใครได้แตะต้องสัมผัส ความเป็น "พระเจ้า" แท้ๆจริงๆ ชนิดที่พิสูจน์ได้เป็นวิทยาศาสตร์ ทางจิตกันเลย เทวนิยม จะได้แต่เชื่อมั่นว่า "พระเจ้าหรือปรมาตมัน" (อัตตาของพระเจ้า) นั้น เป็นสิ่งสูงสุด ที่ไม่มีสิทธิ์อาจเอื้อมสัมผัสแตะต้องได้เป็นอันขาด แม้ "พระบรมศาสดา" ก็ไม่ใช่"คน" แต่เป็น "ส่วนหนึ่ง" ของพระเจ้าที่อวตารลงมาในโลกมนุษย์ ดังนั้น จึงได้แต่"เชื่อถือ"กันไปเท่านั้น ไม่มี"คน"ผู้ใดจะอาจเอื้อมไปรู้ ไปเห็นได้ เพียงแต่เชื่อว่า "พระเจ้า" ยิ่งใหญ่และเที่ยงแท้นิรันดร (สัสสตะ) เท่านั้นก็จบจึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น"พระเจ้า" ยังไม่ใช่"ของจริง" (ภาวสัจจะ) รู้กันแค่ตรรกะแล้วก็ "พูด" (วาท) กันด้วยปาก จาก"ความเห็นความเข้าใจ" (ทิฏฐิ) ซึ่งก็เพียง..สุตมยปัญญา หรือ จินตามยปัญญา ยังไม่สามารถรู้จัก รู้แจ้งรู้จริง ถึงขั้น "ภาวนามยปัญญา" หรืออธิปัญญาขั้นสัมผัส "ของจริง" ด้วย "วิชชา ๙" ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ในภาวะ "จิต..เจตสิก..รูป..นิพพาน" พิสูจน์ได้เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต

อัตตาหรืออาตมัน ปรมาตมัน (พระเจ้า) ของชาวเทวนิยม จึงมีแต่"สมมุติ" มีแต่"นิมิต" อยู่ในใจกันเท่านั้น หรือยังเป็น ความลับอยู่ดี ทว่าก็เป็นความลับที่ชาวเทวนิยมเชื่อถือบูชาอย่างยิ่ง และก็เพราะสิ่งที่ลับ แต่เป็น สิ่งที่ตนเทิดทูน บูชานี่เอง ที่เป็นจุดให้เกิดภาวะของ "อัตตกาม" หรือ "ความรักยึดใคร่อยู่ในตัวตน"

"ความเชื่อหรือความปักใจมั่น" (faith,confidence) เช่นนี้ ฝังในส่วนลึกของจิตวิญญาณชาวเทวนิยม มานาน แสนนาน สิ่งใดที่นับถือว่า เป็นสิ่งที่ให้คุณ ให้ค่าแก่ตัวเขา เขาก็จะรักหวงแหน ยิ่งสิ่งนั้นเชื่อว่า ยิ่งเยี่ยมยอด ให้คุณแก่เขา ยิ่งมากเท่าใด ก็ยิ่งจะหวงแหน ยกย่องเชิดชู บูชามากยิ่งเท่านั้น และยิ่งรัก ยิ่งนับถือทั้งมากทั้งสูงสุด เท่าใดๆ ชาว"อัตตกามหรืออัตตทิฏฐิ" นี้ ก็ยิ่งจะไม่ให้ใครแตะต้อง ไม่ให้ใครเห็น ไม่ให้ใครรู้ ดังนั้น จึงปกปิด ไม่เปิดเผย หรือ ยิ่งจะไม่ให้ใครเข้าใกล้ หรือไม่ให้ได้แบ่งส่วน นั่นเอง นี่คือ ความมี"อัตตกาม"แท้ๆ ซึ่งเป็น "ตัวจริง" ของความเห็นแก่ตัว ที่ลึก และลับ สุดๆ

เขาจะรู้สึกว่า เขายิ่งรักยิ่งหวงแหน ยิ่งยึดเป็นของตัวของตน เขายิ่งปกปิดซ่อนเร้นลึกลับ "มนต์" เป็นสิ่งหนึ่ง ที่พราหมณ์ถือเป็นของรัก ของหวง ที่มีคุณค่ายิ่งยอด เพราะเป็นโองการของพระเจ้า [มีต่อฉบับหน้า]

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๙ ตุลาคม ๒๕๔๖)