ตอน สัตว์เลี้ยงมีคุณ
น้อยชอบอ่านเรื่อง
นกกางเขน มาก เธอเคยคิดอยากเอาลูกนกมาเลี้ยงแบบเด็กในหนังสือเรื่องนั้น
ที่ช่วยเอาลูกนกปีกหักมารักษา ลูกนกตัวนั้น ชื่อนิ่ม เป็นชื่อที่น้อยคิดว่า
ฟังดูเพราะกว่าชื่อของเธอมาก จนเธออยากเปลี่ยน มาชื่อนิ่มบ้าง แต่บังเอิญนิ่ม
ในเรื่องนกกางเขน เป็นพี่นกเหมือนพี่แมะ มันมีน้อง สามตัวชื่อ นิด
หน่อย แล้วตัวสุดท้องชื่อเดียวกับเธอ คือชื่อ น้อย แม่ว่าลูกคนเล็ก
มักจะชื่อ น้อย เสมอ น้อยก็เลยคิดว่า 'ชื่อน้อยก็เพราะดีเหมือนกันแหละน่า'
ทุกครั้งที่อ่านเรื่องนกกางเขนน้อยจะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจไปกับนิ่มผู้ถูกทอดทิ้งเสมอ
ถึงมันจะเป็นลูกนก ที่อวดดีก็เถิด ในหนังสือ เขาเขียนว่า นิ่มคิดว่าตัวเองเก่ง
ไม่ต้องให้พ่อแม่สอนบินขึ้นรังให้ เลยตก ลงมาปีกหัก จนเด็กๆใจดี ช่วยกันเอาไปเลี้ยง
จนปีกมันหายดีแล้ว จึงเอาไปใส่รัง คืนให้พ่อนกแม่นก เหมือนเดิม
น้อยบอกพ่อว่าที่แว้งก็มีนกบินหลา(นกกางเขน)
มาก อาจจะมีลูกนกปีกหักให้เธอเอามาเลี้ยงบ้าง เหมือนกัน พ่อยิ้มเมื่ออธิบายเธอว่า
"ลูกนกกางเขนในหนังสือนั้นเขาแต่งขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง
รอบๆ บ้านเรามีนกหลายชนิด น้อยดูให้ดีซี พวกมันชอบกระโดดไปมา ตามกิ่งไม้
แล้วก็ร้องเพลง ให้เราฟังใช่ไหม น้อยรู้ไหมว่าทำไม?" น้อยสั่นศีรษะ
พ่อจึงพูดเหตุผลให้ฟังต่อว่า
"พวกนกมากระโดดตามกิ่งไม้และร้องเพลงจุ๊บจิ๊บให้น้อยฟัง
ก็เพราะน้อยไม่ได้เที่ยวถือปาง (หนังสะติ๊ก) เที่ยวยิงนก ถ้าน้อยกับมามุ
ยิงมัน พวกมันก็จะกลัวน้อย พ่อนกแม่นก ก็จะไม่กล้า พาลูกนก มาในสวนหลังบ้านของเรา"
"แต่น้อยทำปางเป็นค่ะพ่อ
แล้วก็เคยทำกับกิ่งต้นเหมล มามุเขาเคยยิงค่ะ น่าสงสารนกตัวนั้น ตามันหลุด
หายไปเลย คอมันก็อ่อนไป อ่อนมา ตอนแรกมามุเขาจะเอาไปย่างกิน แต่ตอนหลัง
เขาก็สงสารมันเหมือนกัน เลยเอามันไปฝัง น้อยยังเอากิ่งดอกเหมล ไปปักที่หลุมฝังศพมันด้วย"
น้อยสารภาพ เพราะภาพนกน้อยตัวนั้น ยังติดตาอยู่ "แล้วที่พ่อว่าถ้าเรายิงมัน
พ่อแม่นก ก็จะไม่พา ลูกนกมาอีก นกมันรู้ด้วยหรือคะว่า ถ้ามาแล้วเราจะยิงมัน
มันคิดเหมือนเราเป็นด้วยหรือคะ"
พ่อมองดูเธอเหมือนกำลังคิดว่า
คำอธิบายต่อไปนี้เธอจะเข้าใจหรือไม่ "สัตว์ทุกชนิดก็เหมือนกับมนุษย์
แหละลูก มันรู้จักกลัว รู้จักเจ็บเหมือนกับเรา ถ้ามันบินมาบ้านติดกับสวนเราแล้วเขาดักมัน
หรือยิงมัน มันก็จะไม่กล้า ไปที่นั่นอีก แต่บ้านเราไม่ทำมัน มันไม่ต้องกลัวเรา
มันก็จะมาหาผลไม้หาตัวหนอน ไปเลี้ยงลูก ในรังของมัน แถมยังร้องเพลงให้เราฟังด้วย"
พ่อเริ่มต้นพูด
"มันมาทำรังในสวนเราด้วยค่ะพ่อ
รังมันอยู่บนต้นเงาะ" น้อยพูดพลางชี้มือให้พ่อดู "วันก่อนน้อยกับมามุ
แอบปีนขึ้นไปดู มีไข่อยู่ในรังมันด้วย แต่ตอนนี้มันฟักออกเป็นลูกนกแล้วค่ะ
ตั้งห้าตัวแน่ะ น้อยก็เลย คิดว่า-" น้อยพูดแล้วก็รู้สึกอาย เมื่อเห็นพ่อยิ้ม
ด้วยอย่างรู้ทันก่อนพูดว่า
"น้อยก็เลยคิดไว้ล่วงหน้าว่า
ลูกนกตัวหนึ่งจะตกลงมาปีกหักเหมือนในเรื่องนกกางเขน แล้วน้อยกับมามุ
ก็จะเอามันมาเลี้ยงใช่ไหม?"
น้อยพยักหน้า พ่อจึงพูดต่อว่า "แล้วน้อยจะไปเที่ยวหาหนอนมาให้มันกิน
จากที่ไหน ถึงหาได้ น้อยก็ต้องสงสารหนอนอีก พ่อว่าปล่อยให้พ่อแม่นก
เลี้ยงมันดีกว่า มันอาจจะรู้ว่า ลูกมันอยากกินอะไรบ้าง น้อย กับมามุไม่รู้หรอกลูก
แล้วลูกนกเอง ก็อยากให้พ่อแม่ กกมันให้หายหนาว น้อยจะไปนอนกกมันได้หรือ
ลูกนกก็เหมือนกับน้อย น้อยคงอยากอยู่กับพ่อแม่ มากกว่าไปอยู่กับคนอื่น
ใช่ไหม นกและสัตว์อื่นก็เหมือนกัน"
"น้อยนึกออกแล้วค่ะพ่อ"
เธอพูด "วันก่อนแม่ก็บอกว่า อย่าไปเที่ยวพรากลูกนกลูกกา บาปเป็นอย่างนี้เอง
พ่อเคยทำบาปไหมคะ?" น้อยถามด้วยความคิดว่า
ผู้ใหญ่ที่ห้ามไม่ให้เด็กทำบาปนั้น ไม่เคยทำบาป มาก่อนเลยสักนิดเดียว
แต่ผิดคาด พ่อกลับชี้ให้เธอดูแผลเป็นยาว ใต้ท้องแขนของพ่อก่อนจะพูดว่า
"น้อยรู้ไหมว่าแผลนี้เกิดจากอะไร?"
"น้อยนึกว่า-
-ว่าพ่อไปสู้กับโจรที่ชื่อแวซูดอ(๑)
ไม่ใช่หรือคะ?" น้อยตอบ รู้สึกสยองขึ้นมาทันที่ ที่นึกถึง เรื่องราว
ที่เคยได้ยินเกี่ยวกับ ขุนโจรผู้นี้ พ่อทำหน้าเหมือนสุดแสนจะประหลาดใจ
ในคำตอบของเธอ
"น้อย ลูกไปเอามาจากไหน
พ่อน่ะหรือไปสู้กับโจร ลูกปะติดปะต่อเรื่องเข้าไปยังไงกันนี่!"
แล้วพ่อก็รีบ กลับมาเรื่องเก่า "นานมาแล้ว ตั้งแต่เมื่อพ่อยังเป็นเด็กหนุ่ม
พ่อเคยไปช่วยเพื่อนไล่ฝูงควาย ที่มันเข้ามา กินผักในสวนของเขา พ่อมีพร้าอยู่ในมือ
พ่อไม่ทันคิด พ่อขว้างพร้านั้นออกไป ที่ควายตัวหนึ่ง ไปถูกที่โคนขาหน้าของมัน"
เมื่อเห็นน้อยตกใจ
พ่อจึงรีบบอกว่า "มันไม่ถึงกับตายหรอกลูก แต่มันคงเจ็บมาก เพราะมันร้องลั่น
แล้วพากันวิ่ง ออกจากสวนไป พ่อเสียใจมาก ที่ทำไปอย่างนั้น พ่อไม่ได้ตั้งใจ
แต่พ่อก็ทำลงไปแล้ว และ พ่อก็ได้รับผลกรรมแล้ว พ่อเป็นฝีขนาดใหญ่ ต้องผ่า
และรักษากันนานทีเดียว ยังดีนะ ที่พ่อยังใช้แขน ได้อยู่"
น้อยเห็นสีหน้าพ่อเหมือนนึกถึงความหลังและเสียใจมาก
เธอกอดแขนพ่อไว้แน่นเมื่อพูดว่า "น้อยจะไม่ ทำร้ายสัตว์อีกแล้วค่ะ
พ่อ ไม่ตลอดชีวิตเลย --แต่ พ่อคะ เพราะพ่อทำควายเจ็บที่ขาหน้า ควายก็เลย
โกรธพ่อ ทำให้พ่อเจ็บตรงแขนด้วย อย่างนั้นใช่ไหมคะ ไหนยายเคยบอกว่า
ทำกรรมแล้ว จะต้องกลับมา 'ใช้ชาติ' อีกในชาติหน้า แต่พ่อทำไมต้องใช้ชาตินี้เลยคะ?"
"พ่อไม่รู้ว่าพ่อต้องใช้ชาติเพราะควายตัวนั้นหรือไม่
ไม่มีใครตอบได้ แต่เราเป็นชาวพุทธ เราเชื่อเรื่อง การกระทำว่ามีผล
ถ้าผลนั้น ทำให้พ่อต้องบาดเจ็บ จนเป็นรอยแผลเป็นอย่างนี้เสียในชาตินี้
พ่อก็ว่า พ่อโชคดีมากที่ได้เห็นผลของกรรม" พ่อพูดเหมือน กำลังนึกถึงความหลัง
แล้วพ่อก็อธิบายต่อ อย่างช้าๆ "ศาสนาพุทธที่เรานับถือเรียกการกระทำว่า
กรรม ส่วนผลของการกระทำ เรียกว่า วิบาก พ่อเคยบวชเรียน มาแล้ว ก็เลยพอเข้าใจ
ยากไปสำหรับลูกไหม เรื่องกรรมนี่สำหรับใครๆ ก็ยากทั้งนั้น เพราะคนไม่ค่อยได้เห็น
วิบากทันที ก็เลยทำกรรมโดยไม่ระวัง แต่พ่อเชื่อว่าผลกรรมมีจริง พ่อจึงไม่ต้องการ
ให้ลูกๆทำกรรมที่ไม่ดี เข้าใจหรือไม่? ยากไปไหม?"
นี่คือเหตุผลที่ที่บ้านไม่มีกรงนกเหมือนบ้านอื่น
และน้อยกับมามุก็ไม่ได้เลี้ยงลูกนกดังใจต้องการ แต่ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีนกให้เลี้ยง
น้อยก็มีลูกไก่เยอะแยะให้ดูแลแทน เป็ดก็มีตั้งฝูงใหญ่ เธอคอย ให้มันกินปลายสาร(๒)
คอยเติมน้ำในกะลา และในอ่างให้มัน คอยไล่เหยี่ยวและแลน ที่ชอบมาเอา
ลูกเจี๊ยบ ไปกินเสียบ่อยๆ
และน้อยยังมีลูกแมวหลงแม่ที่ได้มาในวันฝนตกใหญ่แทบไม่เห็นฟ้าเห็นดิน
วันที่เธอป่วยหนัก ด้วยโรคบิด จนทุกคนคิดว่า เธอต้องตายแน่ ตอนนี้มันเติบโตเป็นแมวที่สะอาดสะอ้านน่ารักมาก
ตอนแรกน้อยอยากให้มันชื่อสีสวาด เหมือนแมวในหนังสือ ที่ใช้สำหรับวิชาอ่านไทย
แต่พ่อว่า ขนของแมวสีสวาด ต้องเป็นสีเทาอมเขียวนิดๆ แล้วก็ไม่มีลายแบบลูกแมวของเธอ
ชื่อสีสวาด จึงไม่เหมาะ
"ลูกแมวตัวนี้มันเป็นลายทั้งตัว
แต่ลายมันก็สวยดีเหมือนกัน" น้อยพูดพลางคิดหาชื่ออื่น ที่ไม่ใช่ชื่อ
สีสวาด "ที่จริงตาข้างในของมันสีฟ้าๆ นะ พี่แมะ ให้มันชื่อ สีฟ้า
ดีไหม?"
"แมวอะไรชื่อสีฟ้า
มันตัวผู้นะ แล้วขนมันก็ไม่ได้สีฟ้าด้วย ใครจะไปดูลูกตาข้างในของมัน
หาชื่ออื่นเหอะ ชื่ออะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ชื่อสีฟ้า" พี่แมะไม่เห็นด้วยอย่างเต็มที่
"น้อยว่าลายมันมีกี่สี?" แม่ช่วยออกความเห็นบ้าง และเมื่อน้อยพิจารณา
ขนลูกแมวตัวน้อย ว่ามีสีขาว สีนวล และ สีน้ำตาลอ่อน แม่จึงเสนอความเห็นว่า
"น้อยว่ามันมีสามสี เราก็เรียกมันว่าสามสีดีไหมล่ะ ตามใจลูกนะ
มันเป็นลูกแมว ของน้อยนี่" "ตกลงค่ะแม่ ชื่อสามสีก็เพราะดี
พี่แมะว่าเพราะไหม?" เมื่อพี่แมะตกลง น้อยจึงพูดกับลูกแมว ที่คลอเคลียอยู่บนตักว่า
"เหมียวชื่อสามสีนะ ต่อไปนี้ จะไม่เรียกว่า เหมียวแล้วนะ"
"มีแมวก็ดี"
พ่อว่า "ไม่งั้นพวกหนูก็มากินของขายในกระบะหน้าร้านเสียหมด เราเมตตาสัตว์
มันก็ให้คุณ แก่เราเหมือนกัน"
"ไอ้ดำของน้อยก็มีคุณเหมือนกันค่ะ
พ่อ เดี๋ยวนี้น้อยไม่ต้องกลัวผีหรือโจรทางหลังบ้านนักแล้ว" น้อยพูดต่อ
และพี่แมะเสริมด้วยว่า "วันก่อนมันก็ช่วยไล่แลนด้วย"
ไอ้ดำเป็นหมาตัวเดียวของครอบครัวก็จริง
แต่มันเป็นหมาของน้อยโดยเฉพาะ เพราะเธอดูแลมัน มากกว่าคนอื่น ไอ้ดำก็รู้
มันเลยนัวเนียกับเธอ มากกว่าคนอื่นในบ้าน ทุกเช้าไอ้ดำจะเดินตามไป
ส่งเธอที่ริมคลอง มันข้ามคลองไปกับเธอด้วย จนถึงอีกฝั่งหนึ่ง น้อยถึงจะบอกให้มันกลับบ้าน
ตกบ่าย โรงเรียนเลิก มันจะมาคอยเธออยู่ที่ริมคลองเป็นประจำทุกวัน ไม่ขาดเลยแม้แต่วันเดียว
มามุเพื่อนรักของน้อยเป็นเด็กมุสลิมและคนมุสลิมเขาไม่เลี้ยงสุนัข
บางคนถึงกับเกลียดสุนัข เอามากๆ ทีเดียว แค่เห็นมันมาใกล้ เขาก็จะไล่มันว่า
'ชิ ชิ' เขาว่าการเลี้ยงสุนัขนั้น 'ดอซอ'(๓)
แต่มามุรู้ดีว่าไอ้ดำ เป็นสุนัขที่ดีมากๆ ถึงเขาไม่เล่นคลุกคลีกับมันเหมือนน้อย
มามุก็ไม่รังเกียจมัน น้อยรู้สึกไม่ชอบทุกที ที่ได้ยินแขกด่าด้วยคำที่ถือว่าหยาบหยามที่สุด
หรือเวลาใครมาเรียกไอ้ดำว่า 'มนาแตอะญิง (ไอ้สัตว์หมา) เพราะไอ้ดำของเธอ
เป็นสุนัขที่แสนดี มันกตัญญูรู้คุณ มันคอย ระวังภัยให้เธอ มันเป็นเพื่อนเล่นแก้เหงาได้
ในหนังสือยังว่า สุนัขสามารถช่วยคนตกน้ำ ได้ด้วยซ้ำไป เพียงแต่คลองแว้งไม่ลึก
และ น้อยว่ายน้ำเป็น เลยไม่มีโอกาสเห็นว่า มันช่วยเธอ เวลาจมน้ำ ได้จริงหรือไม่
แต่พ่อก็ยืนยันว่า สุนัขว่ายน้ำได้ดี และช่วยคนตกน้ำได้จริงๆ "สงสัยต้องเป็น
หมาฝาหรั่ง หรือเปล่าคะพ่อ" น้อยพูด อ้างว่า "ในหนังสือของน้อยเขาเขียนว่า
สุนัขฝรั่งได้แก่ 'บ๊อกเซอร์ อัลเซเชี่ยน สะเปเนีย และเทอเรีย' ไอ้ดำเป็น
หมาไทย มันเลยช่วยคนไม่ได้"
"แต่พ่อว่า
เลี้ยงหมาไทยนี่แหละดีที่สุด แล้วมันฉลาดและกตัญญูมาก เราให้มันกินเศษอาหาร
ที่เหลือ ก็ได้แล้ว หมาฝรั่งอาจจะเหมาะ กับเมืองฝรั่ง เราเลี้ยงสัตว์ให้มันทำหน้าที่ของมัน
ถ้าเลี้ยงหมาฝรั่ง ก็สิ้นเปลืองมาก พ่อไม่เห็นด้วยที่หนังสือของน้อย
พูดแต่หมาฝรั่ง ไม่พูดถึงหมาไทยเลย" พ่อแย้ง
"จริงด้วย
พ่อ ทำไมเขาให้เด็กเรียนอย่างนั้นก็ไม่รู้ ฉันเห็นเขาเขียนเหมือนสอนเด็กด้วยว่าให้
'กินกับ มากๆ กินข้าวแต่พอควร' เขาเอาที่ไหนมาสอนเด็ก คงตามแบบฝรั่งอีกเหมือนกัน
นึกถึงบางบ้าน กับข้าว มีแต่น้ำบูดูถ้วยเดียว โถ! ให้กินกับมากๆ กินข้าวแต่พอควร
ข้าวยังต้องหุงปนหัวมันเลย" แม่พูดบ้าง
"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
แม่ คนเขียนคงไม่ได้มาเห็นหรอกว่า ตามบ้านนอกอยู่กันยังไง หรือไม่
เขาก็คงเขียน หนังสือ แต่สำหรับ ลูกคนรวยอ่านก็เป็นได้ เราเอาอย่างที่เหมาะกับเรา
นี่แหละดีแล้ว ไอ้ดำมันเป็นหมา ที่ทั้งดี และฉลาดด้วย" พ่อหันกลับมาพูดเรื่องไอ้ดำของน้อยต่อ
แม่ก็เห็นด้วย
"มันฉลาดจริงๆ
กลางวัน หน้าบ้านมีคนแยะ ไอ้ดำมันจะไปนอนอยู่ตรงกระไดหลังบ้านเสมอ
พอกลางคืน เราปิดประตูหน้าบ้าน เข้าไปอยู่ข้างในกัน มันก็มานอนเฝ้าทางหน้าบ้าน
ดูเอาเถอะ สัตว์เลี้ยงที่ดี ก็มีคุณต่อเราเหมือนพ่อว่าแหละ"
ครั้งหนึ่งน้อยตามพ่อไปดูสวนยางที่ซื้อใหม่ลึกเข้าไปจากถนนมาก
ไอ้ดำวิ่งตามหลังไปด้วย มันร่าเริง และดีใจทุกครั้งที่ได้ไปไหนกับเธอ
สองพ่อลูก เดินตัดป่ายางเข้าไปลึกมาก และต้องอ้อมผ่านพรุ(๔)
บือเลาะห์ด้วย เมื่อมาถึงคลองบือเลาะห์ที่ลึก และน้ำเชี่ยวกราก มีแต่สะพานเรือก
สำหรับไต่ข้ามไป น้อยจับเถาบันไดลิงที่ชาวบ้านขึงไว้ ค่อยๆไต่ตามหลังพ่อไปได้
แต่ไอ้ดำทำอย่างเธอไม่ได้ มันร้องงี้ด งี้ด ให้น้อยช่วย แต่พ่อก็ไม่อนุญาต
"ไม่ต้องตามมาหรอก ดำ" พ่อออกคำสั่งกับมันอย่างเด็ดขาด
น้อยรู้สึกไม่สบายใจที่หันไปเห็นไอ้ดำลงนอนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
มันเอาหัวซุกไว้ ระหว่างเท้าทั้งสองข้าง อย่างเศร้าสร้อย ไม่ยอมมองเธอด้วย
แต่เมื่อพ่อบอกอย่างนั้นก็ต้องทำตาม
"พ่อบอกน้อยว่าขากลับเราจะเดินไปอีกทางหนึ่ง
แล้วไอ้ดำมันไม่รู้ มันก็จะกลับบ้านไม่ถูกซีคะ" น้อยพูด อย่างกังวล
และยังหวังให้พ่อ หาทางเอาไอ้ดำไปด้วย พ่อกลับพูดว่า "หมาเก่งกว่าคนมาก
ในเรื่องการจำทาง น้อยไม่ต้องกลัว มันจะดมกลิ่นได้เสมอแหละ"
เมื่อสองพ่อลูกกลับมาถึงบ้านบ่ายวันนั้น
น้อยก็พบว่าไอ้ดำกลับมาทำหน้าที่เฝ้าหลังบ้านเรียบร้อย ก่อนแล้ว มันรู้หน้าที่ของมันเสมอ
แถมยังวิ่งมารับเธอและพ่อ ราวกับจะบอกว่า มันดีใจที่เธอและพ่อ กลับมาได้ถูก
โดยไม่หลงทาง ทั้งที่ไม่มีมันนำทางให้
น้อยก้มลงลูบหัวไอ้ดำพลางชมมันว่า"ดำหมาดี๊ดีนะๆ
ดำเป็นหมาเก่งมากจริงๆเลย" แต่เมื่อเห็นมัน ยังทำท่า เหมือนจะบอกอะไรสักอย่าง
มันทำทั้งเสียงงื้ดง้าด และทำท่าวิ่งไปทางหลังบ้าน พลางหยุด พลางหันมา
เหมือนจะบอกให้ตามมันไป
"อะไรฮึดำ?"
พ่อถามมันเพราะรู้สึกผิดสังเกตเหมือนกัน "อะไรของมันนะ มีอะไรหลังบ้านหรือ?"
และเมื่อไอ้ดำ ยังทำท่าออกวิ่ง แล้วก็หยุด ครั้งแล้วครั้งเล่า พ่อจึงพูดว่า
"ต้องมีอะไรหลังบ้านแน่ๆ"
น้อยเดินลอดใต้ถุนบ้านไปกับพ่อ
ซึ่งตามหลังไอ้ดำไปอีกต่อหนึ่ง มันวิ่งนำหน้าไปใต้ครัว พอถึงตรงนั้น
น้อยก็ได้ยินเสียงเจ้าสามสี ร้องอย่างเกรี้ยวกราด และมีเสียงเหมือนอะไร
เคลื่อนไหว ไปมา ดังอยู่ข้างบนบ้าน ไอ้ดำหยุดและทำท่าเงยหน้าขึ้น พลางเห่า
ปนคำรามอย่างดุร้าย พ่อเงยหน้า ตามเสียงสามสียังดังอยู่
อะไรสักอย่างกำลังเกิดขึ้นในห้องพี่จบ!
ไอ้ดำยิ่งคำราม! สามสีไม่วิ่งมาหาน้อยอย่างเคย!
น้อยขึ้นบันไดหลัง
วิ่งผ่านห้องครัว เปิดประตูห้องรกรุงรังของพี่จบแล้วพรวดเข้าไป ภาพข้างหน้า
ทำให้ เธอตกตะลึง จนก้าวขาไม่ออก ได้แต่ตะโกนลั่น
"พ่อ! งู!
งูกำลังกัดไอ้สามสี! ช่วยด้วย!! ช่วยด้วย!!"
พ่อวิ่งขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว
แม่ และแขกที่นั่งอยู่หน้าบ้านได้ยินเสียงกรีดตะโกนของน้อย ต่างวิ่งกรู
ผ่านห้องโถงมาในครัว พ่อจับตัวน้อย เหวี่ยงออกมาข้างนอกอย่างแรง ปิดประตู
พลางพูดเสียงสั่น
"งูเห่า!
งูเห่า! แมวของเราสู้กับงูเห่า"
น้อยถูกแม่ลากให้มานั่งทางหน้าร้าน
"แม่รู้ว่าน้อยตกใจ แม่ก็กลัว แต่น้อยไม่เป็นไรแล้วลูก"
แม่ปลอบ แต่น้อยยังตัวสั่น เธอไม่ได้เกลียดกลัวงู เพียงอย่างเดียว
น้ำตาเธอไหลขณะสะอื้นออกมาว่า
"ไอ้สามสีของน้อยตายแน่ๆ
แล้ว แม่ขา มันตายแน่ๆ มันสู้งูเห่าไม่ได้หรอก น้อยรู้"
แม่กับน้อยไม่ได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทางหลังบ้าน
ครู่ใหญ่พี่แมะก็เดินออกมากับแขกเหล่านั้น ทุกคน ยังมีสีหน้าตื่นเต้นอยู่
แล้วพ่อก็ออกมาหลังเพื่อน น้อยโผเข้าหา ละล่ำละลัก จะถามถึงลูกแมว
ของเธอ พ่อชิงพูดเสียก่อนว่า "เจ้าสามสีของน้อย มันมีคุณกับพวกเรา
มันช่วยชีวิตพี่จบไว้ด้วย" พ่อมองแม่ "นี่เจ้าตัวไปอยู่ไหนก็ไม่รู้
จนงูเข้าในห้อง ความที่ห้องรก"
พ่อพูดไม่กระจ่าง
แต่น้อยก็เข้าใจ เธอทรุดตัวลงนั่งระหว่างกระสอบข้าวสาร ซบหน้าลงกับแขน
ทุกคน นิ่งเงียบ ปล่อยให้เธอร้องไห้ จนหมดน้ำตา แล้วก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้นต่อไปอีกนาน
จนกระทั่ง ได้ยินเสียง "เมี้ยว! เมี้ยว!" ดังแผ่วมาจาก ประตูห้องโถงกลาง
ทุกคนพรวดพราดลุกขึ้นอีกที
น้อยนั้นกระโดดนำหน้าไปก่อนแล้ว ภาพตรงหน้ายิ่งทำให้ทุกคนตะลึง กว่าเดิมเสียอีก
เพราะคาดไม่ถึง
สามสีนั่นเอง!
มันเดินตุปัดตุเป๋อย่างหมดแรงตรงมาหาน้อย พ่อคว้าผ้าขาวม้าตรงเข้าไป
ขวางหน้าเธอ ห่อตัวสามสีไว้ พลางปัดตัวน้อยออกมาทางแม่ มิไยที่น้อยร้องไห้จะกอดมัน
พ่อก้มดู เจ้าสามสี ที่ยังตะกายเบาๆ อยู่ในผ้าขาวม้าของพ่อ มันคงอยากมาหาน้อย
พ่อพูดว่า
"ไม่น่าเชื่อเลย
มันถูกงูเห่ากัด แล้วยังไม่ตาย น้อยยังอุ้มมันไม่ได้ลูก ตามันฝ้าเป็นน้ำข้าวเสียแล้ว
มันอาจจะ - -" พ่อพูดได้เพียงแค่นั้นก็หยุด เพราะน้อยร้องไห้โฮออกมา
อย่างไม่อายใคร แม่ไม่ห้ามเธอ แต่คว้าตัวลูก มากอดไว้แน่น พี่แมะก็จับมือเธอไว้
น้อยหันหลัง เมื่อได้ยินพ่อพูดต่อว่า
"พ่อไม่ได้ใจร้ายที่ไม่ให้น้อยอุ้มสามสี
แต่มีพิษงูเห่าอยู่ในตัวมัน ถ้ามันเกิดกัดน้อยเข้าอย่างไม่ตั้งใจ ก็เหมือนน้อย
ถูกงูกัด เข้าใจไหม?"
น้อยรวบรวมความกล้า
เข้าไปดูเจ้าสามสีที่พ่อวางลงบนยกพื้น ตาของมันที่เคยมีสีฟ้าสวย ขณะนี้ขาว
เป็นฝ้าหมดทั้งสองข้าง แต่มันยังตะกายเบาๆ ก่อนที่จะหลับตาลงนอนเงียบ
น้อยนั่งเฝ้า มันอยู่ตรงนั้น โดยมีพี่แมะนั่งอยู่ด้วย แขกชุดเก่าออกไปหมดแล้ว
แขกที่เพิ่งรู้ข่าวเข้ามาใหม่ น้อยไม่สนใจใครทั้งนั้น เธอคิดอยู่แต่ว่า
ลูกแมวของเธอกำลังเหมือนเธอ ในวันฝนตกหนักวันนั้น และมันมาปรากฏตัว
ให้เธอได้ช่วยชีวิตไว้มันไว้ ไม่ถูกน้ำพัดพาไปตายเสีย เหตุการณ์ช่างคล้ายกัน
เสียจริง
เวลาผ่านไปเท่าใดน้อยไม่รับรู้
เธอนั่งมองแต่ลูกแมวที่น่าสงสารอยู่อย่างนั้น จนพี่แมะลุกไปช่วย แม่หุงข้าว
พ่อให้แขกช่วยเอาซากงู ที่ถูกสามสีกัดเอาจนตายไปทิ้ง เธอได้ยินแขกบางคนพึมพำกันว่า
ต้องเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสระช่วยไว้ด้วย หลายคนยอมรับว่า ไอ้ดำเป็นหมาที่ดีมาก
ถ้าไม่มีมัน ก็ไม่ได้รู้ว่า เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น น้อยรู้สึกว่าห่อผ้าขาวม้าของพ่อไหวเล็กน้อย
แล้วก็ไหวมากขึ้น แล้วหัวเจ้าสามสี ผงกขึ้น น้อยยังไม่แน่ใจว่า ตาเธอฝาดไปหรือไม่
จนกระทั่ง เธอได้ยินเสียงมันร้อง "เมี้ยว เมี้ยว" นั่นแหละ
จึงแน่ใจว่า ลูกแมวของเธอยังไม่ตาย น้อยตะโกนดังลั่นสุดเสียง "พ่อ!
แม่! พี่แมะ! เร้ว มานี่ ไอ้สามสีไม่ตายพ่อ! มันฟื้นแล้ว โอ๊ย พ่อ
เร็ว มันลุกขึ้นแล้ว!"
พ่อจับตัวลูกแมวขึ้นมองดูตาของมัน
ตาสามสีที่ขุ่นเป็นฝ้าไปแล้วนั้นลดความขุ่นลงและเริ่มใสขึ้น
"ไม่อยากเชื่อเลย
แม่ สามสีไม่ตายจริงๆด้วย ไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้ น้อย ลูกแมวของน้อย
ไม่ตาย จริงๆ ด้วย แต่น้อยอย่าเพิ่งอุ้มมันนะ ตามันยังไม่หมดฝ้า พิษงูยังไม่หมดจากตัวมัน
ยังไว้ใจไม่ได้" พ่อสั่งน้อย น้อยถอนหายใจอย่างแรงด้วยรอยยิ้ม
นึกในใจว่า
'ไม่เป็นไร แค่มันไม่ตายก็บุญแล้ว
น้อยจะเฝ้ามันต่อ ตามันจะหายฝ้า
'
"นี่ไงพ่อที่ฉันเคยได้ยินมา" เสียงแม่พูดกับพ่อ "แมวบางตัวงูแพ้ตบะมัน
สามสีเป็นแมวนั้นด้วย"
ค่ำคืนนั้นจันทร์กระจ่างฟ้า
ครอบครัวเล็กๆ ในบ้านท่าฝั่งคลองปูเสื่อนั่งเล่นกันที่นอกชานกลาง พี่จบ
ก็มาร่วมวงด้วย หลังเหตุการณ์ สุดสยองนั้นแล้ว พี่จบได้จัดการห้องส่วนตัว
จนหายรกรุงรัง เหลืออยู่แต่ เครื่องมือบางอย่าง ที่เขาหวงแหนเท่านั้น
สามสีหมอบอยู่บนเสื่อ ที่หัวบันได ไอ้ดำ ก็ตะกาย ขึ้นมานอนอยู่ด้วย
เหมือนจะร่วมความสุข ความอบอุ่นของครอบครัวนี้
น้อยกับพี่แมะนอนพังพาบ
คิดแก้ปริศนาที่แม่ถาม แก้ไม่ได้ก็ใช้วิธีถามกลับบ้าง พี่แมะถามว่า
"อะไรเอ่ย
มีแปดขา พอ--พอ--คนกรุณา ก็ตอบแทนคุณ? เอ้า แมะถามพี่จบก่อน"
"ง่ายจัง"
พี่จบตอบหลังจากหยุดคิดนิดหนึ่ง "มีแปดขาก็ไอ้ดำกับสามสี ใช่ไหมล่ะ
เรากรุณามัน มันก็ตอบแทนเรา อย่างวันนั้นไง ถูกไหมล่ะ ถามง่ายอย่างนี้
ใครก็ตอบได้"
"คำถามของน้องง่ายก็จริง
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องต้องจดจำกันไว้นะ" พ่อพูด "จำไว้ว่าความเมตตา
แม้ต่อสัตว์ เราก็ต้องมีให้ อย่าทำร้ายเขา จะลองหัดจำประโยคภาษาบาลี
ไว้สักประโยคได้ไหมล่ะ เบือนหน้าหนีกันทันทีเลยนะ ไม่ยากหรอก จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
เป็นความจริง ที่ทั้งโลกต้องยอมรับ สั้นนิดเดียวแหละ แม่ว่าได้ไหม"
แล้วพ่อก็กล่าวประโยคนั้นดังๆว่า
"เมตตา โลโก
อุปถัมภิกา
เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก"
หมายเหตุ เขียนเสร็จเวลา
๙.๓๘ น. ๒๖ ก.ย.๔๖ ก่อนไปประชุมที่ปฐมอโศก
๑.
'แวซูดอ' เป็นชื่อขุนโจรใหญ่ในจังหวัดนราธิวาสหรือจะว่าในภาคใต้เลยก็ได้
เล่ากันว่า ไม่มีใครปราบได้ เพราะเป็นคน คงกระพันชาตรี มีลูกน้องในชุมโจรมากพอที่จะสั่งให้สร้างบ้านให้เสร็จ
ในวันเดียวได้ นอกจากนั้น ถ้าส่งข้อความมาถึงใคร ให้เอาข้าวสารหรือของใช้อะไรไปให้
ทุกคนจะทำตาม เพราะความกลัว ในที่สุด ทางราชการต้องส่ง ขุนพันธรักษ์ราชเดชไปปราบ
ท่านผู้นี้เลื่องชื่อมากที่สุด ในเรื่องการดูฤกษ์ผานาที และเรื่องคาถาอาคม
ที่ท่านเรียนจาก สำนักวัดอ้อน้อย จังหวัดพัทลุง ท่านคงกระพันชาตรี
ไม่แพ้แวซูดอ เล่ากันว่า เมื่อใดที่ท่านออกปราบโจรผู้ร้าย เมื่อนั้นตำรวจจะสมัครไปทำหน้าที่
ด้วยมากมาย เพราะเชื่อใน คาถาอาคมของท่าน ว่าจะคุ้มกันอันตรายได้ ในที่สุด
ขุนโจรแวซูดอก็สิ้นชื่อ ถูกขุนพันธรักษ์ราชเดช จับตัว มาได้ แม้กระนั้น
ทางตำรวจก็ยังไม่สามารถทำร้ายเขาได้ จนกระทั่งเขาตัดสินใจ ยอมคลายอาคมของตนเอง
โดยคายลูกอมขลัง ออกมาจากปาก
ปัจจุบันพลตำรวจตรี
ขุนพันธรักษ์ราชเดชยังมีชีวิตอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช อายุท่านร่วมร้อยปีแล้ว
ชื่อและเรื่องราวในอดีตของ 'ขุนพันธฯ' ยังเล่าขานกันอยู่จนทุกวันนี้
(๒) คือข้าวเปลือกและปลายหักๆของข้าวสารที่ในสมัยนั้นจะปนมามากบ้างน้อยบ้างกับข้าวสาร
ต้องเก็บออก ก่อนเอาข้าวไปหุงได้
(๓)
ภาษามลายูกลางว่า 'โดซา' แปลว่า 'บาป' รากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต
'โทษะ'นั่นเอง
(๔)
เป็นพื้นที่ที่มีน้ำขังตลอดปี ดินมีลักษณะเป็นทรายสีออกเป็นสีสนิม
มีพืชเฉพาะแบบในพรุเท่านั้น ปลูกพืชอย่างอื่นไม่ขึ้น ที่พรุจึงไม่มีประโยชน์อะไร
จนกระทั่งมีโครงการพระราชดำริเกิดขึ้น เมื่อไม่นานนี่เอง
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๕๙ ตุลาคม ๒๕๔๖) |