คิดคนละขั้ว
- แรงรวม ชาวหินฟ้า -
ข่าวดีและข่าวร้ายของชาวพุทธ
จะหาทางออกอย่างไร?
เนื่องจากพระพุทธเจ้าฝากศาสนาพุทธไว้กับพุทธบริษัท
๔ ดังนั้นข่าวดีข่าวร้าย ทั้งนักบวช และฆราวาส น่าจะได้ร่วมกันรับรู้
และช่วยกันหาทางแก้ไข พระไพศาล วิสาโล จากเครือข่าย ชาวพุทธ เขียนบทความ
เรื่อง ข่าวดีและข่าวร้ายของชาวพุทธลงใน น.ส.พ. มติชน ว่าที่พระ เครียดกัน
ทุกวันนี้ เพราะระบบการปกครองและการศึกษาของสงฆ์ แต่ในมุมมอง ของแพทย์
ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการบำบัด น.พ. ดร. เปี่ยมโชค ชลิดาพงษ์
ซึ่งได้บรรยาย ให้พระฟัง เห็นว่า อาหารเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้พระหิวบ่อยๆ
การเกิดโรคกระเพาะ ปัญหาสุขภาพ จนทำให้ชีวิตต้องเครียด ล้วนมาจากอาหาร
อาหารประเภทไหนที่ควรได้ถวาย
และไม่ควรถวายพระ ทายกทายิกาทั้งหลาย ควรได้ศึกษากัน ให้ถ่องแท้
ข่าวดีและข่าวร้ายของชาวพุทธ?
เมื่อเดือนที่แล้วมีข่าวเล็กๆ
ชิ้นหนึ่ง ซึ่งได้รับความสนใจจากสำนักข่าวชั้นนำทั่วโลก ข่าวนั้นก็คือ
นักวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ๒ แห่งในสหรัฐอเมริกา ได้บทสรุปตรงกัน
อย่างมิได้ นัดหมายว่า ชาวพุทธมีความสุขและความสงบใจมากกว่าคนกลุ่มอื่น
ข้อสรุปดังกล่าว มิได้มาจากการทำแบบสอบถามอย่างที่มักนิยมทำในเวลานี้
แต่เกิดจากการตรวจสอบ หรือ วัดการทำงาน ของสมองนักวิทยาศาสตร์พบว่า
ในหมู่คนถือพุทธนั้น สมองส่วนที่เกี่ยวข้อง กับอารมณ์ความรู้สึกที่ดี
ๆ จะถูกกระตุ้นให้ทำงานมากกว่าสมองของคนกลุ่มอื่น
ฟังแล้วคนไทยอย่างเพิ่งปลื้ม
เพราะชาวพุทธที่เขานำมาตรวจวัดสมองนี้ เป็นชาวพุทธในอเมริกา และเป็นผู้ที่ชอบทำสมาธิภาวนา
บทสรุปจริงๆ ของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ๒ แห่งนี้ ก็คือสมาธิภาวนานั้นช่วยให้จิตใจสงบ
ระงับความโกรธและควบคุมความกลัวได้ อานิสงส์ดังกล่าว มิได้เกิดขึ้นเฉพาะเวลาทำสมาธิเท่านั้น
หากยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง แม้จะเลิกทำ สมาธิแล้ว
ข้อสรุปย่อหน้าหลังนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
คนไทยหรืออย่างน้อยผู้ที่สนใจใฝ่ธรรมเขารู้มานานแล้ว แต่ดูเหมือนว่านี้จะเป็นครั้งแรกๆ
ที่ชี้ให้เห็นถึง ความสัมพันธ์อย่างชัดเจน ระหว่างสมาธิภาวนา
กับการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก แถมยังไปไกลถึงขั้นสรุปว่า
ชาวพุทธ มีความสุข และใจสงบยิ่งกว่าคนกลุ่มอื่น
ถ้าถือว่านั้นเป็นข่าวดี
ข่าวร้ายก็คือ เมื่อ ๒ -๓ เดือนก่อน มีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งแพร่ไปทั่วโลก
ข่าวนี้ให้ความรู้สึกตรงกันข้ามกับข่าวแรก และโยงมาถึงเมืองไทยโดยตรง
นั้นคือข่าวที่พระสงฆ์ไทย เป็นโรคจิตกันมากขึ้น ที่ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายก็มีไม่น้อย
จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลสงฆ์ ผู้หนึ่งเปิดเผยว่า มีพระสงฆ์ไทยจำนวนมากป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
โรคเครียดและวิตกกังวล
คงไม่มีข่าวใดที่จะตัดกันมากเท่านี้อีกแล้ว
ในดินแดนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศบริโภคนิยมสุดๆ ชาวพุทธที่นั่น (ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยเป็นฆราวาส)
เป็นผู้ที่มีความสุขมากว่าใครๆ ขณะที่ในประเทศ ซึ่งถูกขนานนามว่า เป็นเมืองพุทธ
พระสงฆ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ แห่งความสงบ กลับมีความเครียด และปัญหาจิตใจกันมากขึ้น
แม้จะไม่มีการทำสถิติพระสงฆ์ไทยที่มีปัญหาทางจิต แต่ข้อเท็จจริงที่ว่า
พระสงฆ์ไทยเป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุดกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย
ก็เป็นตัวชี้วัด ระดับความเครียดของพระสงฆ์ไทยได้ไม่น้อย
อ่านข่าวทั้งสองแล้ว
คงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับวงการพระสงฆ์ไทย? วิถีบรรพชิต
น่าจะเป็นวิถีแห่งความสงบ แต่เหตุใดพระสงฆ์ไทยจึงมีปัญหาทางจิตใจกันมากขึ้น?
การศึกษาและการปกครองอย่างที่เป็นอยู่นี่แหละ
ที่ทำให้พระสงฆ์ไทยทั้งหนุ่มและชรา เป็นโรคเครียดกันมาก จนนำไปสู่ปัญหามากมาย
ถึงการหาทางออกที่ไม่พึงประสงค์เช่น การหมกมุ่น อยู่กับความบันเทิงเริงรมย์จากโทรทัศน์และวีซีดี
ทั้งโป๊และไม่โป๊ การเข้าหาอบายมุข การสะสม ลาภสักการะ และการแย่งชิงอำนาจกัน
มิพักต้องพูดถึงเรื่องอื้อฉาวต่างๆ อีกนับไม่ถ้วน
อาหารอะไรที่ทำให้พระมีปัญหา?
ส่วนมุมมองของหมอ
ที่เห็นว่าพระมีปัญหาทุกวันนี้ ล้วนมีเหตุสำคัญมาจากอาหาร น.พ. ดร.
เปี่ยมโชค จึงได้ไปบรรยายให้พระฟังถึง ๒ ครั้งด้วยกัน ดังมีสาระสำคัญดังนี้
ทำไมคนเราจึงเป็นโรคกระเพาะยาวนาน
๕ ปี ๓ ปี ๔ เดือน อะไรก็แล้วแต่ เพราะเขาพบแล้วว่า แผลในกระเพาะอาหาร
เกิดจากกินอาหาร ๒ ประเภท แล้วทำให้เกิดความระคายเคือง ในกระเพาะ แล้วแผลหายยาก
อันดับแรกคือหวาน น้ำตาลจะทำให้เชื้อแบคทีเรียเลวๆ ในกระเพาะลำไส้
เจริญเติบโตได้ดี จะทำให้แผลอักเสบอยู่ตลอดเวลาและหายยาก โปรตีนสัตว์
ถ้าเรากินเนื้อ นม ไข่ เยอะ จะไปกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำย่อยโปรตีนเยอะ
น้ำย่อยโปรตีนเยอะ น้ำย่อยโปรตีนเหล่านี้ จะย่อยเนื้อกระเพาะของเราเอง
คนที่กินเนื้อนมไข่เยอะเท่ากับทำร้ายตัวเอง
นี่ยกประเด็นเฉพาะเรื่องแผลในกระเพาะอาหารง่ายๆ ถ้าใครเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
หยุดกินหวาน หยุดกินเนื้อสัตว์เยอะ ไม่เกิน ๑ เดือน แผลต้องหาย โรคกระเพาะ
ต้องหายแน่นอน แล้วทุกวันนี้ถ้าใครทานข้าวแล้วท้องอืด ท้องเฟ้อ
เรอเหม็นเปรี้ยว อันนี้หวานร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเลิกกินขนมหวาน ผลไม้หวาน
น้ำหวาน ระบบการย่อย จะกลับมาเป็นปกติ ภายในไม่เกิน ๑ เดือนหรือ ๑
อาทิตย์ด้วยซ้ำไป ในบางคนที่ยังเป็นไม่เยอะ
จะมีหลายคน พอตกเย็นๆ
แล้วหิวจนมือสั่นหรือพอใกล้ๆ เที่ยงแล้วหิวจนมือสั่น อันนั้นเป็นผล
มาจาก มื้อก่อนหน้านั้น กินหวานไว้เยอะ น้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นทันที
ไปกระตุ้นฮอร์โมน หลั่งออกมา เยอะทันที แล้วกรดน้ำตาลต่ำก็จะหิว เพราะน้ำตาลต่ำก็จะหิวและอยากกินอีก
ถ้าเรากินต่อ ก็เกิดปัญหานี้ อย่างต่อเนื่อง ในคนที่จะไม่หิวข้าวเย็น
สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือว่า จะต้องไม่แตะของหวาน เพราะหวานจะไปกระตุ้น
ให้ระดับน้ำตาลแกว่ง และหิว สลับกับอิ่ม ซึ่งจะหิวจนมือสั่น
เพราะฉะนั้น ต้องไม่แตะหวานตัวแรกเลยอันนี้ลองสังเกตเลย
พรุ่งนี้ฉันเช้า ขอให้มีคน เอาขนมหวาน ถวายเลย ๒ ถ้วยเสร็จแล้วพอฉันเข้าไป
๒ ถ้วยปั๊บ ท่านสังเกตตอน ๑๑ โมง หรือ ๑๐ โมงครึ่ง ผ่านจากมื้อเช้าไปแล้วประมาณ
๒-๓ ชั่วโมง ให้สังเกตเลยว่าหิวไหม รู้สึกมีหิวไหม อยากกินอะไรไหม
อยากฉันอะไรไหม ถ้าเป็นอันนั้นเป็นผลของเมื่อเช้า
เพราะฉะนั้น ถ้าเย็นท่านไม่อยากหิว
มื้อเที่ยงท่านต้องไม่มีของหวาน แล้วอีกตัวหนึ่ง ที่กระตุ้น ให้หิวได้
เหมือนกินน้ำตาลก็คือ กาแฟ เพราะฉะนั้น หลายท่านอาจฉันกาแฟ รู้สึกว่าสดชื่นช่วงแรก
ไม่ต้องเฉพาะพระนะครับ อย่างเวลาผมไปพูดที่ออฟฟิศนี่ คำถามที่ผมเชื่อมั่นเลยว่าถูก
๑๐๐% ก็คือ ว่าทำไม ๑๑ โมงกว่า เราจะหิวจนมือสั่น ไม่ชอบกินของหวาน
ผู้ที่ไม่ชอบกินหวาน ปรากฏว่า กินกาแฟตอนเช้า ถ้วยหนึ่งเข้มข้น กาแฟจะไปกระตุ้นฮอร์โมนในร่างกาย
มันจะไปกระตุ้น การใช้น้ำตาล กระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำตาล
เพราะฉะนั้น มันก็เหมือนกับกินหวานโดยไม่ต้องกินหวาน
ให้ตับปล่อยน้ำตาลออกมาเยอะๆ ให้ร่างกาย ใช้น้ำตาลเยอะๆ เหมือนกินหวานเลย
ลงท้าย ๑๑ โมง ก็จะหิวจนมือสั่น หยุดกินกาแฟ วันไหน ๑๑โมง วันนั้นจะไม่เป็น
กรณีเดียวกันครับ
ถ้าเย็นท่านไม่อยากฉันน้ำปานะ เที่ยงก็ต้องไม่มีหวานกับกาแฟเลย ขนมหวาน
ผลไม้หวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ทุกอย่างที่แตะลิ้นแล้วหวานครับ
(เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๕๙ ตุลาคม ๒๕๔๖) |