>เราคิดอะไร

สังคมไทยกับทศวรรษแห่งการจากไปของพุทธทาสภิกขุ
- ส.ศิวรักษ์ -
ตอน ๒ ต่อจากฉบับที่ ๑๕๘
ปาฐกถาในงาน ทศวรรษแห่งการจากไปของพุทธทาส
วันอังคารที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ณ ห้องประชุมศรีอยุธยา หอวชิราวุธ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพฯ

ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ เป็นเหตุให้พระมหาเงื่อม ไม่มีแก่ใจที่จะสมัครอยู่ต่อไปในเมืองกรุง ซึ่งเต็มไปด้วยพระ ซึ่งฉันหมาก สูบบุหรี่ รวมทั้งท่านที่เป็นโหรเอย หมอน้ำมนตร์เอย รวมถึงไสยเวท วิทยาต่างๆ อีกมาก ซึ่งปนเปเข้ามากับพุทธศาสนาอย่างแยกกันแทบไม่ออก ใช่แต่เท่านั้น การสอบเปรียญของสนามหลวง ก็ติดอยู่กับรูปแบบของการแปลที่มุ่งในทางนิรุกติ ยิ่งกว่าในการเข้าถึงอรรถธรรมให้แตกฉาน

ทั้งหมดนี้ทำให้พระมหาเงื่อมเหี่ยวห่อใจ ท่านมองไม่เห็นว่าพระธรรมวินัยจะมีอิทธิพลได้อย่างไร กับผู้คนส่วนใหญ่ แม้ในวงการคณะสงฆ์เอง ก็เข้าได้ไม่ถึงแก่นธรรมเสียแล้ว จะเอาอะไร ไปอนุเคราะห์ พุทธบริษัท โดยที่ปฏิคาหกได้แต่รับอามิสทานมาจากชาวบ้าน หากธรรมทาน ที่เพื่อนสหธรรมิกของท่าน ให้ไปยังชาวบ้านนั้น ล้วนเป็นแต่ธรรมะจากหนังสือ จากทฤษฎี ที่เข้าได้ไม่ถึงกับคนรุ่นใหม่เอาเลย อย่างน้อยในช่วงเวลาเมื่อ ๗ ทศวรรษกว่ามานี้ มีคนชั้นกลาง มากขึ้นทุกๆ ที บ้านเมืองก็ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยไม่มีใครรู้ธรรมพอที่จะเอามา ประยุกต์ เพื่อชี้นำบุคคลร่วมสมัย ได้เอาเลยก็ว่าได้ แม้พระผู้ใหญ่บางองค์ในเวลานั้น จะยังสามารถสอนธรรมได้เป็นอย่างดี กับชนชั้นสูง ในระบบศักดินาเดิม ก็ตามที

ฟางเส้นสุดท้ายสำหรับพระมหาเงื่อม ที่ช่วยให้ท่านตัดสินใจอย่างเร่งด่วนในการละเมืองกรุง กลับไปสู่ บ้านเดิมที่ไชยา ก็คือ ท่านเห็นพระร่วมวัดต้มถั่วเขียวฉันกันในยามวิกาล ท่านเห็นว่า พระพวกนั้น เป็นอลัชชี ไม่มียางอาย เพราะสมาทานสิกขาบทในเรื่องวิกาลโภชน์ แล้วไม่ทำตามนั้น

ท่านเห็นว่าท่านจะอยู่ร่วมวัดกับอลัชชีอย่างไรได้ แม้ทางไชยา พระอาจมีความรู้น้อยกว่า พระในเมืองหลวง แต่การเคร่งครัดทางศีลาจารวัตร ยังเป็นเหตุให้ท่านภูมิใจ ในศีลสิกขา ของสหธรรมิก ในบ้านเกิดเมืองนอน ของท่าน

ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญที่พระภิกษุไทยร่วมสมัยอาจไม่เข้าใจเสียแล้วเอาเลยด้วยซ้ำ โดยเราต้องตราไว้ว่า พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทของเรานั้น ต่างไปจากมหายานและวัชรยาน ตรงที่ความสำคัญสุดอยู่ที่พระเถระ ซึ่งต้องมีเวลา พิจารณาเนืองๆ ถึงโทษแม้จะเล็กน้อย ก็ต้องปลงเสีย ไม่ให้มีมลทินทางศีลสิกขา ด้วยเหตุนี้ การปลงอาบัติก็ดี การหมั่นฟัง พระปาติโมกข์ก็ดี การรับคำเตือนซึ่งกันและกันในวันปวารณาก็ดี ย่อมเป็นไป เพื่อให้พระเถระ มีศีลอันบริสุทธิ์ เพราะถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ จักเกิดสัมมาสมาธิไม่ได้ แล้วจะเข้าถึงสัมมาปัญญา ได้อย่างไร

พระเถระที่เป็นลัชชี ผู้ฝึกตนมาดีแล้วทางอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา เป็นปัจจัยหลัก ให้ท่านนั้นๆ เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ รับฆราวาสเข้ามาเป็นพระนวกะในสังคมสงฆ์ แล้วพระเถระที่เป็น อุปัชฌาย์ อาจารย์ย่อมอบรมบ่มนิสัยพระนวกะอย่างน้อยห้าปี จนช่วยตัวเองได้ ในทางธรรมวินัย จึงจักพ้น นิสัยมุตตกะ เป็นพระมัชฌิมะ ซึ่งย่อมต้องอบรมตัวเองในทางศีล สมาธิ ปัญญา อีกอย่างน้อยห้าปี จึงจะเป็น พระเถระ

ถ้าพระเถระประกอบอุปสมบทกรรมโดยไม่นำพาต่อสัทธิวิหาริกอันเตวาสิก นี่ย่อมเป็นความเสื่อม ข้อที่หนึ่ง ยิ่งให้ อุปสมบทกรรมเพราะเห็นแก่อามิส ยิ่งเป็นองค์ประกอบแห่งความเสื่อมอย่างสำคัญ นอกไปจากนั้นแล้ว การที่พระเถระ ไม่อบรมบ่มนิสัยพระนวกะให้ก้าวหน้าไปในทางธรรม โดยรู้จัก รักษาตัวในทางวินัย นั่นเท่ากับ เป็นการปิดหนทาง ไม่ให้เถรวาทมีอนาคตทางบุคลากรต่อๆ กันไปเอาเลย ยิ่งพระเถระนั้นๆ เองไม่นำพากับ ความประพฤติปฏิบัติ ตามพระธรรมวินัยด้วยแล้ว นั่นย่อมเป็นความเสียหายอันสำคัญยิ่ง จนพระเถระนั้นๆ กลายเป็นอลัชชีไป คือไม่มียางอาย ในทางพระธรรมวินัยเอาเลย จนถึงกับมีการวิ่งเต้นเดินเหิน เพื่อแสวงหา ยศศักดิ์อัครฐาน และทรัพย์ศฤงคาร นั่นก็คือจุดจบของพระศาสนาในฝ่ายเถรวาทเลยทีเดียว มิใยต้องเอ่ย ถึงว่า อลัชชีนั้นๆ พากันเป็นใหญ่ในสังฆมณฑล จนผู้ที่จะเจริญงอกงามทางสมณศักดิ์ หรือในทางการ ของพระสังฆาธิการ จำต้องเป็นผู้ที่อ่อนแอในธรรมวินัยไปตามๆ กัน จนไม่มีความกล้าหาญ ทางจริยธรรม เหลืออยู่ ในกระแสหลักของสถาบันสงฆ์อีกแล้ว เอาเลยด้วยซ้ำ

ถ้าเราจะเอาบทเรียนจากพระมหาเงื่อมกับการต้มถั่วเขียวฉันของสหธรรมิกของท่านเมื่อกว่า ๗ ทศวรรษ มาแล้ว แล้วท่านออกไปตั้งสวนโมกขพลาราม ด้วยการโยงปริยัติกับปฏิบัติให้เข้าหากัน เพื่อเข้าถึงปฏิเวธ อันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ โดยท่านจัดสวนโมกข์ให้เป็นวัดวาอารามอย่างแท้จริง ตามธรรมนิยมในสมัยพุทธกาล อย่างปราศจากความอลังการของอาคารและรูปเคารพต่างๆ โดยมีธรรมชาติที่แวดล้อมไว้อย่างเหมาะสม ให้เป็นที่สัปปายะ ทั้งแก่พระและคฤหัสถ์ รวมตลอดถึง สัตว์ต่างๆ อีกด้วย เราก็น่าจะสำเหนียกว่าเวลานี้เถร-วาทในเมืองไทย อย่างน้อยก็ในสถาบันสงฆ์ ตามระบบของทางราชการนั้น มาถึงจุดอุดตัน อันไม่มีทาง ที่จะฟื้นขึ้นได้แล้ว เถรวาทในระดับชาติ ไม่ได้ถึงเพียงวิสัญญีภาพหากถึงซึ่งมรณภาพไปแล้ว ท่านที่นุ่งสบง ทรงจีวรอยู่นั้น อย่างเก่งก็รักษา ตัวเองให้รอดได้ในทางศีลสิกขา ไม่ถึงขั้นปาราชิกเท่านั้นเอง แต่แล้ว ท่านก็ยอมร่วมสังฆกรรมกับ อลัชชี และยังไปไหว้กราบผู้ที่ดำรงสมณศักดิ์สูงส่งกว่าท่าน ทั้งๆ ที่รู้ว่านั่นคือสมี และอลัชชี และพวกนี้มิใช่หรือที่บันดาลยศศักดิ์อัครฐานให้พระผู้น้อยได้ ทั้งพวกนี้ยังเข้าถึงฐานอำนาจ ของฆราวาส ที่ปราศจากธรรมะ หาไม่ก็เข้าถึงจุดสุดยอดในทางศักดินา ซึ่งถือตนว่ารู้ธรรม (อย่างผิดๆ) เสียอีกด้วย โดยที่คฤหัสถ์พวกนี้แหละที่อุดหนุนสมีและอลัชชี จะโดยรู้เท่าทัน หรือไม่ก็ตาม แม้พระเถระบางรูป อาจจะไม่ใช่อลัชชี แต่การทำพุทธพาณิชย์ ด้วยการเสกวัตถุมงคล ออกจำหน่ายจ่ายแจก เพื่อหาเงินมาสร้างสถานที่ต่างๆ นั้น ขอถามว่าเป็นกิจของสงฆ์ล่ะหรือ ทั้งหมดนี้ เป็นตัวอย่างที่ดี ให้กับพระผู้น้อยหรือหาไม่ แล้วพระผู้น้อยเหล่านั้นเล่า เมื่อมีสมณศักดิ์ สูงขึ้นไป จะคงความเป็นลัชชีไว้ได้หรือ โดยที่ถ้าความกล้าหาญในทางจริยธรรมยังมีอยู่ ก็ยากที่จะ เขยิบสถานะขึ้นไปเป็นพระผู้ใหญ่ ในวงการ พระสังฆาธิการได้ยาก และระดับชั้นของ พระสังฆาธิการนั้นแล คือที่มาของสมณศักดิ์ที่สูงขึ้นไปได้เรื่อยๆ ยิ่งจะให้ท่านพระสังฆาธิการ ทั้งหลาย เข้าใจถึงโครงสร้างทางสังคมอันอยุติธรรมและรุนแรงด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้เอาเลย แม้ท่านที่ทรงศีลสิกขาไว้ได้นั้นเล่า ท่านเจริญจิตสิกขากันเพียงใด หรือสักแต่ว่า เป็นไปในทางสมถะ อย่างหลับตา หาไม่ก็เสกเป่าไปในทางพุทธพาณิชย์ ครั้นท่านเข้าถึงวิปัสสนา ก็มีการหาเงิน จากคนจน มาช่วยคนรวยเป็นองค์ประกอบ และแล้วก็เกิดปัญญาสิกขา จนประกาศตนว่า เป็นพระอรหันต์ แล้วก็ยังใช้วัดเป็นศูนย์ สำหรับส่งจดหมายเป็นแสนๆ ฉบับ เพื่อสนับสนุน นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตรอีกด้วย

พวกเราที่ถือตัวว่า เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์พุทธทาสไม่ว่าเราจะเป็นพระหรือคฤหัสถ์ เราต้องเห็นว่า สถานการณ์ของสถาบันสงฆ์เวลานี้ เลวร้ายกว่าที่เจ้ากูต้มถั่วเขียวกันยามวิกาลยิ่งนัก บางวัดเป็นดัง กับซ่องโจร นอกจากกินข้าวค่ำและเสพของมึนเมาตลอดจนเล่นการพนันกันแล้ว การดูภาพลามก ต่างๆ รวมถึง การประกอบ อกรณียกิจต่างๆ ขนาดที่ฆราวาสยังไม่กล้าทำ ก็มีกันอย่างกว้างขวางยิ่งๆ ขึ้นทุกที โดยที่พระผู้ใหญ่ ดูจะเลวร้าย กว่าพระผู้น้อยเสียอีกด้วยซ้ำ คือท่านนั้นๆ มีความหน้าไหว้ หลังหลอก ได้อย่างแยบยลกว่า แล้วเราจะมัวไกล่เกลี่ยอยู่กับ สถาบันสงฆ์ของบ้านเมืองอีกล่ะหรือ เราน่าจะต้องเดิน ตามทางของท่านอาจารย์ ด้วยการตั้ง สำนักปฏิบัติธรรม ที่โยงปริยัติมาสัมพันธ์ กับปฏิบัติ โดยรู้เท่าทัน ไม่แต่ตัวเราเอง หากต้องรู้เท่าทัน สังคมวงกว้าง อันมีโครงสร้างไปในทาง ที่รุนแรงและอยุติธรรมอีกด้วย เพื่อจะได้นำเอา อหิงสธรรม มาประยุกต์ใช้ ในการเยียวยาตัวเราเอง และสรรพสัตว์ในสังคม เท่าที่สติปัญญา และบารมีของเรา จะเอื้ออาทร โดยแต่ละคน แต่ละหน่วยงาน ควรโยงใยถึงกัน อย่างเป็นกัลยาณมิตร ซึ่งกัน และกัน เพื่อใช้อุปายโกศล ผดุงพระศาสนาไว้ อย่างเติบโตขึ้นมาจากข้างล่าง อย่างเสมอกัน ไม่ใช่เพื่อจะได้ ไปในทางที่สูงส่ง

เราต้องอย่าไปเชื่อทฤษฎีในเรื่องมหาบุรุษว่า ต้องเป็นคนพิเศษอย่างท่านพุทธทาสเท่านั้น จึงจะทำ การด้าน บุกเบิก เช่นนี้ได้ เราทุกคนล้วนเป็นคนพิเศษ หากเราถูกระบบการศึกษา และกลไกทาง วัฒนธรรม ของสังคมครอบงำให้เรารู้สึกด้อย หาไม่เราก็เพียงแสวงหาความเด่น เพื่อตัวเราเอง หากเราเจริญธรรม ตามบารมีทั้งสิบ โดยนำเอาทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน กรุณา และอุเบกขา มาใช้ให้แก่กล้ายิ่งๆ ขึ้น เราจะฟื้นคืนพระพุทธศาสนา ทางเถรวาท กลับมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี ภายนอกกรอบ ของสถาบันสงฆ์ระดับชาติ ในขณะที่สถาบันสงฆ์ไทย ในระดับชาติ กำลังร่วมฉลองกับคณะสงฆ์สยามวงศ์ ที่ศรีลังกา ว่าสถาบันสงฆ์ระดับชาติ ในศรีลังกา มีอายุอย่างใหม่มาได้ ๒๕๐ ปีนั้น นั่นคือการฉลองร่างทรง ที่ปราศจากจิตวิญญาณ ไปแล้ว ทั้งที่สยามประเทศและลังกาทวีปนั้นแล

ทั้งนี้ หมายความว่า พวกเราทั้งที่เป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์ที่ต้องการชีวิตและจิตใจของพระศาสนา ทางฝ่ายเถรวาท ต้องช่วยกันเริ่มกิจการใหม่ๆ ซึ่งทำได้ไม่ยาก หากต้องเจริญบารมีธรรมเรื่อยๆ ไปให้แก่กล้า แม้เราไม่จำต้องปฏิเสธสถาบันสงฆ์ในระดับชาติ อย่างที่สันติอโศกกระทำมาแล้ว ก็ยังได้ พร้อมกันนี้ เราก็ต้องก้มหัว ให้คณะสันติอโศก ที่ในบางแนวทาง เขาเดินตามแบบอย่าง ของท่านอาจารย์ เป็นแต่แผกออกไป อย่างน่าสนใจ และในบางประเด็น เขาเดินหน้าไปไกลกว่า ท่านอาจารย์ อย่างน่าอนุโมทนาอีกด้วย

ที่ว่ามานี้เป็นประเด็นที่สำคัญยิ่ง โดยที่ท่านอาจารย์ก็จากเราไปได้ ๑๐ ปีเข้านี่แล้ว ถ้ายังไม่มีสาระ ของสวนโมกข์อย่างใหม่ ที่เหมาะสมกับสมัยและไม่มีพระอย่างใหม่ ที่เข้าถึงเนื้อหาสาระ ของพระธรรมวินัย แล้วโยงไตรสิกขามาสะกดให้วัตถุนิยม ทุนนิยม บริโภคนิยม ฯลฯ เชื่องได้ ก็เท่ากับว่า เราปล่อยให้ท่านอาจารย์พุทธทาสตายเปล่า คุณค่าของท่านจะมีอยู่ ก็แต่ในข้อเขียน ของท่านเท่านั้น ถ้าเราสามารถปลุกเสกพระรุ่นใหม่ขึ้นมาได้ แทนวัตถุมงคลต่างๆ และสิ่งก่อสร้าง ต่างๆ นั่นคือปฏิบัติบูชาไปที่ทาสของพระพุทธเจ้า จนกลับไปบูชาที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลยทีเดียว ถ้าเราเริ่มได้แต่ในบัดนี้ ถึงชาตกาลท่านอาจารย์พุทธทาสครบศตวรรษใน พ.ศ. ๒๕๔๙ เราคงได้แลเห็น การเกิดใหม่ของเถรวาท ซึ่งไม่หยิ่งผยองในความวิเศษมหัศจรรย์ของนิกายตน เท่านั้น หากยังนอบน้อมถ่อมตนอย่างพร้อมที่จะเรียนรู้จากมหายาน และวัชรยาน แม้จนจาก ศาสนาต่างๆ อีกด้วย เพื่อร่วมมือกันกำจัดความโลภ โกรธ หลง ที่กลายมาเป็นทุนนิยม อำนาจนิยม และการศึกษากระแสหลัก ซึ่งรวมถึงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกระแสหลักอีกด้วย
( อ่านต่อฉบับหน้า)

(เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๙ ตุลาคม ๒๕๔๖)