ดื่มมหาสมุทร
(สมุททชาดก)
มักมากอย่างนายทุน
หาตุนทุกสิ่งไว้
โลภหลงว่า "กำไร"
ที่ไหนได้ "กำหนี้"
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงเอ่ยถึงภิกษุอุปนันทะ ซึ่งเป็นภิกษุเชื้อสายศากยวงศ์รูปหนึ่ง
ว่าเป็นผู้มีนิสัยมักมากในอาหารขบฉัน
มีจิตโลภในจีวรและของใช้ มีการรับเงินทองเหมือนชาวบ้าน ทั้งแลกเปลี่ยนของกับปริพาชก
(นักบวชพวกหนึ่งในอินเดีย) อีกด้วย จนกระทั่งใครๆ ก็ไม่สามารถทำให้ภิกษุอุปนันทะอิ่มเต็มได้ด้วยปัจจัยทั้งหลาย
บวชเป็นภิกษุแล้วประพฤติตนเป็นหนี้ก้อนข้าวของชาวบ้านอยู่
ถึงเวลาเข้าพรรษา...ภิกษุอุปนันทะจำพรรษาอยู่ในพระนครสาวัตถี
แต่มักเที่ยวไปในอาวาสต่างๆ ได้บริขาร (เครื่องใช้สอยของนักบวช) กลับมามากมาย
ทั้งจีวรและของใช้ โดยมักกล่าวถึงความเป็นอริยวงศ์
(คือข้อปฏิบัติสืบต่อกันมาไม่ขาดสายของอริยบุคคลผู้เป็นสมณะ
ได้แก่ ๑. ยินดีมักน้อยในจีวร ๒. ยินดีมักน้อย ในอาหารบิณฑบาต ๓. ยินดีมักน้อยในที่พักอาศัย
๔. ยินดีในการละกิเลสทำให้เกิดมรรคผล) เพื่อให้ภิกษุทั้งหลาย
มักน้อยสันโดษ สละบริขารที่เกินจำเป็นออก แล้วตนก็นำเอามาเป็นของตนทั้งหมด
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว
เหล่าภิกษุจึงสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า
"ท่านทั้งหลาย
ภิกษุอุปนันทศากยบุตรนั้นประพฤติตนเป็นผู้มักมากอย่างยิ่ง แต่บอกสอนผู้อื่นให้มักน้อย
แล้วเอาสมณบริขารมาจากที่ต่างๆ สะสมไว้มากมาย ไม่เป็นที่น่าศรัทธาเลื่อมใสเลย"
พอดีพระศาสดาเสด็จมา
เมื่อทรงทราบเรื่องที่หมู่ภิกษุสนทนากันแล้ว จึงตรัสติเตียนขึ้นมาว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อุปนันทะกล่าวถึงอริยวงศ์แก่ผู้อื่น แต่ตนกลับกระทำการมักมากอันไม่สมควรเลย
ทั้งที่จริงตนควรจะต้องเป็นผู้มักน้อยก่อน แล้วค่อยกล่าวสอนอริยวงศ์แก่ผู้อื่นภายหลังเพราะ...บุคคลควรตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน
แล้วค่อยพร่ำสอนผู้อื่นในภายหลัง จะไม่เศร้าหมอง
แต่อุปนันทะนี้มิใช่เป็นผู้มักมากในบัดนี้เท่านั้น
แม้ในกาลก่อนก็โลภมาก หวังได้มหาสมุทรทั้งหมดไว้เป็นของตนมาแล้ว"
จึงทรงเล่าเรื่องราวนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย
ในอดีตกาล ณ มหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ซึ่งมี เทวดา (ผู้มีจิตใจสูง)
ประจำสมุทรรักษาอยู่
มีอยู่วันหนึ่ง
ได้ปรากฏกาน้ำตัวหนึ่งบินร่อนไปมา เดี๋ยวก็โฉบลงสู่น้ำ
เดี๋ยวก็โผสู่ท้องฟ้า หากได้พบปลาหรือนกอื่นใดเข้า กาน้ำก็จะบอกห้ามสัตว์ต่างๆ
ว่า
"ท่านทั้งหลายจงดื่มน้ำมหาสมุทรเพียงแต่น้อยเถิด
จงช่วยกันรักษาน้ำมหาสมุทรเอาไว้ น้ำจะได้ไม่หมดไปเสีย"
ที่จริงกาน้ำพูดไปด้วยความโลภ
หวังดื่มน้ำในมหาสมุทรแต่ผู้เดียว จึงแสร้งกล่าวให้ผู้อื่นประหยัดไว้
ฝ่ายสมุทรเทวดาเห็นกาน้ำมีพฤติกรรมเช่นนั้น
จึงปรากฏกายถามไถ่ว่า
"ใครหนอ เที่ยวบินวนเวียนอยู่ในน้ำอันเค็ม
เที่ยวห้ามฝูงนกและฝูงปลาทั้งหลาย จนต้องเดือด-ร้อนอยู่ ท่ามกลางคลื่นในมหาสมุทรนี้"
กาน้ำถูกถามเช่นนั้น
จึงตอบไปว่า
"ข้าพเจ้าเป็นกาน้ำชื่อว่า
อนันตปายี (ผู้ไม่อิ่มในการดื่ม)
ที่ใครๆ ทั่วทุกทิศก็รู้ว่า เป็นผู้ไม่อิ่มไม่พอในการดื่มกิน
ข้าพเจ้าปรารถนาจะดื่มน้ำในมหาสมุทรใหญ่นี้ให้หมดสิ้น
เมื่อสมุทรเทวดาได้ฟังคำตอบแล้วก็ส่ายหน้า
ในความโลภโมโทสันอยากได้มากๆ ของกาน้ำ จึงนึกสมเพช แล้วเตือนสติให้รู้ตัวว่า
"บางคราวมหาสมุทรก็พร่องลดลงเอง
บางคราวก็เต็มเปี่ยมฝั่ง แต่ถึงกระนั้น...แม้ใครๆ จะดื่มน้ำในมหาสมุทรมากสักปานใด
มหาสมุทรก็ไม่ได้พร่องลง เพราะมหาสมุทรนี้ใครๆ ก็ไม่อาจจะดื่มกินให้หมดสิ้นไปได้เลย"
กล่าวจบแล้ว สมุทรเทวดาก็แสดงอาการอันน่าสะพรึงกลัว
ขับไล่กาน้ำให้หนีไปเสีย พระศาสดาตรัสชาดกนี้แล้ว ทรงเฉลยว่า
"กาน้ำในครั้งนั้น
ได้มาเป็นภิกษุอุปนันทะในบัดนี้ ส่วนสมุทรเทวดาก็คือเราตถาคตเอง
"*** พระไตรปิฎกเล่ม
๒๗ ข้อ ๔๘๗ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๘ หน้า ๓๔๔
วิธีช่วยโลกหรือช่วยผู้อื่นให้มีสันติสุขแท้จริง
คือ จงพยายามเค้นหาความเห็นแก่ตัวของตนให้ออกให้ได้มากที่สุด
สมรรถนะกับการเสียสละต่างหาก
คือคุณค่าของคน
เงินเป็นสิ่งแทน ใครเอามามาก คุณค่าของผู้เอายิ่งลด
ใครยิ่งหลงเอาแต่เงิน ค่าของตัวเองยิ่งลด
- สมณะโพธิรักษ์ -
|