>เราคิดอะไร

กีฬาโรงเรียน


นักเรียนโรงเรียนประชาบาลอำเภอแว้งนั้นถึงจะเป็นเด็กบ้านนอกก็มีสุขภาพแข็งแรงดีแทบทุกคน เพราะได้สูดอากาศ บริสุทธิ์ ได้รับประทานอาหารสด และได้อยู่ในสังคมแว้งที่ร่มเย็นอย่างยิ่ง เด็กๆ ไม่ได้สวมรองเท้าถุงเท้าไปโรงเรียนกันหรอกนอกจากประพนธ์กับไพฑูรย์ แต่ท้องนา ป่ายาง และถนนดิน ที่เดินมาเรียนหนังสือ ก็ไม่สกปรกอะไร ไม่มีเศษแก้วเศษเหล็กบาดเท้าด้วย ซ้ำบางคนยังต้อง เดินผ่าน ป่ายาง และละหารตั้งหลายกิโลเมตรกว่าจะได้เรียนหนังสือ ทำให้พวกเขาได้หัดตื่นเช้า การเดินคือการออก กำลังกาย กันตามธรรมชาติ แข้งขาและเท้าพวกเขาจึงแข็งแรงอย่างยิ่งแม้บางคนจะเปื้อนโคลนก็ตาม

ในตารางสอนของทุกชั้นเรียนจะมีชั่วโมงพลศึกษาอยู่ด้วยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ครูผู้สอนวิชานี้ซึ่งก็คือ ครูประจำชั้นนั่นแหละ จะสอนให้เด็กเล็กๆ รู้จักการเข้าแถว จัดแถว ซ้ายหัน ขวาหัน และกลับหลังหันก่อน แค่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะลูกศิษย์จ้อยๆ เหล่านั้นเป็นเด็กมุสลิมเกือบทั้งหมด พูดกันแต่ภาษามลายู โรงเรียนนี่แหละที่ทำให้เด็กๆได้อ่าน เขียน และพูดภาษาไทย ชั่วโมงพลศึกษาเป็นช่วง ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ ได้มากเพราะเด็กๆ ชอบเวลาคุณครูบอกแถว คุณครูไม่ได้สั่ง ด้วยเสียงปกติ แต่จะสั่งเสียงห้วนๆว่า

"แถว_ ตร๊ง! ขวา_หั้น! ซ้าย_หั้น! กลับหลัง_หั้น! หน้า_เดิ๊น! แถว_ยุ้ด! พัก_แถว!"

น้อยรู้สึกว่าคำสั่งของคุณครูช่างฟังดูขึงขังมีอำนาจและพวกเธอก็เหมือนทหารป้องกันประเทศ อย่างในรูป เสียจริงๆ เธอชอบชั่วโมงพลศึกษานี้มาก แต่น่าเสียดายที่โรงเรียนมีให้แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ยังซ้ายหั้น ขวาหั้น ได้ไม่ทันจุใจก็หมดชั่วโมงเสียแล้วทุกที ถ้ามีสอนทุกวันก็ดีหรอก

พอหัดแถวกันจนเด็กเข้าใจและทำตามคำสั่งได้ชำนาญแล้ว จึงถึงการสอนให้เด็กๆ รู้จักการขยายแถว คือยืน ห่างกันหนึ่งวา แล้วคุณครูก็สอนท่าบริหารร่างกายให้ มีทั้งท่ายืนกางแขน กางขา หมุนตัว แล้วก็ก้มๆ เงยๆ ด้วย น้อยรู้สึกชอบกายบริหารเหมือนกัน เธอคิดว่าถ้าเธอและเพื่อนๆทำได้พร้อมเพรียง ติดต่อกันหลายท่า ก็คงสวยดีมาก ตอนหลังนี้คุณครูใหญ่ยังออกมายืนดูที่ระเบียงบ่อยๆ


แล้ววันหนึ่งคุณครูใหญ่ก็เรียกประชุมนักเรียนทั้งหมด บอกว่าจะมีการแข่งกีฬาครั้งใหญ่ที่สุดในอำเภอแว้ง นักกีฬาจากโรงเรียนในตำบลต่างๆ จะมาแข่งกันที่สนามหน้าโรงเรียนประชาบาลอำเภอแว้ง

การแข่งขันจะมีตั้งหลายๆ ประเภท คือ วิ่งสวมกระสอบ วิ่งสามขา วิ่งแข่งระยะสั้น วิ่งระยะยาว วิ่งเปี้ยว ที่สำคัญที่สุด จะมีการแข่งฟุตบอลระหว่างโรงเรียนแว้งและโรงเรียนสามแยกด้วย เฉพาะฟุตบอล จะแข่งกันที่สนามหน้าอำเภอทีเดียว เพราะตรงนั้น เป็นศูนย์กลางของชาวอำเภอแว้ง มีที่กว้างกว่า ที่หน้าโรงเรียน และจะมีคนมาดูการแข่งขันฟุตบอลครั้งนี้มากมายเพราะทั้งสองทีมต่าง ก็เป็นทีมที่เก่ง ของอำเภอ

ระหว่างนั่งฟังคุณครูใหญ่พูด น้อยรู้สึกเหมือนหัวใจเธอเต้นไม่เป็นส่ำ เหมือนโลหิตสูบฉีดอย่างแรง ไปทั่วร่าง

จะไม่ให้รู้สึกอย่างนั้นได้ยังไง โอ้โฮ! จะเป็นการแข่งกีฬาครั้งใหญ่ที่สุด!

โอ้โฮ! โรงเรียนแว้งที่รักของเธอจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเสียด้วย!

"สำหรับโรงเรียนประชาบาลอำเภอแว้ง ครูคิดว่าถ้าเรามีการออกกำลังกายด้วยท่าบริหารต่างๆ ด้วยก็น่า จะดีนะ ที่คุณครูประจำชั้นให้พวกเธอฝึกกันก็ดูเข้าทีมากทีเดียว แต่ต้องทำให้พร้อมเพรียงกันจริงๆ จึงจะสวยงาม แล้วก็ให้ลงไปบริหารกันทั้งโรงเรียนเลยเป็นไง เอาที่สนามใหญ่หน้าอำเภอ ก่อนการแข่ง ฟุตบอล คุณครูจะช่วยกันฝึกซ้อมเด็กไหวไหม?" คุณครูใหญ่หันไปถาม คุณครูประจำชั้น ต่างๆที่นั่งคุมเด็ก อยู่ข้างหลัง ซึ่งทุกท่านก็เห็นด้วยและเต็มใจ


โอ้โฮ! ยิ่งเยี่ยมเข้าไปใหญ่เลย! คราวนี้แหละ ท่านนายอำเภอ ผู้กองและทุกคนบนอำเภอ

และโรงพักจะได้เห็นว่าเด็กนักเรียนโรงเรียนแว้งนั้นเก่งแค่ไหน ใครจะมาเก่งกว่าไม่มีร้อก!

น้อยจะได้ลงสนามหน้าอำเภอแสดงกายบริหารกับเพื่อนๆ ทั้งโรงเรียน เธอจะทำไม่ให้ผิดเลย สักท่าเดียว หูเธอจะตั้งใจฟังเสียง ปรี๊ ปริ๊ด ที่ใช้เป็นสัญญาณเปลี่ยนท่าต่างๆ ให้ดีที่สุด ต้องมีคนจ้องมองเธอ อย่างชื่นชมบ้าง แหละน่า อย่างน้อยก็พ่อกับแม่

นี่เป็นอย่างหนึ่งละที่เธอจะได้แสดง แต่เธออยากได้รับเลือกเป็นนักกีฬาลงแข่งขันด้วย เธออยากให้โรงเรียน ประชาบาล อำเภอแว้ง ของเธอชนะการแข่งขัน ให้หมดทุกประเภท จะได้เป็นโรงเรียนที่ชนะเลิศด้านกีฬา

ก็จะไม่ให้ชนะเลิศได้อย่างไรกันเล่า? โรงเรียนของเธอใหญ่ที่สุดในอำเภอแว้งนี้นี่

ไม่ใช่โรงเรียน'ดาฆะ(บ้านนอก)'ซักกะหน่อย จะไปแพ้โรงเรียนพวกนั้นได้ยังไง้!

นับตั้งแต่วันนั้น น้อยตื่นนอนแต่เช้าทุกวัน เธอออกวิ่งอย่างเร็วจี๋นำหน้าพ่อไปหมู่บ้าน จมาแก๊ะห์และทุกวัน อีกเช่นกัน ที่เธอรู้สึกว่า ตนเองวิ่งเร็วขึ้นกว่าวันก่อน ร่างกายที่ผอมแห้ง ทำให้เธอไม่รู้สึกว่าตัวหนัก ขาที่ยาวเก้งก้าง เหมือนปาด ก็รู้สึกว่าจะก้าวได้ยาวขึ้นด้วย น้อยมั่นใจมากขึ้นๆ ว่าตนเองจะได้รับคัดเลือก เป็นนักกีฬาชั้นเยี่ยม ของโรงเรียนอย่างแน่นอน เธอจะลงสมัครแข่งขันให้ทุกรายการเลย

ในที่สุดวันคัดเลือกนักกีฬาก็มาถึง พอคุณครูให้สัญญาออกวิ่งแต่ละอย่าง น้อยออกวิ่ง อย่างเร็วจี๋ หัวใจ เต้นแรง กว่าปรกติ บอกตัวเองอย่างเดียวว่า 'ต้องชนะ ต้องชนะ'

แต่แล้วเธอก็ต้องผิดหวังอย่างที่สุด ยังมีเด็กแขกหลายคน วิ่งได้ดีกว่าเธอ และเธอได้เป็นนักกีฬาตัวแทน ของโรงเรียน ประชาบาล อำเภอแว้ง เพียงสองรายการเท่านั้น คือวิ่ง ๘๐ เมตร และวิ่งสามขา คู่กับมณีพรรณ เพื่อนรัก

'สองอย่างเท่านั้นเองหรือ? เอาเหอะ ได้แค่นั้นก็ยังดีกว่าไม่ได้เข้าแข่งเลย' น้อยเริ่มคิดอย่างสงสารตัวเอง เล็กน้อย และเริ่มยอมรับว่า คนอื่นก็คงเหมือนกับตน เขาก็คงคิดอยากได้สิ่งที่เธออยากได้ แต่ในเมื่อสิ่งนั้น มีน้อย ก็ต้องแบ่งกัน เพียงแต่บางอย่าง ต้องเลือกให้แก่คนที่เก่งที่สุดเท่านั้น

ทุกบ่ายหลังเลิกเรียนแล้วเด็กๆ ทั้งโรงเรียนก็ลงสนามฝึกท่ากายบริหาร ฝึกการเดินแถวแบบ ซ้ายขวาซ้าย ปริ๊ด ปรี๊ ปริ๊ด ตอนแรก คุณครูหนักใจมาก แล้วก็ค่อยดีขึ้นๆ เด็กๆ เข้าใจสัญญาณนกหวีด ให้เปลี่ยนท่า ของคุณครูคำเล็ก ได้ตรงกันแล้ว การฝึกจึงดูพร้อมเพรียง และสวยงาม มากขึ้นทุกที จนคุณครูใหญ่ ออกปากชม คุณครูคำเล็กเพิ่มท่านอน ท่านั่งคุกเข่า ท่าสะบัดธงกระดาษสีต่างๆ ที่ตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม พันเข้ากับไม้ไผ่ ด้วยกาวแป้งกวน เด็กๆช่วยกันทำเอง ไม่ต้องลงทุนซื้อเขาให้เสียเงินของโรงเรียน และผู้ปกครอง ที่ต้องยอมลงทุน ตัดกางเกงพละสีกรมท่า ให้ลูกหลานกัน ทั้งที่หลังสงครามอย่างนั้น เงินทอง หายาก อย่างที่สุด แต่พ่อแม่ก็ยินดีร่วมมือกับโรงเรียนในงานยิ่งใหญ่ครั้งนี้

นอกจากการซ้อมท่าบริหารและซ้อมกรีฑาแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่น้อยชอบและตื่นเต้นมาก ที่ได้ฝึกซ้อมร่วมกับ นักเรียนอื่น ทั้งโรงเรียน นั่นคือการร้องเพลงที่จะใช้ร้องกันในวันแข่งกีฬา คุณครูคำเล็ก และคุณครูมนัส เป็นผู้สอนให้เด็กๆ โดยมีคุณครูประจำซั้นอื่นๆช่วยด้วย คุณครูบอกว่า พอเริ่มงาน จะต้องร้อง เพลงชาติก่อน ร้องพร้อมกันหมด ทุกโรงเรียน และตอนบ่าย ก่อนการแข่งขันฟุตบอล นักเรียนที่ฝึก กายบริหารแล้ว อย่างนักเรียน โรงเรียนแว้ง จะต้องออกไปพร้อมกันในสนาม ต้องยืนตัวตรงแบบทหาร และร้องเพลงที่ฝึกให้ อย่างไม่ผิดเพี้ยนด้วย

คุณครูบอกว่า พอจบการแข่งขันฟุตบอลแล้ว เด็กๆ และผู้คนที่มาชมการแข่งขันครั้งนี้ จะต้องพร้อมกัน ยืนตรง อีกครั้งหนึ่ง เพื่อร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี

"นี่ก็เป็นเพลงสำคัญที่สุดอีกเพลงหนึ่ง ของประเทศไทยนะ ถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงอยู่ไกล จากพวกเรา ถึงต่างประเทศ พวกเธอก็ต้องร้องเพลงนี้ให้เต็มเสียงทุกคน ต้องนึกว่า พวกเราส่งใจไป ถึงพระองค์ท่าน ด้วยเพลงสรรเสริญพระบารมีนี้" คุณครูคำเล็กบอก หลังจากอธิบาย เนื้อเพลงให้เด็กๆ ฟังจนเข้าใจกัน ทุกคนแล้ว

นอกจากสองเพลงสำคัญดังกล่าว คุณครูยังหัดให้ร้องเพลงกราวกีฬา ๑ ด้วย เพลงนี้มีเนื้อร้องว่า

๑. พวกเรานักกีฬาใจกล้าหาญ
เชี่ยวชาญชิงชัยไม่ย่นย่อ
คราวชนะรุกใหญ่ไม่รีรอ
คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน
(สร้อย) อึม อึม อึ่ม อึม
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ
ฮ้าไฮ้ ฮ้าไฮ้
กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ

แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน
ผลของการฝึกตน
เล่นกีฬาสากล
ตะล้าล้า

๒. ร่างกายกำยำล้ำเลิศ
กล้ามเนื้อก่อเกิดทุกแห่งหน
แข็งแรงทรหดอดทน
ว่องไวไม่ย่นระย่อใคร

๓. ใจคอมั่นคงทรงศักดิ์
รู้จักทีหนีทีไล่
รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
ไว้ใจได้ทั่วทั้งรักชัง

๔. ไม่เล่นเอาเปรียบเฉียบแข่งขัน
สู้กันซึ่งหน้าอย่าลับหลัง
มัวส่วนตัวเบื่อเหลือกำลัง
เกลียดชังการเล่นเห็นแก่ตัว

๕. เล่นรวมกำลังกันทั้งพวก
เอาชัยสะดวกมิใช่ชั่ว
ไม่ว่างานหรือเล่นเป็นไม่กลัว
ร่วมมือกันทั่ว ก็ไชโย

เมื่อเด็กๆ จำทำนองได้ ก็เริ่มสนุกมากขึ้นทุกทีๆ เด็กมุสลิมเล็กๆ ที่ภาษาไทยยังไม่ดีนักก็จะคอยฟัง พวกพี่ๆ ร้อง แล้วคอยรับพร้อมกันว่า ฮ้าไฮ้ ฮ้าไฮ้! อึม อึม อึม อึ่ม อึม! ตะละล้า! ชนิดที่เรียกว่า ตะโกนกันสุดเสียง ยิ่งดัง ยิ่งพร้อมกันเท่าไร ก็ยิ่งสนุกฮึกเหิมขึ้นเท่านั้น ทุกคนร้อง ร้อง ร้อง โดยไม่มีใครนึกถึง ความหมาย ในเนื้อเพลงเลย สักคนเดียว

โรงเรียนประชาบาลแว้งทั้งโรงเรียนดูผิดไปจากปรกติ ทั้งครูและนักเรียนพากันกระตือรือร้นพวกที่ต้อง ซ้อมฟุตบอล เพื่อเอาชนะโรงเรียนสามแยกให้ได้ ก็ซ้อมไป เพื่อนๆ ของน้อยอย่างสมาน วาด อุดม ได้รับเลือก เป็นนักกีฬาด้วย ทุกเช้าพวกเขาก็จะเล่าให้เพื่อนร่วมชั้นฟังถึงการซ้อมว่าเย็นวาน คนนั้น เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วพวกน้อย ก็จะเล่าบ้างว่า พวกเธอที่ได้เป็นนักกีฬา และแสดงท่า กายบริหารนั้น ซ้อมกันไป ถึงไหนแล้ว การคุยก่อนเข้าห้องเรียนจะสิ้นสุดลงด้วยการร้องเพลงกราวกีฬาบ้าง เพลงอำเภอแว้ง ชายเขตบ้าง ห้องเรียนอื่น ก็คงเหมือนกัน เพราะเสียงร้องเพลง ดังสลับกันไปทั้งชั้นบน และชั้นล่างแต่ชั้นล่าง อันเป็นชั้นมูล ก.ไก่ และชั้น ป.๑ นั้นเสียงดังที่คงได้ยินถนัดถนี่ ไปถึงบ้าน นายอำเภอ ต้องเป็นเสียง ฮ้าไฮ้ ฮ้าไฮ้! อึม อึม อึม อึ่ม อึม! ตะลาล้า! มากกว่าเสียงอื่น ตกเย็นเลิกซ้อมกีฬา และกายบริหาร แล้วก็เดินร้องเพลงกันไปตามถนน เป็นกลุ่มๆ พาให้ชาวบ้านร้านถิ่น และแม่ค้าพ่อค้า ในตลาด กระตือรือร้นไปด้วย ขนมก็ขายดีกว่าเก่า เพราะหลังซ้อมกันจนเหนื่อยแล้ว นักกีฬาเด็กๆ ก็พากันหิวงั่ก

ทั้งโรงเรียน ทั้งชาวบ้านต่างรอคอยวันแข่งกีฬากันราวกับอำเภอแว้งทั้งอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน กำลังจะมี เทศกาลใหญ่ อย่างไรอย่างนั้น

ที่บ้าน พี่แมะและน้อยกลับบ้าน ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ และเสื้อผ้าชุ่มเหงื่อ แต่จิตใจเปี่ยมด้วยความสุข และความหวัง ในชัยชนะที่เธอจะนำมาให้โรงเรียนแว้ง พี่แมะจะได้ลงวิ่งสวมกระสอบ และวิ่ง ๑๐๐ เมตรด้วย ส่วนน้อยนั้น พยายามคิดหาทางกับมณีพรรณ ที่จะวิ่งสามขาให้พร้อม และเร็วขึ้นกว่าเดิม


ในที่สุด วันอันยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของเด็กนักเรียนทุกโรงเรียนในอำเภอก็มาถึง เสียงเด็กนักเรียน จากตำบล โละจูด ๒ ตำบลตอแล ๓ พากันเดินแถวผ่านหน้าบ้านไปแล้ว พวกเขาต้องเดินกันมา ตั้งแต่ยังไม่สว่าง เพราะระยะทาง จากโละจูดมาถึงแว้งก็ตั้ง ๘ กิโลเมตรเข้าไปแล้ว ทางด้านอื่นๆ อย่างโรงเรียน ตำบล สามแยก ๔ ตำบลเจ๊ะเหม ๕ ก็ต้องเดินมาค่อนข้างไกลเหมือนกัน

"แล้วจะมีกำลังเหลือมาแข่งกับเด็กโรงเรียนแว้งเร้อ?" น้อยคิด "โรงเรียนเราชนะหมดแน่ๆ"

พ่อกับแม่นั่งอมยิ้มดูพี่แมะและน้อยสวมชุดพิเศษไปแข่งกีฬา ชุดพิเศษดังกล่าวก็คือ เสื้อนักเรียนสีขาว และ กางเกงขาสั้น สีกรมท่า ที่แม่อุตส่าห์เจียดเงินให้น้าผิน ตัดเย็บให้ รองเท้าไม่ต้องสวม อย่างนี้แหละ วิ่งได้เร็วนักหละ จะสวมรองเท้าถุงเท้าให้อับและบีบเท้าเล่นไปทำไมกัน ทั้งสองพี่น้องรู้สึกว่า ตนเองนั้น โก้หรูกว่าปรกติ เพราะวันนี้ เธอไม่ใช่แค่นักเรียน ชั้นประถม ๓ และประถม ๔ เท่านั้น เธอคือนักกีฬา ที่จะต้องชนะ นักกีฬาจากโรงเรียนอื่น ที่มาแข่งด้วย

"เอ้า ไปกันได้แล้ว วิ่งให้ตัวปลิวเลย แพ้ชนะไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวพ่อกับแม่จะไปดูลูก อยู่ริมถนน หน้าโรงเรียนนะ " พ่อให้สัญญาเป็นกำลังใจ


นักเรียนตัวน้อยๆ ต่างเข้าแถวรายรอบสนามหน้าโรงเรียนประชาบาลอำเภอแว้ง ซึ่งถือเป็นโรงเรียน ประจำ อำเภอแล้ว แต่ละกลุ่มก็มีครูกำกับอยู่ด้วยคนหนึ่ง นายอำเภอและศึกษาธิการอำเภอ มาเป็นประธาน เปิดงานแล้วด้วย

น้อยยืนตัวตรงราวกับทหาร เมื่อได้ยินเสียงคุณครูคำเล็กของเธอ ออกคำสั่งให้นักเรียนทุกโรงเรียน ร้องเพลงชาติ เสียงเพลง คงดังไปถึงตลาด หรืออาจจะถึงบ้านท่าฝั่งคลอง อย่างแน่นอน พ่อกับแม่ คงจะรีบ ออกมาจากบ้านแล้ว หรืออาจจะมายืนอยู่กับคนแว้งทั้งหลาย ที่หน้าโรงเรียนแล้วก็ได้ แต่เธอมองไม่เห็น เพราะกำลังทำหน้าที่ ยุวชนของชาติ อย่างที่ท่านศึกษาธิการว่าอยู่

เมื่อเพลงชาติจบลง การแข่งขันกีฬาก็เริ่มขึ้นทันที น้อยออกเสียงเชียร์เพื่อนๆ ที่เป็นนักกีฬา ลงแข่งกับ นักเรียน โรงเรียนอื่น จนถึงคราวที่คุณครูประกาศว่าต่อไปจะเป็นการวิ่งแข่ง ๑๐๐ เมตรของนักกีฬาหญิง รุ่นเล็ก พี่แมะของเธอ จะต้องออกไปแล้ว น้อยใจสั่น เพราะกลัวพี่แมะจะไม่ชนะ เธอดึงมือมณีพรรณ เขยิบเข้าไปใกล้ อีกนิดหนึ่ง ก่อนที่จะส่งเสียงดังออกไป อย่างไม่รู้ตัว หลังได้ยินเสียงนกหวีดว่า

"เร็ว พี่แมะ เร็ว! เร้ว พี่แมะ เร้ว! เร้ว เร้ว!"

เสียงเธอคงได้จังหวะดีกระมัง เพราะเริ่มมีเสียงเพื่อนร่วมโรงเรียน ว่าตามดังขึ้นทุกทีๆๆ จนกระทั่งพี่แมะ วิ่งหน้าเริ่ด ทั้งที่ตัวอวบอ้วน เข้าถึงเส้นชัย เป็นคนแรกจริงๆ เสียด้วย


การแข่งขันผ่านไปประเภทแล้วประเภทเล่า ทั้งสนามดูอลหม่านไปหมด จนน่าเวียนหัว ไหนจะเสียง ประกาศ เรียกตัว ไหนจะเสียง ร้องตะโกนเชียร์ของเด็กๆ ปนกับเสียงนกหวีด ปล่อยตัวนักกีฬาแต่ละชุด จากส่วนนั้น ส่วนนี้ ของสนามดังสับสนไปหมด แล้วจู่ๆ มณีพรรณ ก็สะกิดน้อย พูดว่า

"น้อย เสียงคุณครูคำเล็กเรียกเราแล้ว วิ่งสามขาหญิงรุ่นจิ๋วแน่ะ ถึงตาเราออกไปแล้วหละ"

น้อยมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว ไม่เห็นแม้แต่คู่แข่งขันจากโรงเรียนอื่น ไม่เห็นแม้แต่พ่อกับแม่ ที่มายืน ให้กำลังใจ อยู่ริมสนาม หน้าโรงเรียน ข้อเท้าซ้ายของเธอกับข้อเท้าขวาของมณีพรรณ ผูกติดกันอยู่ อย่างหลวมๆ แต่มั่นคง ไม่หลุด จากกันแน่นอน มิฉะนั้น จะถูกตัดสินให้ออกจากการแข่งขัน พอเสียงนกหวีด เตรียมตัว จากการเป่า ของกรรมการ ซึ่งเป็นครูจากโรงเรียนสามแยกดังขึ้น เธอกับ มณีพรรณ ก็เข้าไปยืนตรงเส้นเริ่มต้น ในท่าที่ซ้อมกันไว้ก่อนแล้ว อย่างลงตัว คู่อื่นเขาจะทำกัน อย่างไร น้อยไม่สนใจ เธอกับมณีพรรณ เอื้อมมือ ไขว้ไหล่กันและกันไว้ ใจเธอเต้นโครมคราม แทบจะออกมานอกอก เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น เป็นสัญญาณ ให้ออกวิ่ง ทั้งสองกระซิบกันเสียงเบา แต่หนักแน่นเป็นจังหวะว่า

"วิ่งให้ตรง วิ่งให้ตรง ๆ ๆ ๆ"

การซ้อมกันมามาก ความสูงและความผอมที่เท่าๆ กันทำให้เด็กทั้งสองวิ่งเป็นจังหวะได้ดี ก้าวเท้า ที่เป็นอิสระ และเท้า ที่มัดติดกัน ออกพร้อมกัน ไม่รั้งกัน เสียงเพื่อนข้างสนามแว่วเหมือนดังไกลๆ มาเข้าหูว่า

"เร็ว น้อย_เซาะห์ เร็ว! เร้ว น้อย_เซาะห์ เร้ว! เร้ว เร้ว!"

น้อยชำเลืองดูคู่แข่งทางซ้ายมือเธอนิดหนึ่ง เขายังตกหลังอยู่สองก้าว แต่กำลังเร่งขึ้นมา นั่นเป็นคู่ จากโรงเรียน โละจูด เธอกัดฟัน กระซิบมณีพรรณว่า

"ก้าวยาวขึ้น เซาะห์ ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา" "

รู้ตัวอีกทีหนึ่ง ก็เมื่อเสียงครูจากโรงเรียนสามแยกประกาศว่า "คู่โรงเรียนแว้งชนะ!" และเธอกับมณีพรรณ หมดแรง ล้มลงไป เสียงตบมือโห่ร้อง ดังขึ้นจากเพื่อนๆ น้อยผ่อนหายใจ แต่ยังนั่งเหนื่อยหอบอยู่ เธอมอง ไปรอบตัว คิดว่า "ชัยชนะเป็นอย่างนี้เองหรือ เขาตบมือดีใจ แต่เราจะขาดใจ เพราะความเหนื่อย อย่างนี้เอง หรือที่เรียกว่าเก่ง?"

แล้วทุกคนก็กระจายหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับที่คุณครูกรรมการ หันมาออกคำสั่งว่า

"อ้าว ชนะแล้ว รีบออกไปซี คู่อื่นเขาจะได้แข่งมั่ง"

น้อยและมณีพรรณต่างลนลานลากขาที่เชือกยังผูกติดกันอยู่ ออกไปข้างสนาม น้อยคิดในใจต่อว่า

"อะไรกัน ชัยชนะเป็นอย่างนี้เองหรือ? ไหนตะกี้นี้ยังตบมือให้เราเลย ตอนนี้ไล่เราแล้ว ว้า! แต่ไว้ตอนสาย เหอะ จะต้องตบมือให้ฉันอีก ฉันจะวิ่ง ให้เร็วที่สุดเลย คอยดู!"

"พี่แมะชนะแล้ว เดี๋ยวเราก็ต้องชนะเหมือนกันซี"


* หมายเหตุ ตั้งใจจะเขียนให้จบในหนึ่งตอน แต่อยากเติมเนื้อเพลงบางเพลง ที่ปัจจุบันร้องกันไม่ได้แล้ว ลงไปด้วย เพราะเพื่อนเก่า ที่แว้งบางคน อย่างสมาน มหินทราภรณ์ อุตส่าห์โทรศัพท์ทางไกล มาร้องให้ฟัง พร้อมกับบอก ชื่อผู้แต่งให้ด้วย จึงตัดสินใจขยายเป็นสองตอน ขอขอบพระคุณ อาจารย์เรืองอุไร กุศลาสัย พลตรีหญิง อุษณีย์ เกษมสันต์ ณ อยุธยา คุณณรงค์ชัย ทิพยมณี ที่ช่วยกันนึก เนื้อเพลงกราวกีฬาให้ รวมทั้งขอขอบใจ อัญชลี ไมตรี ที่ให้ข้อมูลว่า นักเรียนในปัจจุบัน ร้องเพลงนี้กันอย่างไร

เขียนตอนแรกนี้จบด้วยความทุลักทุเลและช้ามาก เพราะเกิดการเสียชีวิตของบุคคลใกล้ชิดถึง ๒ คน ติดๆ กัน กับยังมีปัญหา อีกมากมาย เพิ่งจะเขียนเสร็จเมื่อ ๑๐.๔๗ น.วันที่ ๓๐ ต.ค. ๔๖ ที่บ้านซอยไสวสุวรรณ กทม. อาจจะไม่ทันลงพิมพ์ฉบับนี้เสียแล้วก็ได้

๑. เจ้าพระยาธรรมศักดิมนตรี, โคลงกลอนของครูเทพ เล่ม ๒, คุรุสภา: ๒๕๒๖, นน. ๔๗_๔๘. และ หอมรดกไทย, บก.ทหารสูงสุดเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสกาญจนาภิเษก, ๒๕๓๙, internet.

เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเป็นหนึ่งในเจ็ดนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงรุ่นแรกสุดที่ไปศึกษาวิชาครู ณ Burrough R0ad C0llege ตอนใต้ของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สถาบันนี้ ปัจจุบันยกระดับขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยแล้ว ในยุคโน้นการเรียนการสอน จะเน้นหนักทางด้านกีฬา และพลศึกษา จึงพอสันนิษฐาน ได้ว่า ผลแห่ง การศึกษาที่นั่น น่าจะมีส่วนทำให้ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี กลับมาหนุนความคิด เรื่องให้พลศึกษา เป็นหนึ่งในองค์สาม ของการศึกษาของเด็กไทย ร่วมกับพุทธิศึกษา และจริยศึกษา

สำหรับเพลง "กราวกีฬา" นั้น เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีแต่งขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๔๗๗ เพื่อให้ เด็กนักเรียน ร้องในการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและเพื่อจูงใจเด็กให้เล่นกีฬา ในระยะแรกมีผู้ไม่เห็นด้วยกับท่านมากมายเพราะเกรงจะทำให้เด็กเสียการเรียนและเล่นรุนแรง แต่เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ยืนหยัดด้วยความเห็นว่าจะเป็นการช่วยฝึกเด็กให้มีความมั่นใจในตนเอง กล้าตัดสินใจ มีสมาธิและไหวพริบ กับจะทำให้เด็กรู้จักการรวมกำลังเป็นคณะ

เนื้อเพลงนี้คัดลอกมาอย่างถูกต้องด้วยเห็นว่านักเรียนในปัจจุบันนี้ ร้องไม่สู้จะถูกกันนัก เนื้อร้องก็ตัดมา ร้องกันสั้น เพียงท่อนแรกเท่านั้น แถมยังเปลี่ยนเนื้อร้องเสียด้วย คือ เปลี่ยนจาก "คราวแพ้ก็ไม่ท้อกัดฟันทน" เป็น "คราวแพ้ก็ไม่ขอเยาะเย้ยใคร"

๒. ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านอยู่ในตำบลบูเก๊ะตาที่มีด่านตรวจคนเข้าเมืองติดกับลำคลองกั้นเขตแดน ระหว่าง ประเทศไทย และประเทศมาเลเซีย เป็นเส้นทางเข้าสู่น้ำตก สิรินธร และถนนสู่ป่าฮาลาบาลา บนเทือกเขา สันกาลาคีรี กิ่งอำเภอ โต๊ะโมะ เดิมและอำเภอสุคิรินในปัจจุบัน

๓. เส้นทางนี้มีหลายหมู่บ้าน เคยมีทำนบกั้นน้ำ แต่ได้พังทลายเสียนานแล้ว ปัจจุบันกลายเป็น ตำบล แม่ดง มีบึงน้ำ สาธารณะกว้างใหญ่ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และมีเส้นทาง ที่สามารถไปร่วมกับ ทางขึ้น โต๊ะโมะ ได้ด้วย กับเป็นบ้านเกิดของศิลปินนักร้องวัยรุ่นที่ชื่อ วงลาบานูน ในปัจจุบัน

๔. ปัจจุบันเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอแว้ง มีทางแยกเข้าอำเภอแว้งทางหนึ่ง ผ่านสากอ เข้าสู่อำเภอ สุไหงปาดี ทางหนึ่ง กับอีกทางหนึ่งผ่าน ไม้ฝาด ตันหยงมะลิ เข้าสู่อำเภอสุไหงโกลก

๕. เป็นถนนเก่าเส้นทางขึ้นสู่เหมืองทองโต๊ะโมะในสมัยที่ยังมีการรับสัมปทานขุดทองได้มากที่สุด ในประเทศไทย ปัจจุบันเป็นเส้นทางขึ้นสู่อำเภอสุคีริน บนเทือภูเขาสันกาลาคีรี

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๖-