คิดคนละขั้ว -
แรงรวม ชาวหินฟ้า -
มิส
คานทอง
น่ายกย่องหรือน่าขบขัน
ไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของผู้จัดการประกวด"มิสคานทอง"
ต้องการให้เป็นที่ขบขันเหมือนการประกวด "ธิดาช้าง" หรือยกย้องเชิดชูกัน?
แต่ผลการประกวดยังไม่ทันข้ามปีตำแหน่ง"มิสคานทอง" ก็มีอันต้องเป็นไป
ทำให้ น.ส.พ.มติชน ฉบับวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๖ ขึ้นหัวข่าวว่า
*
เวทีคานทองป่วน..สั่งปลดพี่สาวช่างภาพชื่อดัง
เพิ่งจัดปีแรกก็วุ่นเสียแล้วสำหรับเวทีการประกวด
"มิสคานทอง" ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
หลังจากประกาศผลเพียง ๖ เดือน คณะกรรมการมีคำสั่งปลด น.ส. สิริรัตน์
นิมิตภาคย์ พี่สาวของ ช่างภาพชื่อดังอย่างนาย อมาตย์ นิมิตภาคย์ ให้พ้นจากตำแหน่ง
"นางงามมิตรภาพ" เสียแล้ว
เหตุเพราะคุณสมบัติที่แจ้งมาตอนแรกไม่ตรงกับความเป็นจริง
โดยในใบสมัครเขียนไว้ว่าจบการศึกษาเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
แต่เมื่อสืบสาวราวเรื่องไปยังมหาวิทยาลัย พบว่า น.ส. สิริรัตน์ ไม่ได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ได้กรอกไว้ในใบสมัครของผู้เข้าประกวด
อีกทั้งยังมีลูกอีกด้วย เลยเป็นเหตุให้ทางกองประกวดต้องปลดเธอออกจากตำแหน่ง
แต่เจ้าตัวออกมาตอบโต้ทันทีทางหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่าผู้จัดการประกวดมิสคานทองเป็นพวก
๑๘ มงกุฎ ทั้งที่กองประกวดรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตนมีลูกแล้วก็ยังให้เขียนใบสมัครเพราะเห็นว่ามีนามสกุลดัง
อยากให้สร้างสีสันให้กองประกวด
หลังจากโต้กันไปโต้กันมาพักใหญ่ในที่สุดปัญหาก็บานปลาย
กองประกวดเข้าแจ้งความ น.ส. สิริรัตน์ ในข้อหาหมิ่นประมาท แถมยังยึดเงินรางวัล
สายสะพาย และถ้วยเกียรติยศไปเกลี้ยง
งานนี้ทั้งสองฝ่ายก็ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมามีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลกันไป
แต่คนที่หยิบชิ้นปลามันไปได้ เห็นทีไม่พ้น น.ส. นพวรรณ ชินวัตร ลูกพี่ลูกน้องของ
นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ครั้งประกวดกลับบ้านมือเปล่าไม่ได้รางวัลอะไร
หนนี้เธอถูกเลือกให้มารับตำแหน่ง "นางงามมิตรภาพ" ไปแทน
เมื่อรู้ข่าวเจ้าตัวก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
และเดินทางจากพัทยาเข้าเสียบตำแหน่ง วันที่ ๙ ตุลาคม ส่วนความบาดหมางใจของกองประกวดกับพี่สาวช่างภาพชื่อดัง
จะจบยังไงตามดูกันต่อไป
คงต้องขอแสดงความเสียใจกับ
น.ส สิริรัตน์ ที่ถูกปลดจากตำแหน่งมิสคานทอง เพราะเธอเคยมีลูกแล้ว
แต่ถึงอย่างไรถ้าตั้งใจอยู่เป็นโสดให้ได้ตลอดไปนั่นก็คือหัวใจของ "มิสคานทอง"
ตัวจริงของจริง ตรงกันข้ามหากใครก็ตามแม้จะได้รับตำแหน่งมิสคานทองไปครอง
แต่ในหัวใจอยากจะได้ฝาละมีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเธอก็เป็นได้แค่ "มิสคานทองของปลอม"
หรือเป็นมิสคานทองเพราะยอมจำนนเท่านั้นเอง
ความจริงการตั้งใจอยู่เป็นโสดได้นั้น
ย่อมเป็นการช่วยโลกโดยตรง เพราะผู้คนกำลังจะล้นโลกอยู่แล้ว แลัวยังเป็นการช่วยตนโดยเต็มๆ
เพราะการแต่งงานนั้นคือการหาห่วง (ลูก) ผูกคอ หาทรัพย์ผูกขา หาสามี
(หรือภรรยา) ผูกมือ ตอนตายถ้าใครไม่อยากถูกมัดตราสังข์ ด้วยด้ายสายสิญจน์
ที่มัดมือมัดขามัดคอ ก็ต้องอยู่เป็นโสดให้ได้ ไม่มีลูกหนักหัว ไม่มีผัวหนักใจ
สบายกว่ากันเยอะเลย!
ธรรมดาของผู้หญิงที่ตกจากคานเมื่อไหร่
ก็ไม่ต่างอะไรกับ "หุ้น" ตก เธอต้องดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะไม่ให้สามีนอกใจ
หรือทิ้งเธอไป แต่เธอจะโชคดีได้ผู้ชายที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีกับเธอตลอดไปได้อย่างไร
? พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฏกเล่มที่ ๑๘ ข้อ ๔๖๒ ถึงทุกข์ของสตรีที่ต้องแต่งงานมี
๕ ประการซึ่งเป็นทุกข์ที่บุรุษไม่ต้องมี
ทุกข์ของหญิงที่ตกคาน
๕ ประการดังนี้
๑. สตรีเมื่อเป็นสาวไปสู่สกุลแห่งสามีย่อมต้องพรากจากญาติทั้งหลาย
๒. สตรีย่อมมีโรคอยู่ทุกๆ เดือน
๓. สตรีย่อมมีครรภ์
๔. สตรีย่อมคลอดบุตร (คลอดแต่ละครั้ง เจ็บปวด ทรมาน เป็นตายเท่ากัน)
๕. สตรีต้องทำหน้าที่บำเรอบุรุษ (เป็นที่ระบายอารมณ์ทั้งราคะโทสะของบุรุษ)
ดังนั้น ใครได้เป็น
มิสคานทองจึงเป็นเรื่องที่น่ายกย่องชมเชยมากกว่าจะเอามาทำให้ดูตลกขบขัน
และผู้เป็นมิสคานทอง (ของจริงและถาวร) ก็ควรได้แสดงบทบาทให้เห็นว่า
ผู้หญิงนั้นสามารถพึ่งตนเอง โดยไม่ต้องรออาศัยกินน้ำใต้ศอกจากผู้ชายอีกต่อไป
และนี่ก็คือการยกฐานะของสตรีให้เท่าเทียมเสมอชายที่แท้จริง
-เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๖๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๖-
การทำตนให้สภาพภายนอกของเรา
"ดี" ไว้เสมอนั้น
ก็ดีมากแล้วสำหรับมนุษย์
ยิ่งได้ทำ "ใจ" ของเราให้สะอาด
ไม่สะสมความพยาบาท
ไม่สะสมความใคร่อยาก
ไม่สะสมความเบียดเบียนให้ได้ ก็ยิ่ง "ดียิ่ง" ขึ้นไปอีก
และนั่นแลทางเดิน
ไปสู่นิพพานแท้ๆ
|