เวทีความคิด -
เสฏฐชน -
เพื่อชีวิตวัยรุ่นที่ดีกว่า
เมื่อวันพุธที่
๖ สิงหาคม ๒๕๔๖ ผู้เขียนตอบรับการเดินทางไปอภิปรายที่โรงเรียนศรีพฤฒา
ร่วมกับคุณอรสม สุทธิสาคร เพราะเห็นว่าน่าจะให้ประโยชน์แก่เยาวชนในยุคนี้บ้าง
แม้เขาจะไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรมโดยตรง เพราะการมีโอกาสอย่างนี้เป็นส่วนหนึ่ง
ที่จะช่วยกล่อมเกลาจิตใจของเยาวชน เป็นงานศาสนาโดยตรงอยู่แล้วที่ศาสนบุคคล
ต้องถือเป็นหน้าที่ ต้องรับผิดชอบด้านนี้ ยิ่งรู้ว่าคู่อภิปรายคือ
คุณอรสม นักเขียนอุดมการณ์ ที่อาศัยสร้างผลงานจากจุดยืนเสนอความจริงต่อสังคม
มีความปรารถนาดี เห็นอกเห็นใจ ต้องการให้สังคมดีขึ้น ต้องการช่วยเหลือบุคคลที่เธอได้ข้อมูลเหล่านั้นมา
ทั้งเจตนาอาศัยสื่อ การเขียนชี้แนะ ตักเตือน ให้ความรู้แก่ผู้อ่าน
โดยไม่ได้นั่งเทียนเขียน คิดขึ้นเองมาเขียน เอาความรู้สึกของตัวมาเขียน
แต่เธอต้องบุกบั่นฝ่าฟันหนทางเข้าไปให้ถึงตัว เข้าไปสนทนา ถึงถิ่นข้อมูลเนื้อเรื่องเหล่านั้น
ก็ยิ่งเป็นน้ำหนักทำให้หนังสือมีคุณค่า มีอรรถรสสาระยิ่งขึ้น
แหล่งโสเภณี แหล่งกักขังนักโทษ แหล่งอบายมุข แหล่งก่อเหตุการณ์ร้ายๆ
ฯลฯ ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยนักสำหรับผู้หญิง แต่คุณอรสม ก็ยอมอุทิศตนเพื่อรักษาคุณภาพของหนังสือ
เพื่อหลักฐานที่แท้จริง ให้คนอ่านเห็นภาพลักษณ์ที่ชัดเจน นับว่าเป็นการลงทุนที่ใจถึง
ทำให้ผู้อ่านได้รับรสชาติจากการอ่านอย่างถึงใจเหมือนกัน
ฉะนั้นขณะที่รอให้ทางผู้จัดรายการเตรียมสถานที่อภิปราย
เราจึงคุยกันอย่างสนิทสนม ประหนึ่งรู้จักกันมาก่อน ทั้งๆ ที่เป็นครั้งแรกจริงๆ
เพราะเรามีหัวใจเดียวกัน คือความปรารถนาดีต่อสังคม หวังดีต่อเยาวชน
ต้องการกู้สถานภาพที่ดีๆ ให้กลับคืนมาสู่มวลมนุษย์ ปะเหมาะกับที่ผู้เขียนได้อ่านหนังสือของเธอมาบ้างแล้ว
ที่เธอเขียนไว้หลายเล่ม เช่น ชีวิตในพันธนาการคุก สนิมดอกไม้ เด็กพันธุ์ใหม่วัย
X อาชญากรเด็ก ฯลฯ เป็นภาพสะท้อนให้เห็น ถึงจุดยืนในการเขียนชัดเจน
เธออาศัยรูปนักเขียนเพื่อให้ผู้อ่านบริโภคได้ง่ายขึ้น มิฉะนั้นก็คงล่อแหลมต่อผลสะท้อนกลับที่ไม่โสภานัก
ในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องชีวิตอย่างนี้ๆ
สองชั่วโมงกว่า
ในห้องอภิปรายใหญ่ ที่นักเรียนไม่ต่ำกว่า ๑,๕๐๐ คนมานั่งฟัง รวมทั้งอาจารย์ที่มาดูแลนักเรียนอยู่ด้วย
ประมาณเกือบ ๑๐ คน โดยอาจารย์เป็นพิธีกร ดำเนินรายการเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้อภิปรายทั้งสอง
คอยป้อนคำถาม ให้ช่วยกันขยาย เพิ่มเติม ทำให้ตรึงคนฟังได้เป็นที่น่าพอใจ
ปัญหาใหญ่อยู่ที่การป้อนคำถาม
เพื่อยิงให้ตรงเป้าหมายของการจัดอภิปราย และจุดประสงค์ ตรงมุ่งประโยชน์แก่ผู้ฟัง
ที่จะเกิดเป็นสติปัญญานำไปแก้ไขปัญหา ดำรงชีวิตของเขาต่อไป สอดคล้องกับข่าวจากหนังสือมติชนฉบับวันพฤหัสที่
๗ สิงหาคม ๔๖ ตีพิมพ์ว่า น.พ.สุกมล วิภาวีพลกุล จิตแพทย์ คลินิกครอบครัวและสุขภาพทางเพศ
ร.พ.พญาไท ๒ บรรยายว่าวัยรุ่น ปัจจุบันฝักใฝ่ในเรื่องเพศกันมากขึ้น
ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จนกระทั่งทำให้เกิด พฤติกรรมทางเพศ ที่พลิกแพลง
น่าเป็นห่วงยิ่งขึ้น ตรงกับความจริงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนต่างๆ ที่เป็นสหศึกษา
จนทำให้ผู้ทำเหตุนั้น ต้องเสียการเรียน เสียเวลาของชีวิตไปเปล่าๆ บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย
อนาคตดับวูบ เป็นปัญหาร่วมกัน ตั้งแต่สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา
สถาบันการเมือง สังคม ศาสนา เพราะการกระทำนั้นๆ เป็นทั้งการเบียดเบียนตนและคนอื่น
ก่อทุกข์ให้แก่ตนและผู้เกี่ยวข้อง
เช่นเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศที่ยังไม่ถึงเวลาอันเหมาะสม
การมั่วสุมกับยาเสพติด การบริโภควัตถุตามค่านิยมที่เกินฐานะ เป็นรากฐานของการก่อเกิดอาชญากร
มิจฉาชีพต่างๆ เด็กนักเรียนระดับตั้งแต่มัธยม ๑ ไปจนกระทั่งมัธยม ๖
คงต้องพบกับพฤติกรรมเหล่านี้แทบทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าจะยอมเปิดเผยออกมาหรือไม่
ทางรัฐจักร ศาสนจักรก็พยายามจะเข้าไปมีบทบาท ส่วนร่วมในการแก้ปัญหาเหล่านี้
โดยทางสถาบันราชภัฏเปิดชั้นเรียนให้ภิกษุสามเณร เรียนคณะที่จะเป็นครู
ได้ถวายปริญญาบัตรภิกษุสามเณรที่ผ่านการสอบแล้วถึงที่วัด เพื่อไม่ให้ดูประเจิดประเจ้อเกินไป
มหาวิทยาลัยมหิดลศาลายา ก็ได้จัดห้องฟังเล็คเชอร์พิเศษ แยกภิกษุสามเณร
ชีออกจากฆราวาส เพื่อจะได้เข้าห้องเรียนได้สะดวกเหมาะสมขึ้น ฝ่ายศาสนจักรวัดวาต่างๆ
ก็หาผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการให้เข้ามาถวายความรู้แก่ภิกษุ สามเณรในวัด
เพื่อท่านจะได้มีวิชา มีเทคนิคไปใช้สอนเด็กต่อไป มองในด้านหนึ่งก็ดูดี
เสมือนเป็นความสามัคคี ร่วมกันรับผิดชอบด้วยกันในฐานะเป็นพลเมืองไทย
ไม่ว่าจะอยู่ในรูปสมมติไหน ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค กีดกั้นในการทำกุศล
ในการทำความดี เพื่อช่วยคลี่คลายสภาพที่สังคม ไม่ต้องการให้เสื่อมทราม
ยิ่งขึ้น ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากหน่วยงานต่างๆ มากขึ้นเหมือนกัน
แม้ประชาชนเองก็มีโอกาส ตรวจสอบภิกษุสามเณรมากขึ้นเช่นกัน อันเป็นบรรยากาศของโลก
ยุคไร้พรมแดน เป็นวิธีการหนึ่ง ของการระบายทรัพยากรบุคคล ให้ออกไปทำประโยชน์
เพื่อชนเป็นอันมากด้วย
หมดสมัยแล้วสำหรับรูปแบบในทำนอง
"อยู่คนละโลก" เมื่อบวชแล้ว เพราะแม้นักบวช ไม่ไปยุ่งเรื่องชาวบ้านโดยการพาตัวไป
โลกของชาวบ้านก็ใกล้ชิดติดกันอยู่นั่นเอง จากสื่อสาร อินเตอร์เน็ต
โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ มิหนำซ้ำอาจจะร้ายแรง ให้ผลซับซ้อนมากกว่า อย่างที่ภาพถ่าย
จากข่าวหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่ง ที่ถ่ายภาพเณรตุ๊ด เกย์ ออกมาเผยแพร่สู่ประชาชน
เขย่าศาสนจักรให้กระเทือนไม่น้อย
เมื่อเร็วๆ นี้
แม้ในศาสนาคริสต์เองก็กำลังมีปัญหาในเรื่องนี้ เมื่อข่าวการแต่งตั้งผู้เป็นเกย์
ขึ้นเป็นผู้บริหารคริสต์จักร ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม
ไม่เหมาะสมขึ้น ในวงการคริสต์ศาสนาเหมือนกัน ก็แสดงว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในความสนใจ
ของประชาชน ทุกศาสนา
จะกล่าวไปไยถึงวิถีชีวิตคนชาวบ้านที่ยังเสพกามคุณ
๕ ยังระคนอยู่ด้วยรูป รส กลิ่น แสง สีเสียงต่างๆ นานาที่ต้องวุ่นวายอยู่กับกิจกรรมเหล่านั้นตลอดเวลา
ยิ่งถ้าใครไม่คำนึงถึง หลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสเรื่อง "มิจฉาอาชีวะ"
เกี่ยวกับอาชีพที่ชาวพุทธไม่ควรทำเช่น การค้าเครื่องประหาร ค้าคน ค้าเครื่องยาพิษของเสพติดแล้วไซร้
โลกนี้จึงเต็มไปด้วยอาชีพ ที่ผิดกฎหมายต่างๆ มากมาย เป็นภาระหนักของตำรวจที่ต้องมาทำงานหนักมากขึ้น
และแม้ในอาชีพของตำรวจเอง ก็ยังมีเรื่องส่วย เรื่องการทุจริตต่ออาชีพตำรวจซ้อนอยู่มากมาย
ไม่เฉพาะแต่ตำรวจเท่านั้น อาชีพอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน จะเฟ้นหาความสุจริตจริงๆ
ไม่มีประโยชน์ตน แอบแฝงซ้อนอยู่ได้สักกี่มากน้อย
ทั้งนี้เพราะคนไม่ได้ทำงานเพื่องาน
แต่มักทำงานเพื่อเงิน เงินคือเป้าหมายในชีวิต เพราะเงิน สามารถบันดาลกามคุณ
๕ ให้แก่ทุกคนตามปรารถนา อาจซื้อเวลาตายของคนได้ด้วย เช่นกับที่เศรษฐีทั้งหลายที่เป็นโรคเรื้อรัง
ต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นแรมปี ทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะในขณะที่มีสภาพร่างกายดีๆ
อยู่ ก็ใช้ร่างกายนั้นไปทำร้ายทำลายตัวเอง เช่น เวลานอนไม่นอน เพราะมัวไปเที่ยวกลางคืน
ใช้ร่างกายไปเสพเมถุนธรรมนอกศีลธรรม บุกป่าฝ่าน้ำไปที่ไกลแสนไกล ข้ามน้ำข้ามทะเล
ข้ามฟากฟ้าแดนดินไปเที่ยว ใช้เวลาไปกับการผลาญล้างคุณภาพชีวิต จนกระทั่งหมดเวลาแก้ไขยามความชรามาถึง
สำหรับปัญหาของผู้ใหญ่ ศาสนาก็มีส่วน เข้าไปชำระล้างไม่น้อยเหมือนกัน
เช่นต้องแนะนำกันเรื่องคุณสมบัติของอุบาสก อุบาสิกาที่ดีไว้สำหรับให้เขาเหล่านั้นนำมาสอบทวนตัวเอง
สำหรับเด็กๆ เล่า
ผู้ใหญ่ก็ต้องใส่ใจติดตามดูพฤติกรรม เพื่อตักเตือน ป้องกันก่อน แม้จะต้องทำใจ
กับทีท่าปฏิกิริยาโต้ตอบจากเด็กบ้างก็ต้องยอมเสียสละ หากต้องการให้เด็กมีแนวทางที่ถูกต้อง
เพราะเด็กในยุคนี้มีความรอบรู้ไปไกลจากตัวเองเพิ่มขึ้น การขยายวงกว้างของเครื่องสื่อสาร
ทำให้เด็กรู้อะไรก่อน หรือเกินวัย แต่ผู้ใหญ่อาจทำหน้าที่ช่วยกลั่นกรอง
เป็นที่ปรึกษาให้แง่คิด สำหรับให้เขามีทางเลือกหลายๆ ทาง เพราะในวัยคาบเกี่ยวกันระหว่างความเป็นผู้ใหญ่ก็ยังไม่เต็ม
ความเป็นเด็กก็ยังไม่พ้น เป็นความลักลั่นที่ทำให้เด็กเองก็อาจสับสน
ไม่แน่ใจ จึงทำให้เกิด การลองผิดลองถูกนำร่องไปก่อน การให้โอกาสบางครั้งก็จำเป็น
หรือการต้องยอมเสียอะไรไปบ้าง เพื่อมุ่งหวังอะไรกลับมาทดแทน ผู้ใหญ่ต้องกล้าตัดสินใจ
ดีกว่าการผลัก ชี้ว่าเป็นความผิด ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่โยนกันไปโยนกันมาตลอด
หาข้อสรุปไม่ได้ ดังเช่นคำถามจากเด็กนักเรียน ที่เข้าฟังการอภิปรายในวันนั้น
นักเรียนหญิงถามว่า
หากเกิดพลาดพลั้งไปมีเพศสัมพันธ์แล้วตั้งครรภ์จะทำยังไง เพื่อให้เสียอนาคต
ก็ต้องบอกเขาว่าต้องรับผิดชอบ ในสมัยนี้ตามสถาบันในเมืองไทยเขาไม่ปฏิเสธคนท้องก็มี
ถ้าเรายอมรับว่าเราก็มีส่วนผิด เรารับส่วนผิดของเรา ส่วนที่เป็นความผิดของอีกฝ่าย
ถ้าเขาไม่ยอมรับ ก็เป็นส่วนของเขา ไม่ต้องเอามาปะปนกัน เราทำผิด เรารับผิด
เรานั่นแหละเป็นฝ่ายถูก แต่ถ้าเรามัวแต่เกี่ยงให้เขารับด้วย หรือเราปฏิเสธไม่รับ
เพราะเราจะเลียนแบบเขาว่าเขายังไม่รับเลย เราจะรับทำไม? หากเป็นเช่นนั้น
เราลืมไปว่าเราก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขา แต่ถ้าเรารับเสีย เราก็ชื่อว่า
เป็นคนดีกว่า คือเป็นคนตรง ทำผิดก็ยอมรับผิด หากเรามุ่งตรงความดี ความถูก
เราก็จะไม่รู้สึก เสียหน้าอะไร เราจะไม่อายที่ไปตั้งครรภ์ เพราะเรามีเพศสัมพันธ์
ผลของเพศสัมพันธ์ก็คือ การตั้งครรภ์ จะไปตั้งความหวัง หรือระเริงลืมคิดถึงเรื่องนี้
ซึ่งหาได้น้อยมากที่จะไม่ตั้งครรภ์ หากไปเกี่ยวข้องกันถึงระดับนี้แล้ว
เราก็จะทำใจได้ การยอมรับความผิดเป็นความดี
แต่การไม่ยอมรับความผิดนั่นต่างหากคือความไม่ดี เมื่อเราคิดถึงข้อนี้ได้
เราก็จะไม่อาย คนทำดีจะอายทำไม คนทำไม่ดีต่างหากที่ต้องอาย ยิ่งอีกฝ่ายไม่รับมากแค่ไหน
เรายิ่งต้องรับ เพื่อให้เห็นข้อแตกต่างชัดเจน คือคนรับน่ะแหละถูกแล้ว
แต่คนไม่รับต่างหากเล่าคือคนผิด
ตรงกันข้ามกับการไปทำแท้ง
เพราะการทำแท้งเป็นการทำผิดเพิ่มจากความผิดเก่าที่ทำไปแล้ว
มิหนำซ้ำจะยิ่งทำให้เรื่องบานปลายออกไปอีก เข้าในทำนองเสียน้อย
เสียยาก เสียมาก เสียง่ายไปอีก ทำไมไม่แก้ปัญหาด้วยวิธีง่ายๆ ไปแก้ปัญหาให้ยุ่งยากทำไม
การทำแท้งทำให้เกิดผลเสียคือ "บาป" และอาจถึงแก่ชีวิต อาจติดเชื้อจากการไปทำเช่นนั้น
และลืมคิดถึงเมื่อเราชรา เด็กโตขึ้น เราจะไปเรียกร้องหาความยอมรับจากเขาภายหลังไม่ได้
แล้วจะต้องเสียใจซ้ำซ้อนเข้าไปอีก สู้เรายอมรับ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
แล้วจำไว้เป็นบทเรียน เราก็จะมีแต่ได้ ยอมลำบากหน่อยหนึ่ง จวบจนเด็กโต
เราก็เดินถึงปลายทางแล้ว แต่ถ้าเราทำให้นอกเหนือจากความจริง บิดเบือนความจริง
เราก็จะยิ่งประสบกับปัญหามากขึ้น ไม่ต่างจากดินพอกหางหมู หรือยอมควักเนื้อร้ายออก
แทนที่จะปล่อยให้มันกินลึกถึงกระดูก เส้นเลือดโน่นเทียว
หรือจะออกในรูปของการไปเที่ยวเตร่
เพื่อระบายความทุกข์ แทนที่จะแก้ทุกข์โดยการตั้งตน อยู่บนความทุกข์
ในขณะที่เรากำลังดำเนินการแก้ไขให้ถูกตรงประเด็นย่อมดีกว่า เพราะไม่ต่างจากเราเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อย
แต่เราก็รู้ปลายทาง เห็นปลายทางแล้ว เราย่อมคำนวณได้ว่าเราจะต้องทนทุกข์อยู่อีกเท่าใด
คนที่บูชาความจริงย่อมสรรเสริญ
ฉะนั้นอย่าแก้ปัญหาด้วยการไปสร้างปัญหาเพิ่ม
ทำผิดเรื่องเพศแล้วไปค้าประเวณีเลย หรือทำผิดเรื่องนี้แล้วก็ประชดไปดื่มเหล้า
เสพยา เพื่อหนีความจริง ไม่ได้ไหวรู้เลยว่า นั่นคือตัวเองกำลังไปขมวดปมของความทุกข์เพิ่มขึ้น
แม้ผู้ใหญ่เองก็ต้องให้โอกาส
ให้อภัย เพื่อผู้ที่ทำผิดจะได้แก้ไข อย่าซ้ำเติมประชดประชัน แดกดันให้ผู้ทำผิดหัวใจกระเจิงไปไหนต่อไหนอีก
เมื่อผู้ทำผิดกล้าสารภาพ ผู้รับคำสารภาพ ก็ต้องกล้าให้อภัย ให้กำลังใจแก่เขาเพื่อเขาจะได้ดำเนินชีวิตที่ดีกว่าต่อไป
การให้อภัยกันและกันเป็นความเมตตาที่ทำให้คุณธรรมของคนเจริญขึ้น
วัยรุ่นยุคนี้จึงต้องหมั่นทบทวน
ใช้สติปัญญาให้มากในยามที่ต้องเกี่ยวข้อง หรือรับข่าวสารใดๆ มารอบทิศ
การบริโภคข่าวสารต้องมีสติปัญญาด้วย อย่าไปมุ่งแต่ความอร่อย
นักเรียนถามถึงความเหงา
ทำไมคนเราจึงมักถูกความเหงากัดกร่อน และปัญหาเรื่อง การทำผิด ประเวณีก็เนื่องมาแต่ความเหงานี่แหละเป็นเหตุ
ก็อธิบายให้เด็กทราบว่าความเหงาเกิดมาแต่การยังแสวงหา
เป็นปรากฏการณ์รูปรอยของราคานุสัย ยังมีจิตต้องการบำบัดความเสพ ถ้าหากเราอยู่คนเดียวก็ไม่เหงา
ก็แสดงถึงความหนักแน่น มั่นคงทางอารมณ์ เราจะหนักแน่นได้ก็ต้องฝึก
มองความจริงให้ออกว่า สรรพสิ่งย่อมมี การเปลี่ยนแปลง พลัดพรากไปเป็นธรรมดา
มีพบก็ต้องมีจาก มีเกิดก็ต้องมีตาย และย่อมมีเวลา ที่ต้องอยู่คนเดียว
ย่อมมีจังหวะที่ต้องอยู่หลายคนเป็นธรรมดา เราก็ต้องฝึกไปทุกสถานะ อยู่คนเดียว
ก็สบาย อยู่หลายคนก็สนุก ไม่ใช่อยู่คนเดียวก็เหงา อยู่หลายคนก็รำคาญ
อย่างนี้แล้วคงต้องเจอปัญหาอีกนาน
ฉะนั้นวัยรุ่นควรจะจัดสรรชีวิตให้เหมาะสมกับวัย
ตั้งใจทำให้เสร็จเป็นอย่างๆ เสร็จแล้วก็ให้รู้แล้ว หากยังไม่เสร็จก็เพียรพยายามต่อไป
ดังพระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า คนจะพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร
นั่นเอง
-เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๖๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๖-
|