สังคมไทยกับทศวรรษแห่งการจากไปของพุทธทาสภิกขุ
- ส.ศิวรักษ์ -
ปาฐกถาในงาน ทศวรรษแห่งการจากไปของพุทธทาส
วันอังคารที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ณ ห้องประชุมศรีอยุธยา
หอวชิราวุธ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพฯ ต่อจากฉบับ ๑๕๙
ที่ว่ามานั้นเป็นประเด็นหลัก
หากยังมีประเด็นรองๆ ลงมาอีกบ้าง แต่ข้าพเจ้าไม่มีเวลาจะพรรณนาได้โดยละเอียด
กล่าวคือ
(๑) ควรมีการจัดขั้นตอนคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส
ให้คนที่ไม่คุ้นเคยกับคำพูดและข้อเขียนของท่าน ได้เริ่มอ่านหรือศึกษาจากง่ายไปหายาก
ยิ่งสามารถทำเป็นการ์ตูนให้เด็กๆ ได้ลิ้มชิมรสวาทะของท่าน นั่นจะเป็นคุณค่าที่คัญยิ่ง
(๒) ศาสนพิธีนั้น
เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของศาสนา โดยที่เถรวาทแบบไทยนั้น พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าฯ ทรงเริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาแต่สมัยทรงผนวชในรัชกาลที่
๓ แล้วคงรูปลักษณ์สืบต่อๆ กันมา อย่างแทบจะไม่ได้ปรับปรุงให้ถึงแก่น
เพื่อความเหมาะสมกับยุคสมัยเอาเลย ท่านอาจารย์พุทธทาส เพียงนำคำแปลมาประกอบ
ให้ชาวบ้านร้านตลาดเข้าใจคำสวดสังวัธยายด้วยเท่านั้น แม้นั่นจะเป็นคุณานุคุณ
แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ท่านอาจารย์เคยเล่าว่านายปรีดี พนมยงค์เคยเสนอกับท่านให้นำเอาดนตรี
มาประยุกต์ ใช้กับศาสนพิธี เพื่อใช้ความไพเราะเป็นพาหะให้พุทธมามกะเกิดศรัทธาปสาทะ
ดังที่เราใช้ความงามเป็นพาหะ ให้เข้าถึงธรรมะกันมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งทางมหายานและวัชรยานก็ใช้ดนตรีกับศาสนพิธีด้วยกันทั้งคู่
ความข้อนี้ ท่านอาจารย์พุทธทาสก็ดูจะเห็นด้วย หากท่านยอมรับว่า ท่านไร้ความสามารถในทางดนตรีเอาเลย
และเถรวาท ที่แล้วๆ มาตีประเด็นในเรื่องสิกขาบทข้อที่ ๗ ในเรื่อง นจฺจคีต
วาทิต วิสูกทสฺสนา อย่างคับแคบ เกินไป ทั้งๆ ที่ในบทพระบาลีก็เน้นไว้ชัดเจน
"ให้เว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการละเล่น อันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์"
เท่านั้น การฟ้อนรำ ขับร้อง และดนตรี ที่เป็นคุณต่อพรหมจรรย์มีมากต่อมากนัก
ดังดนตรีอย่างดีจนถึงชั้นเลิศของฝรั่งก็ออกมาจากพิธีกรรมของฝ่ายคริสต์
พระมหานิกายเดิมของเรา ก็อุดหนุนทั้งมโหรี ปี่พาทย์ หนังใหญ่ มโนห์รา
ยังการประโคมรับพระ บรรเลงกล่อมระหว่างที่พระฉัน และการบรรเลงรับเทศน์แต่ละกัณฑ์ของมหาชาติ
ก็แสดงถึงบทบาทเดิมของเราอยู่แล้ว มิไยต้องเอ่ยถึง ว่าการสวดสังวัธยายนั้น
ก็คือการบรรเลงรวมอยู่ด้วย เราเพิ่งมาเคร่งครัดในทางรังเกียจดนตรี
แต่เมื่อมีอิทธิพล มาจากธรรมยุตในรอบร้อยปีมานี้เอง
ใช่แต่ว่าเราควรนำเอาธรรมคีตาเข้ามาสู่ศาสนพิธีเท่านั้น ศาสนพิธีที่แล้วๆ
มานั้น เป็นเรื่องการพิจารณา ให้รู้เท่าทันอุปาทานขันธ์ เพื่อแปรสภาพของแต่ละคนตามสถานะของตนๆ
เพื่อ "ปฏิบัติตามอยู่ซึ่งคำสอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ตามสติกำลัง.....เพื่อถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งมวล" แม้บทพิจารณา
ปัจจัยสี่ของพระภิกษุ ก็ล้วนเป็นการเตือนตนให้รู้เท่าทันการดำรงชีวิตของตนๆ
ยิ่งศาสนพิธีที่นำมาใช้ ในวงกว้างด้วยแล้ว ไม่ว่าจะงานศพ หรืออื่นใด
ล้วนฟั่นเฝือ เจือปนไปด้วยลัทธิศักดินาบ้าง วัฒนธรรมแห่งการ บริโภคบ้าง
อย่างหาสาระแห่งพุทธธรรมแทบไม่ได้เลย
ที่เราขาดคือ ศาสนพิธี
หรือบทสวด (ซึ่งควรประกอบไปด้วยดนตรี) ให้พุทธศาสนิกรู้เท่าทันทุกขสัจทางสังคม
ให้เห็นโทษของลัทธิบริโภคนิยม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งใช้ของปลอมและพิษภัยปนเข้ามาในอาหาร
เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค จนเราไม่เห็นโทษของความสะดวกสบายหรือในความโอฬาริกต่างๆ
ตลอดจนยากันบูดที่ประกอบไปกับอาหาร ยาอย่างฝรั่งที่ให้ผลกระทบในทางลบเป็นอันมาก
ตลอดจน การที่บรรษัทยาคุมความคิดทางด้านการสาธารณสุขไว้จนเกือบตลอด
มิไยต้องเอ่ยถึงถุงพลาสติก และโฟมต่างๆ ที่ไปพร้อมกับการถวายอาหารพระ
อย่างน้อยท่านนัทฮันห์ยังนำหน้าเราไป ในการปลุก มโนธรรมสำนึกในด้านนี้
แม้กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอ ศิษยานุศิษย์ของพุทธทาสภิกขุ น่าจะสานงานด้านนี้ได้
ให้เราได้มีพิธีกรรมทางพุทธอย่างสมสมัย ในตอนที่เราฉลองชาตกาลครบศตวรรษของท่านอาจารย์
ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ เช่น ไม่แต่พระเท่านั้น ที่ควรรู้เท่าทันว่าการบริโภคอาหาร
เพื่อไม่มัวเมาในรสอาหาร แม้ฆราวาสก็น่า จะมีบทสวดว่าอาหารนั้นๆเกิดจากการทำลายธรรมชาติอย่างไร
เอาเปรียบแรงงานอย่างไร มีสารพิษอะไร ปนเข้าไปบ้าง ฯลฯ หากทำได้เช่นนี้พิธีกรรมจะเป็นพาหะ
ที่นำมาใช้ต่อต้านลัทธิบริโภคนิยม ได้อย่างเหมาะสมนัก
(๓) มีการกล่าวหาว่าท่านอาจารย์สอนเฉพาะเรื่องในปัจจุบันเท่านั้น
จนหาว่าท่านไม่เชื่อในเรื่องตายแล้ว เกิดกันก็มี นี่เกิดจากผลที่นายปุ่น
จงประเสริฐ ไปจัดทำ คู่มือมนุษย์ จากงานเขียนของท่านอาจารย์ จนสรุปคำสอนของท่านให้ง่ายเกินไป
จริงอยู่ ท่านอาจารย์เห็นว่าในสมัยของท่าน
มีการสอนเรื่องนรกสวรรค์และชาติก่อนชาติหน้ามากแล้ว ท่านจึงมาเน้นที่ปรมัตถธรรมและปัจจุบันธรรมเป็นแกนกลาง
หากท่านไม่เคยปฏิเสธเรื่องวัฏสงสารเอาเลย อย่างน้อยรูปกาลจักร หรือสังสารจักรจากธิเบต
รูปแรกที่เขียนขึ้นในเมืองไทย ก็ที่ในสวนโมกข์นั้นเอง
เรื่องนี้ ก็อยากให้ศิษย์หาของท่านช่วยกันชี้แจงแสดงข้อเท็จจริงให้ปรากฏด้วยว่า
พุทธศาสนาสอนเรื่อง ทิฏฐธรรมิกัตถะ ในปัจจุบัน และสัมปรายิกัตถะ ณ
เบื้องหน้า โลกหน้า จนถึง ปรมัตถะ อันสูงสุด
ในสมัยของท่านอาจารย์
การละอัตตาและลดบทบาทในเรื่องนรก สวรรค์เสียนั้น อาจเหมาะกับยุคสมัย
หากสมัยนี้ เราคงต้องกลับไปที่ภูมิปัญญาดั้งเดิมของเราด้วยจึงจะควร
แม้ท่านอาจารย์พุทธทาสจะไม่เห็นด้วย ก็เป็นสิทธิของท่าน เราควรเคารพท่านเป็นอย่างยิ่ง
แต่เราก็มีสิทธิที่จะคิดให้แผกไปจากท่านด้วย โดยเฉพาะก็ในเรื่องเนื้อหาสาระของชาดกต่างๆ
ตลอดจนเทวดานางฟ้า และนรกสวรรค์ การใช้ภาษาคน และภาษาธรรม จากคำสอนของท่านมาตีประเด็นเหล่านี้
นับว่าสมควรอยู่ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ ก็ตรงที่การวางท่าทีที่ถูกต้องเกี่ยวกับถ้อยคำนั้นๆ
และสภาวะต่างๆของสัตวะต่างๆ และภาวะต่างๆ ที่เรามองไม่เห็น รับรู้ไม่ได้ด้วยวิธีวิทยาของวิทยาศาสตร์อย่างฝรั่ง
อย่าไปด่วนสรุปว่าอะไรๆ เป็นเรื่องของสวรรค์ในอก นรกในใจ อยู่ที่ในเวลานี้
เดี๋ยวนี้เท่านั้น เพราะความวิเศษมหัศจรรย์ ในทางรหัสยนัยนี้แลคือ
สถานภาพอันพิเศษของทุกศาสนา
(อ่านต่อฉบับหน้า)
-เราคิดอะไร
ฉบับที่ ๑๖๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๖- |