เราคิดอะไร

บ้านป่านาดอย - จำลอง ศรีเมือง -


อากาศเริ่มเย็นทั้งกลางวันและกลางคืน ใบไม้เปลี่ยนสีทั้งบนเขาและพื้นราบ จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่นานใบก็แห้งหมด หลังจากนั้นไฟป่าก็มาเยือน ปีที่แล้วสุนัขจิ้งจอกถูกไฟคลอกตาย ใกล้ปากถ้ำ ที่เราใช้เป็นห้องเรียนธรรมชาติ ในรายการ "ปีนเขาเข้าถ้ำเน้นย้ำอุดมการณ์" ธรรมชาติแวดล้อม เปลี่ยนไป ตามฤดูกาล แต่คนแย่ๆ ยังคงแย่เหมือนเดิม ลักลอบตัดไม้ จุดไฟเผาป่าไม่ยอมเลิก

ท่านสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติ ยังรักษาความแย่ไว้อย่างเหนียวแน่น หลายคนหนีไม่ยอมเข้าประชุม ส.ส.มีไม่ครบจำนวนต้องเลิกประชุมกลางคัน ไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เกิดซ้ำซากมา ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ท่านนายกฯ ออกมาขู่ว่าใครหนีประชุมคราวหน้าจะไม่ให้สมัคร ส.ส. ก็ยังเฉย สมัยผมเป็น ส.ส. ก็เหมือนกัน ขณะที่กำลังประชุมอยู่ ถ้าอยากให้เลิกประชุมง่ายนิดเดียว ขอให้ประธานสภา นับผู้เข้าประชุม นับทีไรก็ไม่ครบองค์ประชุมทีนั้น (เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง)

ทั้งๆ ที่การเข้าประชุมเป็นหน้าที่ รับแต่ชอบ(รับเงินเดือนเต็มที่ทุกเดือน) ไม่รับผิด (ไม่เคยคืนค่าแรง เมื่อหนีงาน) อย่างนี้เรียกว่า "รับเงินเดือนเต็มที่แต่ทำงานเต็มที" ส.ส.ไม่ได้รับแต่เงินเดือนเท่านั้น ยังมีสิทธิพิเศษอื่นๆ อีก ขึ้นรถไฟฟรีเหาะเหินเดินอากาศฟรี...

นานๆ จะมีข่าวพูดถึงความไม่รับผิดชอบสักครั้ง สมัยก่อนคนที่เรียนเก่งๆ อยากได้เงินเดือนแพงๆ มีอาชีพมั่นคงต้องเรียนวิศวะ เมื่อเร็วๆ นี้ประธานสภาคณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ แห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยว่า ปัจจุบันวิศวกรตกงานและถูกออกจากงานจำนวนมาก เพราะขาด ความรับผิดชอบ ตอนเป็นนักศึกษา ครูบาอาจารย์ก็ตั้งหน้าตั้งตา สอนวิชาการอย่างเดียว ไม่สร้างจิตสำนึก ให้เข้าใจในหน้าที่และมีความรับผิดชอบ ไม่ให้ความดีให้แต่ความรู้

ระยะนี้ผู้คนเกือบทุกวงการ ถือเรื่องวัตถุ เรื่องเงิน เป็นสรณะ ไม่นึกถึงเรื่องคุณงามความดี ต่อไป สังคมจะแย่ลง จนสายเกินแก้ การที่เปิดเผยเรื่องนี้ขึ้นมาแม้จะไม่เป็นข่าวใหญ่โต แต่ก็ช่วยกระตุก สังคมได้บ้างว่าถึงเวลาหรือยังที่จะรวมพลังแผ่นดินมาแก้เรื่องนี้

เมื่อปลายเดือนที่แล้ว คณะกรรมการรวมน้ำใจชาวไทยสู่ชาวอิรักได้ทำพิธีมอบยารักษาโรค ให้ทหารนำไปช่วย ชาวอิรัก และในระยะเวลาไล่เลี่ยกันก็เกิดเหตุการณ์ที่คนไทยหลายคนคาดว่า อาจจะเกิดเมื่อไรก็ได้ เป็นแต่เพียง ไม่อยากพูด เพราะจะทำให้ทหารไทย ที่ไปอิรักรวมทั้งญาติๆ ต้องเสียขวัญ

ผู้ก่อการร้ายได้ใช้เรื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้าไปในค่ายลิมา เมืองคาร์บาลา ประเทศอิรัก ๕ ลูก กองกำลังทหารไทย ๙๗๖ ตั้งอยู่ที่นั่น โชคดีพวกเราไม่มีใครบาดเจ็บเลยเพราะกระสุนไปตกที่ลานกว้างริมค่าย เป็นการเตือนทหารไทย ที่ระมัดระวังอยู่แล้ว ให้ระมัดระวังยิ่งขึ้น ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันแน่นอนว่า ทหารของเรา จะปลอดภัยไปตลอด จะไม่ถูกยิงถล่มหรือถูกซุ่มโจมตี รับประกันไม่ได้ ประเทศที่นับถืออิสลาม ยังไม่วายถูกทำลาย ชาวอิรักคนชาติเดียวกัน ที่ทำงานร่วมกับชาวอเมริกันก็ถูกถล่มด้วย

รัฐบาลไทยเมื่อตัดสินใจส่งทหารไปอิรักแล้ว ต้องอดทนต้องดำรงความมุ่งหมายเดิม ตามหลักการ สงคราม ที่ร่ำเรียนมา จนกว่าสถานการณ์จะถึงขั้นเลวร้ายจริงๆ จึงจะพิจารณาถอนกำลัง ไม่ใช่โดน อะไรนิดอะไรหน่อย ก็ใจเสาะถอยเสียแล้ว ดังนั้นในที่ประชุมสภากลาโหม จึงไม่ได้หยิบยก เอาเหตุการณ์ดังกล่าว ขึ้นมาพิจารณา ถอนกำลังทหารไทยแต่อย่างใด

มีโครงการเอื้ออาทรออกมาใหม่อีกแล้ว คราวนี้ไม่ได้ริเริ่มโดยรัฐบาล เป็นมติของคณะอนุกรรมการ คณะหนึ่ง ในคุรุสภา ให้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาซื้อรถยนต์ให้ครูผ่อนใช้หนี้ โดยไม่ต้องวาง เงินก้อน อ้างว่าครูเรียกร้องเรื่องนี้ มานานแล้ว กับทั้งเคยวางแผนกำหนดไว้ แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติ เนื่องจากตอนนั้น เศรษฐกิจยังไม่ดี เมื่อเห็นเศรษฐกิจดีขึ้น จึงรีบดำเนินการเปิดโอกาสให้ครู ผ่อนชำระ ๗๒ งวด เสียดอกเบี้ยร้อยละ ๓ กว่าๆ ทั้งครูและผู้แทนครู ดีใจเฮกันใหญ่ ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้

คุรุสภาแถลงเรื่องนี้เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ปลายเดือนท่านรัฐมนตรีศึกษาธิการคนใหม่ นำตัวเลข มาเปิดเผยว่า ครูทั่วประเทศนับหมื่นๆ แสนๆ คน มีหนี้สินรวมนับแสนๆ ล้านๆ บาท แล้วโครงการ "รถยนต์เอื้ออาทร" ยังจะเดินหน้าต่อไปอีกหรือ น่าคิด

เรารู้เรื่องหนี้สินครูมากว่า ๒๐ ปีแล้ว ตอนนั้นนักปฏิบัติธรรม "สันติอโศก" กลุ่มเล็กๆ มีทั้งพระ และ ฆราวาสหญิงชาย จัดเป็น "กองทัพธรรม"จาริกไปเผยแพร่ธรรมะในภาคต่างๆ ของประเทศ เป้าหมาย ของพวกเราคือ กลุ่มครู เราเน้นว่า ครูที่ดีต้องไม่เป็นหนี้เพราะเป็นครูไม่มีวันขาดทุน ได้กำไรทุกเดือน แล้วเป็นหนี้ได้อย่างไร ครูโดยเฉพาะครูต่างจังหวัด มีฐานะดีกว่าพ่อแม่ผู้ปกครองเด็ก ต้องพยายาม ลดหนี้และเลิกเป็นหนี้ให้ได้

เอาพวกเราเป็นตัวอย่าง หลายคนทำงานฟรี ไม่มีเงินเดือนเลย ยังไม่ต้องกู้หนี้ยืมสิน ครูจะได้มี กำลังใจ วันเวลาผ่านไป ๒๐ ปี ครูเป็นหนี้เพิ่มขึ้นอีก บานตะไท เป็นหนี้มาก จนรัฐมนตรีศึกษา คนไหนๆ ก็ปวดหัว ไม่รู้จะปลดหนี้ ได้อย่างไร

รัฐมนตรีศึกษาคนปัจจุบันเป็นนักธุรกิจ เพิ่งมาจากกระทรวงพาณิชย์ พอมารับตำแหน่งวันแรก ท่านก็ออกตัวเลยว่า ท่านไม่ใช่ซูเปอร์แมน ที่จะมาแก้ปัญหากระทรวงศึกษาได้หมด ผู้ที่ติดตามข่าว ก็นึกในใจว่า ท่านคงแก้ปัญหาหนี้สินของครูไม่ได้ ถ้าในวงการครูไม่ช่วยกันเอง มิหนำซ้ำยังริเริ่ม โครงการ "หนี้เอื้ออาทร" เพิ่มเติมอีก

เรื่องที่คุยกันอยู่ทุกวันในทุกวงสนทนาคือเรื่องที่ท่านนายกฯ ทักษิณประกาศจะแก้ปัญหา ความยากจน ให้หมดสิ้นไปภายใน ๖ ปี ถึงตอนนั้นคนจนจะไม่มีเหลืออยู่เลย เป็นความตั้งใจที่ดี เป็นสัญญาประชาคม ที่รัฐบาลจะพยายามทำให้ได้ เป็นเรื่องน่าคิดว่าจู่ๆ ท่านนายกฯ ออกมาประกาศ ทำไมไม่มีใครไปเซ้าซี้ถาม ไม่มีใครไปคาดคั้น เพราะรู้แล้วว่า เป็นเรื่องยากมาก ที่รัฐบาล ทุกรัฐบาล พยายามทำมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จ และก็ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญากับประชาชนไว้ เมื่อตอนหาเสียงเสียด้วย

เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าบ้านเมืองเราล้าหลังเพราะคนส่วนใหญ่โง่ เจ็บ จน เรื่องโง่ รัฐบาลก็เริ่มลงมือ แก้ปัญหาแล้ว ด้วยการปฏิรูปการศึกษา พร้อมกับชักชวนให้นำเครื่องมือที่ทันสมัย มาใช้กัน ทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น ทุกตำบลต้องมี คอมพิวเตอร์ใช้ โรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศก็ต้องมี การประมูล จัดซื้อจัดจ้างใช้ผ่านอินเตอร์เนตให้มากที่สุด ท่านนายกชักชวน เป็นระยะๆ ให้คณะรัฐมนตรี อ่านตำราฝรั่งเล่มนั้นเล่มนี้ เพื่อเพิ่มเติมความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ

แก้เรื่องเจ็บก็เริ่มไปแล้ว โครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค เป็นการปฏิรูปการรักษาพยาบาลขนานใหญ่ ซึ่งไม่มีรัฐบาลไหน กล้าคิด แม้จะมีคนค้านกันมาก มีปัญหาขลุกขลักเกิดขึ้นตลอดก็ไม่ถอย เดินหน้า จะปรับปรุง ข้อบกพร่องให้สำเร็จจนได้ พร้อมๆ กับส่งเสริมป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยกันมาก ด้วยการรณรงค์ ให้คนทั้งประเทศ หันมาออกกำลังกายเป็นประจำ

เรื่องโง่ เรื่องเจ็บ ก็เริ่มแก้ไขไปแล้ว เหลืออีกเรื่องหนึ่งคือ จน แล้วทำไมต้องกำหนดว่า จะแก้ให้สำเร็จ ภายใน ๖ ปี เลข ๖ เอามาจากไหน ทำไมไม่ใช่เลขอื่น นายกฯไม่ได้แถลง แล้วก็ไม่มีใครสงสัย ไม่มีใครถาม ผมทายเอาเองว่า นายกฯ ได้ประกาศเจตนาหลายครั้ง ตลอดมาว่า จะเป็นนายกฯ อีกสมัยหนึ่ง ซึ่งกินเวลา ๔ ปี เวลาที่เหลือ กว่าจะหมดวาระแรกนี้ ก็ประมาณ ๒ ปี รวมแล้วก็ ๖ ปีพอดี

จะแก้ความยากจน จะทำให้คนจนหมดจากประเทศไทยภายในเวลาที่เป็นนายกฯ ครั้งที่สองนั่นเอง

ผู้ที่ติดตามเรื่องการบ้านการเมืองออกมาโต้แย้งวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถขจัด ความยากจนได้ ภายใน ๖ ปี นักวิชาการบางคนเห็นว่า เป็นเพียงคำประกาศทางการเมือง บ้างก็วิจารณ์ หนักกว่านั้นว่า โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อหาเสียงสะสมไว้สำหรับการเลือกตั้งสมัยหน้า คราวนี้แปลก ท่านนายกฯ ไม่ได้ออกมาตอบโต้ เสียงวิจารณ์ ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน เหมือนครั้งก่อนๆ ที่ถูกวิจารณ์เรื่องอื่นๆ เพียงแต่แซวว่า เป็นพวกนักวิชาการ ขาประจำ ที่เห็นนายกฯ คิดอะไรทำอะไรผิดไปหมด

ปรากฏว่าไม่ใช่ขาประจำเท่านั้นที่วิพากษ์วิจารณ์ ขาจร ขาใหญ่อย่างสถาบันพระปกเกล้า ก็จัดให้มีการวิจารณ์เรื่องนี้ อย่างเต็มที่ด้วย สถาบันอื่นๆ คงจะจัดเวทีสำหรับแสดงความคิด ความเห็น ในโอกาสต่อไป เพราะเป็นเรื่อง ที่น่าสนใจมาก และมีรายละเอียดมาก พูดกันได้หลายวัน หลายคืน ถ้าท่านนายกฯ จะออกมาโต้ทุกครั้ง คงไม่มีเวลา แก้ความยากจนกันพอดี

ที่วิพากษ์วิจารณาในเชิงว่าจะทำไม่สำเร็จนั้น ยังไม่ได้ตกลงกันเลยว่า คนจนหมายถึงอะไร มีความเป็นอยู่ ระดับไหน ถึงจะจัดว่าเป็นคนจน ท่านนายกฯ ยังไม่ได้พูด ซึ่งท่านคงจะพูด ในโอกาสต่อไป มิฉะนั้น จะวัดกันไม่ได้ว่า เมื่อครบ ๖ ปี คนจนหมดประเทศไทยหรือไม่

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือ "สภาพัฒน์" เคยกำหนดว่า คนจนหมายถึง คนที่มีรายได้น้อยกว่า ๙๒๒ บาทต่อเดือน (ต่ำกว่าวันละ ๓๑ บาท) ส่วนคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำหนดต่ำกว่านั้น ใครมีรายได้เดือนละ ๘๐๐ บาท หรือน้อยกว่านั้น ถือว่าเป็นคนจน คำจำกัดความของท่านนายกฯ อาจจะต่างไปอีก

สมัยนี้มีของกินของใช้ล่อตาล่อใจมากมาย เห็นอะไรก็อยากจะซื้ออยากจะมี มีเท่าไรก็ไม่พอ ต่างคนก็ต่างว่า ตัวเองจนทั้งนั้น น้อยคนนัก ที่จะยอมรับว่า ตัวเองรวย จึงสะสมความเครียดกันไว้ คนละมากๆ พอเครียดได้ที่ มะเร็งและโรคร้ายอื่นๆ ก็ถามหา

ในชั้นเรียนโรงเรียนผู้นำ ผมพูดย้ำเสมอๆ ว่า ที่จริงแล้วชีวิตไม่ต้องการอะไรมาก จะไปเครียดทำไม ที่อยากจะได้ อยากจะมี ให้เท่าเขาหรือเหนือกว่าเขา กินก็กินแค่อิ่ม นอนก็นอนแค่หลับ หลับใช้ที่ นิดเดียว กว้างศอกยาววา เท่านั้นเอง

ผมพูดเป็นเชิงข่มทุกคนในชั้นว่า ผมจนกว่า กินผมได้กินน้อยกว่าคือ กินมื้อเดียว เวลานอน ผมไม่มีฟูก ไม่มีเตียง ไม่มีห้องกระจก ไม่มีมุ้งลวด ไม่มีพัดลม ไม่มีเครื่องปรับอากาศ จนอายุ ๖๗ ผมก็ไม่มีบ้าน ที่อยู่ทุกวันนี้ อาศัยเขาอยู่ ทั้งนั้น ที่ดินสักกระแบะมือก็ไม่มี

แล้วจะเครียดไปทำไม แม้เกษตรกรที่อยู่ในโครงการพักชำระหนี้ก็มีความเป็นอยู่ มีฐานะดีกว่า คนที่เคยเป็น ผู้ว่าฯ นครแสงสีมาแล้ว ๖ ปี

ถ้าท่านนายกฯ เอาฐานะความเป็นอยู่ผม (และนักปฏิบัติธรรมอีกหลายคน) เป็นเครื่องวัด ใครอยู่ ในเกณฑ์ต่ำกว่า ถือว่าเป็นคนจน รับรองเลยว่าท่านนายกฯ ไม่ต้องใช้เวลาถึง ๖ ปี ในการทำคนจน ให้หมดไป ข้อสำคัญอย่าไปริเริ่ม โครงการเอื้ออาทร ที่ไม่จำเป็นอีก อย่าไปเปิดโอกาส ให้ชาวบ้าน กู้ยืมเงินง่ายๆ อย่าไปสนับสนุนหวย แม้เป็นหวยบนดินก็ตาม ตั้งหน้าตั้งตา ลดอบายมุข ทุกรูปแบบ

ชักชวนคนให้ออกมาเต้นแร้งเต้นกาได้ทั่วประเทศที่เรียกว่า "การรวมพลคนเสื้อเหลือง" จะรวมพล คนเสื้อเหลือง อีกสักตั้งดีไหม (คนเสื้อเหลืองคราวต่อไป คือคนที่ทำตามพระ) พูดแทรกในวิทยุ รายการนายกฯ พบประชาชน ทุกวันเสาร์ รณรงค์ขจัดความยากจน ด้วยการเลิกอบายมุข ๖ แล้ว คนจนจะหมดไป ภายใน ๖ ปี อย่างแน่นอน ผมและหลายๆ คนยืนยันว่าท่านนายกฯ ทำสำเร็จ

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๑ ธันวาคม ๒๕๔๖ -