เราคิดอะไร

เรื่องสั้น - ธารธรรม -
กาเมข้อเดียว

นายชุ่มไม่เคยบวชเรียนมาก่อนแต่ก็คุ้นเคยกับวัดดี มีพระหลวงตาท่านหนึ่ง ที่นายชุ่มให้ความเคารพ เป็นอย่างมาก และมักจะมาปรึกษาเรื่องต่าง ๆ เป็นประจำ จนยกท่านขึ้นเป็นครูอาจารย์ประจำ ในจิตเสมอมา

เช้าวันหนึ่ง หลังจากนายชุ่มได้พักค้างคืนที่วัดแล้ว นายชุ่มก็อยากจะกลับบ้าน จึงคลานเข้าไปก้มกราบอำลาหลวงตาตามความประสงค์ หลวงตากำลังนั่งฉันน้ำต้มสมุนไพรอยู่บนศาลาตามปกติ เมื่อเห็นศิษย์คลานเข้ามาหาก็คิดอยู่ในใจว่า "ชุ่มมันมาเป็นศิษย์ปฏิบัติเราก็นานหลายปีแล้ว แต่มันก็ยังไม่เคยรู้จักศีลห้าสักข้อเลย อย่ากระนั้นเลย วันนี้เห็นทีมันจะขอตัวกลับบ้าน เราจำต้องให้ศีลมันไปปฏิบัติที่บ้านเสียบ้างแล้ว" คิดได้อย่างนั้นหลวงพ่อก็ยิ้มกริ่มอยู่ภายในใจ

"ว่าไงชุ่ม จะกลับบ้านแล้วรึ ?"หลวงตากล่าวทักทายเป็นคำแรก

"ขอรับหลวงพ่อ"

"ทำไมถึงรีบกลับเร็วนักเล่า อยู่วัดไม่สนุกหรือไง?"

"สนุกครับ แต่มาหลายวันก็รู้สึกเป็นห่วงทางบ้าน ขอรับ"

"อื่อ..คนมีบ้านมีครอบครัวก็ต้องห่วงบ้างเป็นธรรมดา ชุ่มมาวัดก็บ่อยครั้ง อาตมาดูแล้วชุ่มก็เป็นคนดีคนหนึ่ง วันนี้จะกลับบ้าน หลวงพ่อก็ไม่มีอะไรจะให้เป็นของฝาก เอาอย่างนี้ดีกว่า อาตมาจะให้ศีลนำไปปฏิบัติที่บ้านบ้างจะดีมั้ย?"

"ดีเหมือนกันขอรับ"

"เอาแค่ศีลห้านี่แหละ ไม่ต้องอื่นไกลหรอก หลวงพ่อจะบอกให้เป็นคาถา เจ้าจงนำไปปฏิบัติให้จริงจัง อย่าทำผิดในข้อปฏิบัติเจ้าจะทำได้ไหม?"

"อืมม์..เอาอย่างนี้ดีกว่าขอรับหลวงพ่อ ข้าน้อยขอให้หลวงพ่อแปลศีลทั้งห้าข้อให้ข้าน้อยฟังก่อน ว่าแต่ละข้อหมายความว่าอย่างไรบ้าง"

"ได้ซี แล้วไงต่อไป?"

"คือว่าข้อไหนที่ข้าน้อยรับไปปฏิบัติได้ ข้าน้อยก็จะรับไปปฏิบัติ แต่ถ้าข้อไหนยังรับไปปฏิบัติไม่ได้ก็จะยังไม่รับไปนะขอรับ"

"ตกลง หลวงพ่อจะบอกศีลแล้วแปลไปพร้อมกันนะ?"

"ขอรับหลวงพ่อ"

"เอา ถ้างั้นข้อที่ ๑ ปาณาติปาตา เวระมะณี ห้ามฆ่าสัตว์ทุกชนิด เจ้าจะรับหรือไม่?"

"ข้อนี้ ข้าน้อยยังรับไม่ได้ขอรับ เพราะครอบครัวยังรับประทานเนื้อสัตว์กันอยู่"

"ข้อที่ ๒ อทินนาทานา เวระมะณี ห้ามลักทรัพย์ เจ้าจะรับได้หรือไม่ ?"

"ยังรับไม่ได้ขอรับ หลวงพ่อ"

"เพราะอะไร เจ้าถึงรับไม่ได้ ?"

"เพราะบางครั้ง ข้าน้อยยังอยากขโมยของอยู่ขอรับ"

"เอาต่อไป ข้อที่ ๓ กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี ห้ามประพฤติผิดในกาม ห้ามผิดลูกผิดเมียคนอื่น เจ้าจะรับหรือไม่?"

"ข้อนี้ ข้าน้อยขอรับไปปฏิบัติดูขอรับหลวงพ่อ เพราะเมียข้าน้อยมีอยู่ ไม่จำเป็นต้องอาศัยเมียคนอื่น จึงพอรับไปปฏิบัติได้"

"ข้อที่ ๔ มุสาวาทา เวระมะณี ห้ามพูดเท็จ พูดส่อเสียด เจ้าจะรับได้ไหม?"

"ข้อนี้ ข้าน้อยก็ยังรับไม่ได้ขอรับ เพราะข้าน้อยยังชอบพูดเล่นพูดสนุกกับคนอื่นอยู่"

"ข้อต่อไปข้อที่ ๕ สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี งดดื่มสุราเมรัย เครื่องดองของเมาทุกชนิดเจ้าจะรับไปปฏิบัติหรือไม่?"

"ข้อนี้ข้าน้อยก็ยังรับไปไม่ได้ เพราะข้าน้อยยังชอบสังคมเพื่อนฝูงอยู่ขอรับ"

"เป็นอันว่าศีลทั้งห้าข้อนี้ เจ้าจะรับเอาข้อสามเพียงข้อเดียวกระนั้นรึ"

"ขอรับหลวงพ่อ ขอรับเอาข้อเดียวไปปฏิบัติดูก่อน" นายชุ่มตอบ

"เอาละ...ข้อเดียวก็ยังดี แต่เจ้าก็อย่าลืมว่าศีลทั้งห้าข้อนี้มีความหมาย ใครปฏิบัติได้ ก็จะช่วยให้รอดพ้นทุกข์ภัยต่าง ๆ จะไม่ตกสู่ทางชั่ว และถ้าสังคมนี้ทุก ๆ คนมีศีลห้า ครบถ้วนแล้วละก็ บ้านเมืองจะไม่วุ่นวายเลย ไม่ต้องมี

กฏหมายออกมาบังคับคน เจ้าจงจำเอาไว้เถิด"

"ขอรับ หลวงพ่อ"

"เอ่อ..ศีลเพียงข้อเดียว นำไปปฏิบัติให้จงดี และถ้าปฏิบัติได้เจ้าก็จะรอดปลอดภัยทุกประการ เมื่อกลับไปถึงบ้านก็จงอย่าประมาทเป็นอันขาดเจริญพร"

นายชุ่มกราบลาหลวงพ่อด้วยใจเบิกบาน


หลายวันต่อมา นายชุ่มคิดอยากได้ของใช้สอยในครัวเรือน จะไปซื้อหาก็ขาดแคลนเงินทอง จึงได้แต่เดินคิดไปเรื่อยเปื่อย เดินไปเรื่อย ๆ ก็ผ่านบ้านเมียน้อยเจ้าพระยาเศรษฐีมีเงินมั่งคั่งท่านหนึ่ง มีเครื่องใช้ไม้สอยมากมาย เงินทองก็มีมาก เขาจึงหาหนทางเข้าไปขโมยของ ในบ้านเมียน้อย เจ้าพระยา ในคืนวันนั้นเลย

ดึกสงัด นายชุ่มค่อย ๆ ย่องลอดเข้าใน รั้วบ้านอย่างระวัง เห็นทหารยามเฝ้าประตูนั่งหลับคอพับ อยู่ข้างบันได เขาเอียงข้างก้าวขึ้นบันไดเปิดประตูเข้าไปภายในบ้านได้อย่างง่ายดาย เห็นหญิงรับใช้ นอนหลับ อยู่หน้าห้องนอนระเกะระกะ สำรวจดูของใช้ภายในห้องโถง อย่างละเอียด ไม่มีอะไร น่าสนใจ มีของประดับชิ้นใหญ่ ๆ เอาไปยาก จึงหันกลับมาที่หน้าห้องนอน เจ้าของบ้านอีกครั้ง ลองผลักประตูให้แง้มมองดูข้างใน แสงสว่างจากดวงจันทร์สลัว ๆ พอมองเห็นข้างใน มีของมีค่า มากมาย เขาเบี่ยงตัวย่องเข้าประตูห้องนอนเมียน้อยเจ้าพระยาเศรษฐี อย่างแผ่วเบา ฝ่ายเจ้าของบ้าน กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงนอน อันอ่อนนุ่มอย่างไม่รู้สึกตัว นายชุ่มย่องไปที่ ตู้เครื่องประดับ ซึ่งเก็บเพชรนิลจินดาไว้มากมายหลายรายการ ดึงถุงผ้าที่เตรียมมาจากบ้าน คลี่ออกแล้วค่อย ๆ ลำเลียงเครื่องทองของมีค่าต่าง ๆ ใส่ลงในถุง ไม่กี่อึดใจ ก็บรรจุของมีค่า ลงจนเต็ม มัดปากถุงเสร็จรีบยกขึ้นทำท่าจะออกไปที่ประตู พลันก็มีเสียงตะคอกดัง ๆ

"หยุด ไอ้หัวขโมย... เจ้าเข้ามาขโมยของภายในห้องของเราได้อย่างไร อยากรู้นัก?"

นายชุ่มตกใจจนขาตายก้าวไม่ออก ได้แต่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น จะหนีก็หนีไม่ได้ ทางประตู นางก็ลุกมาขวางทางไว้

"ไหนบอกมาซิ เจ้าเป็นใครมาจากไหน แล้วเข้ามาในห้องนอนของเราได้อย่างไร ?"


"อื่มม์..." นายชุ่มพูดอะไรไม่ออก

"บอกมาสิ ไม่งั้นเราจะเรียกทหารเข้ามาจับตัวเจ้าไปประหารเดี๋ยวนี้นะ"

"อื่มคือ..." นายชุ่มพูดอึกอัก

"เราให้โอกาสเจ้าพูด ทำไมไม่พูด อยากตายเรอะ?" นางขู่สำทับ

"ไม่อยากตายครับ" เขาตอบเสียงอ่อย

"งั้นก็บอกเรามาว่าต้องการอะไร?"

"อ่า คือว่า ข้าน้อยอยากได้ของใช้จึงเข้ามาขโมยของมีค่าในห้องนี้ ไม่มีความต้องการอย่างอื่น"

"เจ้านี้กล้าจริงๆ รู้หรือไม่ว่าในห้องนี้นอกจากท่านเจ้าพระยาสามีของเราแล้ว คนอื่น ไม่มีใคร กล้าเข้ามา"

"ไม่ทราบครับ"

"เข้ามาขโมยของในบ้านเราและเราจับได้เช่นนี้ รู้มั้ยว่าโทษเจ้าถึงตาย คนมือดีตีนดีอย่างเจ้า ไม่สมควร เที่ยวหาลักขโมย ผิดกฎบ้านกฎเมือง เจ้าไม่กลัวรึ?"

"กลัวครับ กลัวจริง ๆ โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย.. ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว" นายชุ่มก้มลงกราบงก ๆ ขอชีวิต

"เอาอย่างนี้ เรามีข้อแลกเปลี่ยน ถ้าเจ้าตกลงเราจะยกโทษให้ และข้อแลกเปลี่ยนนี้ รับรองว่า เจ้าก็ชอบ" นางกล่าว

"จะให้ทำอะไรรับใช้ก็ยินดีทำให้ทั้งนั้น ขอแต่ท่านอย่าเอาความผิดข้าน้อยเลย" ชุ่มกล่าวอย่างยินดี

"ถ้างั้นคืนนี้เจ้าต้องนอนกับเรา และทำอะไรให้เราตามที่เราต้องการ เข้าใจไหม?"

นายชุ่มนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางคนนี้มีผัวอยู่แล้วถ้าขืนนอนกับนาง ต้องเป็นการฝ่าฝืน ศีลข้อ ๓ ตามที่ให้สัญญากับหลวงพ่อเอาไว้ว่า จะปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่ถ้าไม่ทำให้ตามที่นางเสนอมา นางก็จะไม่ยอมยกโทษให้ ระหว่างการรักษาศีล กับรักษาชีวิตไว้ จะเอาอย่างไรกันดี ฝ่ายนางเจ้าของบ้าน เห็นนายชุ่มนิ่งอึ้ง ไม่แสดงอะไรออกมา ก็เร่งขู่สำทับ

"ว่าไง? ทำไมถึงนิ่งเฉยอยู่เล่า หรือจะรอให้เราเรียกทหารเข้ามาลากตัวออกไป"

"ขอเปลี่ยนเป็นรับใช้อย่างอื่นจะได้ไหม?" ชุ่มต่อรอง

"หมายความว่ายังไง?.. เรื่องแค่นี้เจ้าถึงกับช่วยเราไม่ได้เชียวรึ?"

"ข้าน้อยจนใจจริง ๆ ไม่สามารถช่วยท่านได้ โปรดอภัยข้าเถิด"

"ไม่ใช่ผู้ชายรึ ถึงนอนกับผู้หญิงไม่ได้?" นางถามอย่างสงสัย

"ข้าน้อยเป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่รับปากหลวงตาเอาไว้ว่า จะรักษาศีลข้อสามไว้อย่างเคร่งครัด"

"อย่าโง่นักเลย จะตายอยู่แล้วยังห่วงศีลอยู่อีกเรอะ?"

"ตายก็ต้องยอม เพราะได้ให้คำสัตย์กับพระอาจารย์ไว้"

นางเห็นว่านายคนนี้จะใจแข็งไม่ทำตามที่นางต้องการ จึงคิดเปลี่ยนแผนในใจ จากขู่หันมาเพิ่ม ข้อแลกเปลี่ยน มากกว่าเก่า

"ถ้าหากทำตามใจเรา ของต่าง ๆ อันมีค่าในห้องนี้ เรายินดียกให้ท่านขนไปทั้งหมด เจ้าจะยินดีหรือไม่?"

"ถึงจะให้อะไรข้ามากมาย ข้าก็ทำตามใจนางไม่ได้จริง ๆ"

"โธ่..ท่านคะ.. ขอร้องล่ะนะ ช่วยข้าหน่อยเถิด สามีข้าเจ็ดวันถึงมาหาข้าครั้งหนึ่ง ทุกวัน ข้าอยู่แต่ในห้องคนเดียว เหงาเหลือเกิน"

"ไงอย่างนั้นเล่า?..." นายชุ่มถามนางอย่างสงสัย

" ข้าเป็นเมียน้อยคนที่เจ็ดของท่านพระยา กว่าจะถึงรอบข้าก็เจ็ดวันพอดี แล้วจะไม่ให้ข้าเหงา ได้อย่างไรเล่า" นางโอดครวญ

"จะอย่างไรก็ตาม ท่านเป็นเมียเจ้าพระยาก็ต้องรอสามีของท่านต่อไปเถิด"

นางขอร้องไม่เป็นผลก็เปลี่ยนแผนใหม่ ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่ออกจนหมดสิ้น แล้วโผเข้ามากอด นายชุ่ม อย่างกระหายสวาท พร้อมกับคร่ำครวญอ้อนวอน

"นะคะข้ายินดีเป็นเมียลับ ๆ ตลอดไป ถ้าขาดแคลนอะไร ข้าพร้อมให้ทุกอย่าง อย่าปฏิเสธเลยนะ"

เธอดึงแขนนายชุ่มมายังเตียง พร้อมกับเอนกายลงโหนเอาร่างนายชุ่มลงมาไว้แนบอก ชุ่มเห็นว่าตัวเองจะจนด้วยเกล้า ขืนอยู่เสียทีนางแน่ จึงยันกายผลุนผลันลุกขึ้น เตรียมที่จะวิ่งหนี ออกนอกห้อง ฝ่ายนางรู้ตัวนายคนนี้ไม่เอาด้วย แล้วก็รู้สึกละอายเป็นยิ่งนัก และขืนปล่อยตัวไป ก็คงต้องเอาเรื่องของนางไปนินทาเป็นแน่แท้ อย่ากระนั้นเลย คนโง่ ๆ แบบนี้เรียกทหารเข้ามาจับ เอาตัวไปตัดหัวดีกว่า

"ช่วยด้วย ช่วยด้วย มีขโมยเข้ามาจะปล้ำฉัน ใครอยู่ข้างนอกช่วยที" นางร้องเรียกคนข้างนอก

สิ้นเสียงร้อง ทหารยามที่นั่งหลับอยู่ข้างนอก ตรูกันเข้ามาช่วยกันจับตัวนายชุ่มออกไปขังไว้ข้างนอก รอรุ่งเช้า จึงเอาตัวไปให้เจ้าพระยา เป็นผู้ตัดสินโทษ

"พวกเจ้าอยู่เวรยามกันอย่างไร ปล่อยให้ไอ้โจรห้าร้อยนี้เข้ามาขโมยของ และจะปล้ำฉัน ถึงที่นอนเช่นนี้?...คอยดูเถิดพวกแก จะถูกลงโทษทั้งหมด" นางคาดโทษทหารยาม

รุ่งเช้า นายชุ่มก็ถูกคุมตัวเข้าไปหาเจ้าพระยาเศรษฐีที่คฤหาสน์ ฝ่ายเจ้าพระยาโกรธหนัก เมื่อได้ฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงกับเต้นผาง ผาง

"หน็อย...ไอ้เปรตนี่ บังอาจนักนะแก คิดจะล่อเมียกูเรอะ? เดี๋ยวรู้ผล ฮึ่มม์.."

ว่าแล้วท่านเจ้าพระยาก็ร้องสั่งทหารอย่างเคืองแค้น

"ทหารเอาตัวมันไปตัดหัวเสียบประจาน" เจ้าพระยาออกคำสั่งเสียงดัง

"นายท่านจะไม่ไต่สวนก่อนรึ พะยะค่ะ ?" ทหารคนหนึ่งท้วงติง

"ไต่เต่ยอะไรกัน ไอ้นี่มันเข้าไปขโมยของอย่างเดียวยังไม่พอ ฉันตื่นมาเห็น มันก็ยังเข้ากอดปล้ำ จะข่มขืนฉันอีก คิดดูซิว่ามันโหดร้ายแค่ไหน ท่านพี่เจ้าคะ รีบให้ทหารนำตัวออกไป ประหารเลย เถิดค่ะ" เมียเจ้าพระยาเร่งเร้า

"ได้ยินมั้ยทหาร เมียข้าบอกให้รีบนำตัวออกไปประหารเดี๋ยวนี้"

นายชุ่มถูกควบคุมตัวเดินคอตกเข้าสู่ลานประหาร เขานึกถึงคำพูดของหลวงพ่อที่ว่า ถ้ารักษาศีลข้อนี้ได้ จะช่วยให้รอดพ้นอันตรายต่าง ๆ ได้ แต่ในขณะนี้เขากำลังจะถูกตัดคอ ในอีกไม่กี่นาที ข้างหน้านี้แล้ว มันหมายความว่าอย่างไร ทางรอดมีอยู่ ถ้าเขายอมนอนกับ เมียเจ้าพระยา นอกจากจะรอดตายแล้ว ยังจะได้ทรัพย์สิ่งของมีค่าต่าง ๆ เป็นบำเหน็จรางวัลอีกด้วย แถมยังจะได้นางเป็นเมียลับๆ ตลอดไป แต่ทำไมเขาถึงไม่เชื่อนาง กลับไปเชื่อคำพูดของหลวงพ่อ จนเจอดี

"พระโกหก" เขาเดินไปบ่นไป

"พระโกหก โอ้ย..พระโกหก..." เขาบ่นเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ

"แก่บ่นอะไรวะ เจ้านักโทษ?" ทหารผู้คุมเอ่ยถามอย่างสงสัย

"ก็หลวงพ่อนะซิ หลอกให้ข้ารักษาศีลข้อสามว่า ถ้าไม่ล่วงเกินเมียเขาแล้วละก็ จะรอดพ้น จากอันตราย ทั้งปวง แต่นี้ไม่เห็นจริงเลย" นายชุ่มกล่าวอย่างท้อแท้

"อ้าว.. แล้วจะให้เป็นจริงได้อย่างไรกันเล่าเจ้านักโทษ ก็ท่านดันไปปลุกปล้ำเมียเจ้าพระยา เข้าแล้วนี่นะ"

"ไม่จริงหรอก เราไม่ได้ปล้ำ เราเข้าไปขโมยของน่ะจริง แต่เรื่องปล้ำข่มขืนอะไรนั่น เราไม่ได้ทำ แม้แต่น้อย"

"เจ้าไม่ต้องกล่าวแก้ตัวไม่มีใครเชื่อหรอก นายหญิงท่านจะหาเรื่องเจ้าทำไม แค่เข้าไปขโมย ของในห้อง มันก็ผิดเต็มประตูอยู่แล้วไม่ใช่รึ?"

"จริง ๆ นะ เราไม่ได้ทำ" นายชุ่มกล่าวยืนยัน ขณะเดียวกันกับทหารยามอีกคน เดินเข้ามาสะกิด พร้อมกระซิบ

"จริงตามที่เจ้านักโทษมันกล่าวนั่นแหละ เมื่อคืนข้าแอบฟังอยู่ที่ประตูหน้าห้อง" ทหารยามผู้นั้น กล่าวกระซิบ ยืนยันกับเพื่อนทหารด้วยกัน

"เฮ้ย จริงรึ?" ทหารผู้คุมย้อนถาม

"จริงซิ.. แต่ข้าไม่กล้าพูดอะไรเพราะเป็นเรื่องของเจ้านาย" ทหารยามกล่าวยืนยัน ฝ่ายผู้คุม ได้ฟังดังนั้น ก็หันกลับมาถามนักโทษอย่างละเอียด ส่วนนักโทษก็เล่าเรื่องราว ให้ผู้คุมฟังทั้งหมด ดังนั้น ผู้คุมจึงชะลอการประหารไว้ก่อน แล้วนำเรื่องราวทั้งหมด ขึ้นไปกราบเรียน ต่อท่านเจ้าพระยา อีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายเจ้าพระยาเมื่อได้ฟังก็นึกเอะใจ จึงรีบนำตัวผู้ต้องหา เข้ามาสอบถาม ความเป็นจริง อีกครั้ง

"ไง..เจ้านักโทษ ไหนลองเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เราฟังอีกครั้งหนึ่งซิ เรื่องราวเป็นอย่างไง?" พระเจ้าพระยาถาม

"ได้พะยะค่ะ คือว่าข้าน้อยอยากได้ของที่มีค่า จึงย่องเข้าไปภายในบ้านภรรยาน้อยของท่าน เมื่อตอนดึก เห็นนางนอนหลับจึงรีบเก็บของใส่ถุง แล้วจะเดินออกจากห้อง ก็พอดีนางตื่นขึ้นมาเห็นเข้า นางจึงรีบกระโดดลงจากเตียงมาขวางประตูเอาไว้ ตอนนั้น ข้ารู้สึกกลัวมาก นางขู่จะเรียกทหารเข้ามาจับเอาตัวออกไปให้สั่งประหาร ข้าน้อยกลัวตาย จึงร้องขอชีวิต นางจึงกล่าวว่า ถ้าไม่อยากตาย นางมีข้อแลกเปลี่ยน ถ้ายอมทำอะไรตามใจนาง ขณะนั้น ข้าน้อยกลัวตาย จึงรับปากโดยที่ยังไม่ทราบว่านางจะให้ทำอะไรบ้าง นางกล่าวว่าดีแล้ว นางก็ขอให้ข้าน้อยนอนค้างกับนาง ทำอะไรให้นางพอใจ แล้วนางจะปล่อยตัวไป แต่ข้อนี้ข้าน้อย ยอมทำให้ไม่ได้ เพราะผิดศีลข้อสาม ตามที่รับปากหลวงพ่อเอาไว้ว่า จะนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จึงขอให้นางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น แต่นางไม่ยอม จะให้ข้าน้อยนอนด้วยท่าเดียว แต่ข้าก็ไม่สามารถ ทำอะไรให้นางได้ เพราะกลัวว่าจะเสียสัตย์ ในที่สุดนางก็อ้อนวอนข้าน้อย จะให้รางวัลข้ามากมาย ถ้าข้าน้อยยอมตกลง นางจะยอมเป็นเมียลับ ๆ ตลอดไปขาดแคลนอะไร นางจะหาให้ทุกอย่าง แต่ข้าน้อยปฏิเสธ เพราะกลัวผิดศีลอย่างเดียว นางเกิดความละอายหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงเปลื้องผ้าผ่อนออก แล้วร้องเรียกทหารเข้ามาจับตัวข้าน้อย หาว่าข้าปลุกปล้ำ เรื่องราวก็เป็น ตามนี้แหละ พะยะค่ะ.."

"อืมม์.." ที่เจ้าว่ามาทั้งหมดนี้เป็นความจริงรึ?"

"ข้าน้อยมิกล้าโกหกท่านเจ้าพระยาหรอกพะยะค่ะ"

"แล้วเรื่องที่ว่าเจ้ารับเอาศีลข้อสามมาปฏิบัติน่ะ เจ้ามีพยานหรือเปล่า?"

"มีพะยะค่ะ.."

"ใคร..?"

"หลวงพ่อที่วัดพะยะค่ะ" นายชุ่มตอบ

"ทหาร... รีบไปนิมนต์หลวงพ่อวัดบ้านเจ้านักโทษมาหาข้าหน่อยซิ" เจ้าพระยาออกคำสั่งกับทหาร

"พะยะค่ะ.." ทหารรีบทำความเคารพรับคำสั่งแล้วออกเดินทาง

ไม่นานนัก ทหารก็นิมนต์หลวงพ่อมาถึงบ้านเจ้าพระยาเศรษฐี และจัดที่นิมนต์ให้ท่านนั่ง บนอาสนะ อันสมควรแล้ว หลวงพ่อจึงเอ่ยถามถึงเรื่องที่นิมนต์ท่านมา

" ท่านเจ้าพระยามีธุระอะไรกับอาตมารึ?" หลวงพ่อเอ่ยถาม

"มีขอรับ...ไอ้นักโทษคนนี้มันแอบย่องเข้าไปขโมยของในบ้านเมียน้อยข้าพเจ้า และจะปล้ำข่มขืน เมียข้าน้อยอีกด้วยขอรับ" เจ้าพระยารายงาน

"ไหน นักโทษคนไหน?" หลวงพ่อถาม

"ไอ้นี่ ขอรับ" พูดแล้วชี้ไปทางนายชุ่ม

"เอ้า..เจ้าชุ่มนี่" หลวงพ่ออุทาน

"ขอรับ ข้าน้อยเองหลวงพ่อ" นายชุ่มก้มลงกราบแทบเท้า

"อ่าวเรื่องมันเป็นมายังไง ไหนท่านเจ้าพระยาลองเล่าให้อาตมาฟังหน่อยเถิด"

จากนั้นเจ้าพระยาก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้หลวงพ่อฟังอย่างละเอียด โดยที่หลายคนในที่นั้น นั่งฟังกันอย่างเงียบกริบ

"นี่แหละเรื่องราวที่เกิดขึ้นขอรับหลวงพ่อ"

"อื่อ..แล้วยังไงต่อไปรึ?"

"เจ้าหมอนี่อ้างว่า มันอ้างว่ามันไปรับศีลข้อ ๓ จากหลวงพ่อมาปฏิบัตินั้นจริงหรือเปล่าขอรับ?"

"เรื่องนี้เป็นความจริงโยมเจ้าพระยา เมื่อสามวันที่แล้ว อาตมาได้ให้ศีลมันทั้งห้าข้อนั่นแหละ แต่มันขอรับเอาข้อเดียวมาปฏิบัติ อีกสี่ข้อมันไม่รับ อาตมาก็เลยบอกว่า รับเอาข้อเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ให้นำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง อย่าเสียสัตย์ก็พอ"

"เมื่อหลวงพ่อยืนยันอย่างนี้ ข้าน้อยก็จะยกโทษให้มันขอรับ"

"ก็แล้วแต่โยมเจ้าพระยาเถิดนะ เสร็จธุระแล้วใช่ไหม? ถ้าเช่นนั้นอาตมาขอตัวกลับล่ะ เจริญพร" ว่าแล้วหลวงตา ก็หันมากล่าวกับ นายชุ่มอย่างมีเมตตา

"ชุ่ม..แกต้องขอบคุณท่านเจ้าพระยาเขานะ และถ้าแกรับเอาศีลทั้งห้าข้อมาปฏิบัติได้ จะยิ่งวิเศษ มากกว่านี้รู้มั้ย?"

"ขอรับหลวงพ่อ" นายชุ่มก้มลงกราบแทบเท้าหลวงพ่อด้วยความซาบซึ้ง โชคดีที่หลวงพ่อ มายืนยัน ความบริสุทธิ์ให้ ไม่เช่นนั้น เขาคงหัวขาดเป็นแน่แท้

เมื่อพระหลวงพ่อ เดินทางกลับไปวัดแล้ว เจ้าพระยาก็สั่งให้ทหาร นำตัวนางเมียน้อย เข้ามาหา อย่างเคืองแค้น

"ว่าไงนังตอแหล ได้ยินหมดแล้วใช่มั้ยคิดจะสวมเขาให้กูเรอะ?" เจ้าพระยาขบกรามแน่น

"น้องผิดไปแล้ว ยกโทษให้น้องด้วยเถิดนะ ..ขอร้องล่ะ ฮือ ฮือ" นางกล่าวอ้อนวอน พร้อมเสียงสะอื้น

"ยกโทษเรอะ? ทำงามหน้านักนี่ ทหารเอาตัวอีกากีนี่ไปขังไว้ รอตัดหัวเสียบประจานพรุ่งนี้" เจ้าพระยาสั่งทหาร ให้นำตัวนางออกไปอย่างแค้นเคือง

ส่วนนายชุ่ม เจ้าพระยาสั่งให้ปล่อยตัวกลับบ้าน พร้อมกับยกสมบัติ อันเป็นส่วนแบ่ง ของเมียน้อย ทั้งหมดให้นายชุ่มผู้เคร่งครัดในศีลข้อ ๓ ไปใช้สอยที่บ้านอย่างสบายทั้งชีวิต

อันว่าความดีนี้ นำมาปฏิบัติเมื่อไรก็ทันสมัยเมื่อนั้น คนดีคนเลว ก็ปฏิบัติได้ โดยไม่มีกฎข้อห้ามใด ๆ


- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๑ ธันวาคม ๒๕๔๖ -

พระพุทธองค์ตรัส

ในอดีตกาลจนถึงอนาคตกาล ทั้งในปัจจุบันจนถึงเดี๋ยวนี้ กามทั้งหลายก็มีสัมผัสเป็นทุกข์ มีความร้อนยิ่ง มีความเร่าร้อนมาก
ผู้มีความกำหนัด ย่อมถูกกามตัณหาเคี้ยวกินอยู่ ถูกความเร่าร้อนเกิดขึ้น ถูกโทษกำจัดเสียแล้ว จึงได้สำคัญผิดในกาม อันมีสัมผัสเป็นทุกข์นั้นว่าเป็น "สุข" ไป

(จากพระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓
"มาคัณฑิยสูตร" ข้อที่ ๒๘๔)