เราคิดอะไร

สังคมไทยกับทศวรรษแห่งการจากไปของพุทธทาสภิกขุ
- ส.ศิวรักษ์ -
ตอนจบ
ปาฐกถาในงาน ทศวรรษแห่งการจากไปของพุทธทาส วันอังคารที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๖
ณ ห้องประชุมศรีอยุธยา หอวชิราวุธ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพฯ


รวมพุทธศาสนาด้วย เพราะจากรหัสยนัยในทางจิตสิกขานี้แล ที่เราจะเข้าได้ถึงปัญญาสิกขา และนั่นก็คือ เนื้อหาของวิโมกษธรรม สมกับชื่อของสวนโมกข์อย่างแท้จริง เชื่อว่าท่านอาจารย์ จะพอใจ ในแนวคิดที่แหวกออกไปอย่างเข้าใจความปรารถนาดีของทุกๆ คน และถ้าเราใช้ วิทยาศาสตร์ สมัยใหม่ อย่างที่ Institute of Mind Science จัดสัมนา โดยนำนักวิทยาศาสตร์ ชั้นนำ มามีวิสาสะกับพุทธศาสนิกชั้นนำ ที่เข้าถึงทั้งทางปริยัติและปฏิบัติ แล้วเบิกบัญชรในทางรหัสยนัย ให้เข้าถึงได้ ทั้งทางจิตสิกขาและทางวิทยาศาสตร์ฝ่ายนามธรรม นี่จะสำคัญยิ่งนัก จะช่วยให้เรา เข้าถึงความเข้าใจในเรื่องตายแล้วเกิด และในเรื่องของเทวดานางฟ้าต่างๆ ดังที่ทางธิเบต เขามีนางธารา ทักขิณี มหากาฬ ศัมภาละ ฯลฯ ถ้าเราเข้าใจสัญลักษณ์เหล่านี้ อย่างวางท่าที ที่ถูกต้อง เราย่อมอาจนำเอาบุคลาธิษฐานนั้นๆ มาเป็นปัจจัยในการแสวงหาธรรม จนเข้าถึง ธรรมาธิษฐาน และไปพ้นสัมปรายิกัตถะ จนเข้าถึงปรมัตถะได้ด้วยซ้ำไป

พร้อมกันนี้ ก็ต้องขอพูดต่อไปอีกเล็กน้อยว่า ผู้ที่อ้างตนว่านับถือพุทธศาสนาในเมืองไทยนั้น ส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจเนื้อหาสาระของพุทธธรรม เพราะ (๑) การอบรมบ่มนิสัยเยาวชนตามแบบโบราณ ซึ่งมีวัดกับบ้านอิงอาศัยกันและกัน มีพระและบิดามารดา ปู่ย่าตายาย เป็นแบบอย่างในทาง วัฒนธรรมนั้น ได้ตายไปแล้วเกือบหมดสิ้น (๒) การสอนพุทธศาสนาโดยโรงเรียนนั้น คือการฆ่าสาระ แห่งพระธรรม รวมทั้งการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม ที่จัดขึ้นแต่สมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มาจนการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็เช่นกัน ยิ่งการสอน พุทธศาสนา ทางสื่อมวลชนด้วยแล้ว ให้แง่ลบยิ่งกว่าแง่บวกแทบทั้งนั้น (๓) เมื่อบุคลากรฝ่าย พุทธจักร อ่อนแอ ไสยเวทวิทยาย่อมมีอำนาจเหนือพุทธธรรม โดยที่ไสยเวทวิทยาอย่างใหม่คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และอกุศลมูลอย่างใหม่คือ เงิน (โลภะ) อำนาจ (โทสะ) และวิธีวิทยา อย่างฝรั่งที่เรารับเข้ามาสมาทานอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ (โมหะ) พุทธศาสนาจึงกลายไปเป็น พุทธพาณิชย์ ชาวพุทธชั้นนำจึงนับถือเงินและอำนาจ ตลอดจนอวิชชาต่างๆ อย่างเหนียวแน่น (๔) ผู้ที่ตั้งตัวเป็นพุทธศาสนิกสมัยใหม่ ต้องการให้เป็นพุทธศาสนามีค่าเท่ากับวิทยาศาสตร์ ให้พระพุทธเจ้า เป็นเพียงยอดของนักปราชญ์ เมื่อ ๒,๕๐๐ ปีล่วงมาแล้ว แล้วพุทธศาสนา จะมีคำตอบ สำหรับสังคมปัจจุบันได้อย่างไร

นี่ยกมาเพียง ๔ ประเด็น และถ้าเราตีประเด็นเหล่านี้ได้ไม่แตก โดยเฉพาะก็ข้อล่าสุด อย่าว่าแต่ พุทธทาสเลย แม้พระพุทธเจ้าก็คงมีคุณค่าเพียงเฉพาะตนเท่านั้น ดังคำแปลบทรับไตรสรณคมน์ กันตามพิธีกรรมของวัดต่างๆนั้น ยังมีความเพียงว่า 'ข้าพเจ้าขอรับเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่ง เครื่องกำจัดภัยได้จริง' แต่ถ้าจะยึดตามคำแปลนี้ ก็ต้องตีความในเรื่อง 'เครื่องกำจัดภัยได้จริง' ให้ถึงแก่น เพราะถ้าเข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงแล้ว ภัยหรือ ความกลัวใดๆ ย่อมปลาสนาการไปได้สิ้น แม้จนความกลัวตาย กลัวความเจ็บไข้ได้ป่วย กลัวความไม่มั่นคงในชีวิต กลัวความเหงา กลัวการขาดคนรัก กลัวว่าสังคมจะไม่ยอมรับ สภาพของตน นี่เป็นความกลัวในทางส่วนตัว ยังความกลัวทางสังคมนั้นเล่า โดยเฉพาะก็ความกลัว ที่เกิดจาก การเอาเปรียบโดยรัฐและบรรษัทข้ามชาติ การมอมเมาจากสื่อสารมวลชน ให้สบยอมกับ โลกาภิวัตน์ แทนที่จะภูมิใจในคุณธรรมดั้งเดิม การที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นเพียง สามัญมนุษย์ ที่ดับขันธ์ไปแล้วนั้น นับว่าอันตรายมาก เพราะเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว ทรงพบอาชีวกคนแรก ระหว่างทาง เขาทูลถามสถานะของพระองค์ว่า เป็นมนุษย์หรือ เทวดาหรือ ฯลฯ ทรงตอบว่า ไม่ใช่ทั้งสองสถาน หากตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ได้โดยพระองค์เอง ถ้าเราตีประเด็นนี้ไม่แตก จะเป็นมิจฉาทิฏฐิได้ง่าย

ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎกดูดีๆ จะเห็นว่า ในสถานะหนึ่ง พระพุทธองค์ก็ทรงเป็นมนุษย์ เสด็จดับขันธ์ ด้วยพระโรคาพาธ แม้จะทรงระงับความทุกข์ทางกายได้เหนือสามัญมนุษย์ก็ตาม และในบางสถานะ ก็ทรงสภาพเหนือสามัญมนุษย์ เช่น เมื่อทรงแสดงพระปฐมเทศนาจบลงนั้น เทวดาทั้งหมื่นโลกธาตุพากันมาถวายอภิวาท แซ่ซร้องสาธุการ แม้เมื่อจะปรินิพพาน ก็มีเทวดา จากหลายชั้นฟ้ามาเฝ้า เราจะหาว่าพระคันรจนาจารย์เติมข้อความพวกนี้เข้าไปภายหลังกระนั้นหรือ ยังการที่ทรงสอนให้แผ่ส่วนกุศลแด่เปรตเล่า เป็นเรื่องเหลวไหลกระนั้นหรือ หรือจะว่า นี่เป็นเรื่อง ที่พิสูจน์ไม่ได้ตามวิธีวิทยาของฝรั่ง อย่างน้อยทางมหายาน อธิบายได้ชัดเจน เรื่องพระนิรมานกาย ของพระพุทธเจ้า ที่คนธรรมดาสามัญก็แลเห็นและรับรู้ได้ นอกจากนี้ก็ยังมีพระสัมโภคกาย ที่รับรู้ได้แต่พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย และเทวดาชั้นสูงเท่านั้น โดยที่สำคัญสุดนั้นคือพระธรรมกาย แม้จะไม่ต้องไปถึงคำสอนของฝ่ายมหายาน พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณของพระองค์ ก็ทรงประกอบไปด้วย ทศพลญาณ และอภิญญา ตลอดจนอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ อย่างที่สามัญมนุษย์ ไม่อาจรับรู้ได้โดยตรรกะ หรือหัวสมอง หากเข้าถึงได้ด้วยจิตสิกขา นี้แลคือความวิเศษมหัศจรรย์ของพระพุทธานุภาพ ซึ่งแสดงออกได้ทั้งทางพระกรุณาคุณ ดังทางมหายานแสดงธรรมาธิษฐานในข้อนี้ ให้เป็นบุคลาธิษฐานในรูปของอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (ดังองค์ที่ไชยานั้นงามยิ่งนัก) หรือเจ้าแม่กวนอิม และทางพระปัญญาคุณ ซึ่งแสดงออกในทาง บุคลาธิษฐาน ให้เป็นพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ เป็นต้น ถ้าเข้าใจเนื้อหาสาระอันเป็นเลิศของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว การสมาทานพระรัตนตรัย ย่อมช่วยให้เกิดศรัทธาปสาทะ อย่างมั่นคง ในพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และสังฆคุณ จนเราย่อมอาจสามารถแปรเปลี่ยนควมกลัวไปได้ ให้กลายเป็นความกล้าหาญเบิกบาน เราสามารถเปลี่ยนความโลภไปได้ให้เป็นทาน การให้ ตั้งแต่ให้วัตถุทาน อามิสทาน จนธรรมทาน และในที่สุดคืออภัยทาน

กล่าวคือเราสละความกลัวต่างๆ เสียได้ โดยมีความกล้าหาญอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนมาแทนที่ เพื่อรับใช้สรรพสัตว์ ยิ่งกว่ารับใช้ตนเอง

เมื่อเปลี่ยนโลภะและราคะให้มาเป็นทานได้แล้ว เราก็ย่อมแปรเปลี่ยนโทสะหรือโกธะ ให้มาเป็น ความเมตตา กรุณา ความรักในทางราคะอย่างหึงหวง อย่างเต็มไปด้วยดำฤษณา กลายมาเป็น ความรัก อย่างลดความเห็นแก่ตัว จนเอาชนะความเห็นแก่ตัวได้ กามฉันทะแปรไปได้เป็นธรรมฉันทะ ด้วยการรักตนเองและคนรอบๆตนอย่างเข้าอกเข้าใจ อย่างไม่พยาบาทปองร้าย(เมตตา) แล้วรักคน ที่ยากไร้ ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ อย่างพร้อมที่จะรับความเดือดร้อนลำเค็ญร่วมกับเขา (กรุณา) และหาทางออกจากทุกข์ภัยนั้นๆ ด้วยความร่วมมือของกันและกัน โดยมีพุทธธรรมเป็นแกนนำ โดยเข้าใจด้วยว่าคนที่กดขี่ข่มเหงเรา ล้วนทำไปด้วยอคติ ด้วยอวิชชา และด้วยโครงสร้างทางสังคม อันอยุติธรรม จึงไม่จำเป็นที่เราจะอิจฉาชนชั้นบน หรือคนที่กดขี่ข่มเหงเรา (มุทิตา) และถ้าเรายัง หาทางออกได้ไม่ชัด หรืออะไรๆก็แก้ไขปัญหาได้แล้ว เราก็ตั้งจิตไว้ให้เป็นกลาง อย่างไม่เข้าข้างใคร ใช้เวลาภาวนาอย่างเป็นกลางทางธรรมชาติ (อุเบกขา) เพื่อให้เกิดความงอกงามด้วยอหิงสธรรม สำหรับตัวเราและสังคมรอบๆ เรา จนถึงสังคมวงกว้างอย่างหาประมาณมิได้

จากจุดนี้แหละที่เราอาจแปรสภาพจากโมหะหรืออวิชชามาให้กลายเป็นปัญญา ด้วยอาศัย ความเข้าใจในเรื่องการอิงอาศัยซึ่งกันและกันของสรรพสิ่ง อย่างไม่มีตัวกูของกู หรือกูกับมึง หากเป็นการโยงใยกันของความเป็นเช่นนั้นเอง

ถ้าเราสามารถเจริญธรรมได้ดังที่บรรยายมา ก็เท่ากับว่าเรานำทาสของพระพุทธเจ้า กลับมาให้เป็น ตัวแปร ที่จะช่วยเราแต่ละคน และช่วยสังคมวงกว้าง ให้เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้อย่างแท้จริง นี้แลคือคำตอบที่พุทธศาสนาจะให้ได้กับสังคมไทยร่วมสมัย กล่าวคือว่า พุทธศาสนา มีอะไรๆ ที่ลึกซึ้ง และมีแนวทางที่ไปพ้นความรุนแรง และความมืดบอด อย่างมองเห็น เป็นเขาเป็นเรา เราดี เขาเลว หากเป็นการเอื้ออาทรต่อกันและกัน ไม่แต่ในหมู่มวลมนุษย์ หากรวม ตลอดจนถึงสรรพสัตว์

ถ้าเราสามารถชัดเจนได้ในเรื่องนี้ และทำความข้อนี้ให้เป็นรูปธรรมได้มากเท่าไร การบูชาทาน อาจารย์พุทธทาส ซึ่งเป็นต้นทางแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้า ก็จักเป็น ปฏิบัติบูชา ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าอามิสบูชาเป็นไหนๆ

ก่อนจบขอพูดแถมท้ายอีกนิดว่า เมื่อข้าพเจ้าแรกไปพบท่านอาจารย์ที่สวนโมกข์เมื่อราวๆ ๔๐ ปี มาแล้วนั้น เราปรารภกันว่าคนไทยเราตามฝรั่งในทางวัตถุนิยมมากเกินไป ท่านอาจารย์ว่าอะไรๆ มันก็เหมือนกับลูกตุ้มที่แกว่งไปมาอยู่เสมอ บางทีก็แกว่งไปแรงในทางกามคุณ แต่พอเกิดสติ มันก็แกว่ง มาในทางธรรมได้ ทางเมืองฝรั่ง เวลานี้ คนที่เดินทางนอกกระแสหลัก ของทุนนิยม และวัตถุนิยม ได้ข้ามาสมาทานพุทธศาสนาที่เนื้อหาสาระมากยิ่งๆ ขึ้น โดยที่ฝรั่งพวกนี้ มีคุณภาพมากกว่าชาวพุทธไทยในกระแสหลักเสียอีก คนไทยที่ถือตัวว่าตัวเองว่าเป็นชนชั้นนำนั้น เดินตามก้นฝรั่ง ช้าไปกว่า ๔-๕ ทศวรรษ ดูได้ที่นายบุช แห่งสหรัฐ และนายแบล แห่งสหราช อาณาจักร กับนายทักษิณ ชินวัตร ที่เมืองไทยเป็นตัวอย่างก็ได้ ว่าแต่ละคน ล้วนตกอยู่ใต้ อำนาจนิยม และทุนนิยมอย่างสุดๆ โดยแต่ละคนขาดสันติภาวะภายในตน ด้วยกันทุกคน แม้ทั้งสามคนนี้ จะมีคุณความดีรวมอยู่ด้วยก็ตาม ทั้งสามนี้เป็นเพียงตัวอย่าง ที่เข้าไม่ถึงสันติวรบท ที่ท่านอาจารย์พุทธทาส นำทางให้เราเข้าถึง พระบรมศาสดา โดยที่ในอเมริกาและอังกฤษ มีคนเรียนรู้ ในเรื่องอนัตตา และศูนยตา ทางจิตสิกขายิ่งๆ ขึ้น แล้วนำเอาไตรสิกขา มาประยุกต์ เพื่อความยุติธรรมในสังคมยิ่งๆ ขึ้นด้วย มีการเรียนการสอนเรื่องพุทธศาสนา เพื่อสังคม อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ในขณะที่ไม่มีวิชานี้สอนในเมืองไทยเอาเลย ถ้าเราจะตามฝรั่ง อย่างลูกตุ้ม ที่เหวี่ยงไปมา ก็น่าจะหันมาตามลูกตุ้มที่ฝรั่งนำเอาวิทยาศาสตร์มารับใช้พุทธศาสนา โดยเอาพุทธรรม มาสะกดให้กระแสต่างๆ ในทางโลกเชื่องลง เพื่อให้เป็นไปในกระแส แห่งพระอริยมรรค มากยิ่งๆ ขึ้น โดยท่านอาจารย์ได้เตือนไว้มาได้ ๔๐ ปีเข้านี่ แล้ว ว่าไทยเรา คงจะตามฝรั่ง ในทางของสติและปัญญา ยิ่งกว่าเดินตามฝรั่งในทางกิน กาม เกียรติ ขอให้ถ้อยคำ ของท่านอาจารย์ เมื่อสี่ทศวรรษมาแล้ว จักเป็นจริงยิ่ง ๆ ขึ้น เพื่อเราจะได้ถึงความสะอาด อย่างสงบ และสว่าง ดังคำของท่านอาจารย์อีกด้วยนั้นแล

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๑ ธันวาคม ๒๕๔๖ -