จิตวิญญาณหาญกล้า
(สสบัณฑิตชาดก)
กล้าได้ใครใครก็กล้า
กล้าให้ยากกว่ามหาศาล
ให้เลือดเนื้อจิตวิญญาณ
ให้อย่างกล้าหาญหมดตัว
นครสาวัตถี
มีเศรษฐีมั่งคั่งผู้หนึ่ง ปรารถนาจะทำบุญถวายบริขาร
(เครื่องใช้สอยจำเป็นของพระ) ทุกอย่างแก่ภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
จึงให้สร้างมณฑป (เรือนยอดที่มีรูปสี่เหลี่ยม)ไว้ที่ประตูเรือนของตน
แล้วนิมนต์พระพุทธเจ้ากับหมู่สงฆ์มา ครั้นถวายทานอันประณีตมีรสเลิศต่างๆ
แล้วยังนิมนต์ติดต่อกันอีกถึง ๗ วัน
ในวันสุดท้าย เศรษฐีจึงถวายบริขารทุกอย่างที่ตระเตรียมไว้ แก่พระพุทธเจ้าและภิกษุทั้ง
๕๐๐ นั้น จนหมดสิ้น พระศาสดาทรงได้กระทำอนุโมทนา (ยินดีด้วย) ว่า
"ดูก่อนอุบาสก
ควรที่ท่านจะเกิดปีติยินดียิ่งเพราะขึ้นชื่อว่าการทำทานนี้ เป็นวงศ์ตระกูลของบัณฑิตมาแต่โบราณกาล
แม้บัณฑิตเก่าก่อนนั้นก็ได้บริจาคมาแล้ว ถึงกับทำทานหมดแม้ด้วยชีวิตของตนทีเดียว"
เศรษฐีได้ฟังเช่นนั้น
จึงทูลอาราธนา (นิมนต์) ให้ทรงเล่า พระศาสดาจึงตรัสแสดงชาดกนั้น
...........................
ในอดีตกาล
ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ติดเชิงเขา
มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลเลียบราวป่านั้น และไม่ไกลนักก็มีหมู่บ้านชายแดนตั้งอยู่
ที่ป่านั้นเอง มีสัตว์
๔ สหายเป็นเพื่อนรักกันอาศัยอยู่ คือ
กระต่าย นาก สุนัขจิ้งจอก และลิง สัตว์ทั้ง ๔ ล้วนเป็นบัณฑิต คบหาสมาคมกันสนิทสนม
ทุกๆ เย็นจะหมั่นมาประชุมสนทนาธรรมเสมอๆ
เย็นวันหนึ่ง...สสบัณฑิต
(กระต่าย) ซี่งเป็นเสมือนพี่ใหญ่ของสัตว์ทั้ง
๔ ได้พูดคุยกันสักครู่ แล้วก็บอกสอนน้องๆ ว่า
"การที่ชีวิตจะมีคุณค่า
มีความประเสริฐ พึงให้ทาน พึงรักษาศีล พึงกระทำอุโบสถ (ถือศีล๘) เถิด"
สัตว์ทั้ง ๓ ก็น้อมรับคำอย่างเห็นดีด้วย
แล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับไปที่อาศัยของตน จนกระทั่งวันหนึ่ง...สสบัณฑิตได้กล่าวบอกกับมิตรสหายว่า
"พรุ่งนี้แล้วจะเป็นวันอุโบสถ
(วันพระขึ้นและแรม ๘ ค่ำ, ๑๔ ค่ำหรือ ๑๕ ค่ำของทุกเดือน) พวกเราพึงให้ทาน
พึงรักษาศีลอุโบสถ เพราะผู้ที่ตั้งอยู่ในศีลแล้วให้ทานย่อมมีผลบุญมาก
ฉะนั้นแม้จะเป็นคนจนเข็ญใจ มาถึง พวกเราทั้งหลายก็พึงให้อาหารที่ควรแก่เขาก่อน
ตัวเองค่อยกินในภายหลัง"
บัณฑิตทั้ง ๔ ต่างยอมรับตามนั้น
ด้วยใจปีติยินดีร่วมกัน
วันรุ่งขึ้น....
นากผู้เป็นบัณฑิตได้ออกแสวงหาเหยื่อแต่เช้าตรู่
ลัดเลาะไปตามฝั่งแม่น้ำ ครั้นได้กลิ่นคาวปลาบริเวณพื้นทรายแห่งหนึ่ง
จึงลองขุดคุ้ยลงไปดู ได้พบปลาตะเพียน ๗ ตัวถูกฝังเอาไว้ จึงคิดว่า
"เจ้าของปลาเหล่านี้มีไหมหนอ"
ร้องตะโกนถามหาเจ้าของด้วยเสียงอันดังถึง
๓ ครั้ง แต่ก็ไม่เห็นเจ้าของเลย จึงถือเป็นของเหลือเดน นำกลับไปยังที่อาศัยของตน
เก็บไว้เป็นอาหารด้วยความคิดว่า
"เราจะกินเมื่อถึงเวลาเหมาะควรในวันนี้"
แล้วก็บำเพ็ญศีลของตน
รอเวลานั้นอยู่
ส่วนสุนัขจิ้งจอกผู้เป็นบัณฑิต
ก็ออกแสวงหาอาหารตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ได้เจอเนื้อย่าง ๒ ไม้
เหี้ย ๑ ตัวและนมส้ม ๑ หม้อ ที่เขียงนาแห่งหนึ่งเข้า จึงเที่ยวดูรอบๆ
บริเวณนั้นแล้วร้องเรียกเจ้าของสักครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่พบใครเลย ดังนั้นจึงนำอาหารทั้งหมดมาเก็บไว้ที่อยู่ของตน
แล้วถือศีลรอเวลาอันควรที่จะกินอาหารนั้น
ฝ่ายลิงผู้เป็นบัณฑิต
ก็ออกหาผลไม้ในป่า ได้เก็บเอาผลมะม่วงมาไว้ยังที่พักของตน แล้วตั้งใจว่า
"ตอนนี้เราบำเพ็ญศีลก่อน
รอให้ถึงเวลาอันควรเราจึงจะกินอาหารนี้"
แล้วลิงก็รักษาศีล
เฝ้ารอเวลาอยู่และจะมีแต่ สสบัณฑิตเท่านั้น ที่ไม่ได้ออกไปหาอาหารใดๆ
เลย ด้วยความคิดว่า
"พอถึงเวลาอันควร
เราจะออกไปหาหญ้าแพรกกิน"
จึงพักอยู่ในโพรงของตนรักษาศีลอยู่
และตั้งจิต(อธิษฐาน)ของตนไว้ว่า
"หากมีผู้ใดมาขออาหารกับเราในวันอุโบสถนี้
แต่เราไม่มีอาหารใดๆ ให้ เราก็จะมอบเนื้อในกายนี้เป็นทานแก่เขา"
ด้วยอานุภาพแห่งศีลและอธิษฐานนี้เองทำให้สะเทือนถึงท้าวสักกะจอมเทพ
(ผู้มีจิตใจสูงอย่างยิ่งใหญ่) เกิดอาการร้อนรุ่มขึ้นมาทันที
จึงทรงดำริในพระทัยว่า
"เห็นทีเราจะต้องทดลองการตั้งอยู่ในธรรมของของพญากระต่ายนี้ดู
ว่าจะจริงแท้หรือไม่"
แล้วทรงจำแลงแปลงร่างเป็นพราหมณ์
เพื่อทดสอบสัตว์ทั้ง ๔ สหาย เริ่มต้นด้วยการเข้าไปปรากฏตัวหานากบัณฑิต
แล้วอ้อนวอนว่า
"ท่านบัณฑิต
ข้าพเจ้าขออาหารเป็นทานบ้างเถิด จะได้เป็นบำเพ็ญอุโบสถ กระทำสมณธรรม(ธรรมของผู้สงบระงับบาป)
ได้ธรรมของผู้สงบระงับบาปได้ต่อไปด้วยดี
นากบัณฑิตดีใจนัก
รีบรับคำทันที
"ดีละ!
ข้าพเจ้าจะให้อาหารทั้งหมดแก่ท่าน มีปลาตะเพียน อยู่ ๗ ตัว ท่านจงบริโภคสิ่งนี้
แล้วเจริญ สมณธรรมอยู่ในป่าต่อไปเถิด"
พราหมณ์ฟังแล้วพอใจอย่างยิ่ง
แต่ตอบว่า
"เรื่องของอาหารเหล่านี้
ยกเอาไว้ก่อนเถิดท่านบัณฑิตจะรู้ได้ภายในหลัง"
กล่าวแล้วพราหมณ์ก็ตรงไปที่อยู่ของสุนัขจิ้งจอกบัณฑิต
แล้วก็เอ่ยปากขออาหารเช่นเดิม สุนัขจิ้งจอกบัณฑิตตอบว่า
"ดีแล้วพราหมณ์
ข้าพเจ้าจะให้เนื้อย่าง ๒ ไม้ เหี้ย ๑ ตัวและนมส้ม ๑ หม้อแก่ท่านทั้งหมด
ท่านจง
บริโภคอาหารเหล่านี้ แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด"
ยังคงเป็นที่พอใจของพราหมณ์
แล้วก็มิได้รับอาหารนั้นมา แต่ตรงไปยังที่อาศัยของลิงบัณฑิตกล่าวขออาหารเหมือนเดิม
ลิงบัณฑิตก็ให้ด้วยใจยินดี
"เชิญเถิดท่านพราหมณ์
มีผลมะม่วงสุก น้ำเย็นใสสะอาด ทั้งสถานที่ก็มีเงาอันรื่นรมย์ใจท่านจงบริโภคอาหารทั้งหมดนี้
แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่านี้เถิด"
เป็นที่พอใจของพราหมณ์อีก
โดยมิได้รับอาหารนั้นมา คราวนี้เข้าไปหาสสบัณฑิตถึงที่โพรง แล้วออกปากขออาหาร
สร้างความดีใจแก่สสบัณฑิตยิ่งนักถึงกับบอกว่า
"ดูก่อนพราหมณ์
ท่านมาถึงที่อยู่ของข้าพเจ้าเพื่อต้องการอาหาร มาได้ดีแล้ว แม้ข้าพเจ้าจะไม่มีงา
ไม่มีถั่ว ไม่มีข้าวสาร แต่วันนี้ข้าพเจ้าจะให้ทานที่ยังไม่เคยให้แก่ท่าน
ท่านไปรวมไม้ฟืนก่อเป็นกองไฟใหญ่เถิด แล้วท่านจะได้บริโภคเนื้อสุก
เจริญสมณธรรมได้ต่อไป"
พราหมณ์จึงใช้อานุภาพของท้าวสักกะจอมเทพ
ได้เนรมิตรกองไฟใหญ่เอาไว้ แล้วกลับมาบอกกับสสบัณฑิตว่า
"ท่านบัณฑิต
ไฟกำลังลุกร้อนแรงดีเหลือเกิน"
สสบัณฑิตจึงออกมาจากโพรงของตน
ตรงไปที่กองไฟ แล้วคิดขึ้นว่า
"สัตว์ตัวเล็กๆ
ที่ติดขนของเราอาจมีอยู่ สัตว์เหล่านั้นอย่าตายด้วยเลย"
จึงสะบัดตัวอย่างแรง
๓ ครั้ง เพื่อให้หลุดออกไปเสียที แล้วก็กระโดดเข้าสู่กองไฟทันที แต่กลับเสมือนเช่นพญาหงส์กระโดดลงสู่สระบัวฉะนั้นไฟกลับเย็นสบาย
ไม่ร้อน ไม่ไหม้ร่างกายสักขุมขนหนึ่งเลย
ขณะนั้นเองท้าวสักกะจอมเทพจึงคืนสู่สภาพเดิมของพระองค์
แล้วตรัสว่า
"ท่านบัณฑิต
เรามิใช่พราหมณ์ เราเป็นท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่แห่งเทพทั้งหลาย มานี่เพื่อทดลองการให้ทานของท่าน"
สสบัณฑิตเมื่อเข้าใจเรื่องราวแล้วถึงกับเปล่งเสียงดังก้องออกไปว่า
"ข้าแต่ท้าวสักกะ
พระองค์จงหยุดการทดลองเช่นนี้เถิด ในโลกมนุษย์นี้หากใครพึงทดลองข้าพระองค์
ด้วยการขอให้ทำทานไซร้ จะไม่มีใครพบเห็นได้เลยว่า ข้าพระองค์ประสงค์จะไม่ให้ทาน"
"ดูก่อนสสบัณฑิต
คุณธรรมของท่านจงปรากฏอยู่ตลอดกัปทั้งสิ้นเถิด"
ตรัสแล้วก็เสด็จไปยังเทวโลกทันที
ส่วนบัณฑิตทั้ง ๔ นั้นได้พร้อมเพรียงกันบันเทิงอยู่ พากันมุ่งบำเพ็ญศีล
รักษาอุโบสถจนตลอดชีวิต ...........................
พระศาสดาทรงแสดงชาดกนี้จบแล้ว
ตรัสว่า
"นากบัณฑิตในกาลนั้นได้มาเป็นพระอานนท์ในบัดนี้
สุนัขจิ้งจอกบัณฑิตได้มาเป็นพระโมคคัลลานะ ลิงบัณฑิตได้มาเป็นพระสารีบุตร
ท้าวสักกะจอมเทพได้มาเป็นพระอนุรุทธะ ส่วนสสบัณฑิตได้มาเป็นเราตถาคตนี่เอง"
แล้วพระศาสดาทรงประกาศสัจจะ
ในเวลาที่จบสัจจะนั้น เศรษฐีผู้ถวายบริขารทุกอย่าง ก็ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว
พระไตรปิฎกเล่ม
๒๗ ข้อ ๕๖๒ อรรถกถาแปลเล่ม ๕๘ หน้า ๔๘๑
-
เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๑ ธันาคม ๒๕๔๖ -
พระพุทธองค์ตรัส
ผู้มีศรัทธาในศาสนานี้
พึงทำการให้ทาน
๑. ให้ทานด้วยศรัทธา
๒. ให้ด้วยละอายต่อบาป
๓. ให้ทานที่ไม่มีโทษ
๔. ให้ของที่สะอาด
๕. ให้ของประณีต
๖. ให้ตามเวลาอันควร
๗. ให้ของที่สมควร
๘. เลือกให้ผู้เหมาะสม
๑๐. ขณะให้จิตผ่องใส
๑๑. ให้แล้วใจยินดี
(พระไตรปิฎก เล่ม ๒๓ ข้อ ๑๒๒,๑๒๗)
|