เรื่องสั้น
- ริเศษฐ์ -
เขารู้แล้ว!!เสียงหัวเราะสดใสแว่วดังมาจากดินแดนอันแสนไกล เขามองเห็นตัวเองกำลังวิ่งเล่น กับพี่ชายคนโต และ น้องชายคนเล็ก อยู่กลางทุ่งหญ้า เขียวขจี ผีเสื้อตัวน้อยกำลังโบยบิน ชื่นชมความงาม ของดอกไม้ กระจิริดริมทาง ทุกคนแหงนหน้า มองท้องฟ้าสีคราม ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ว่าวจุฬาลอยเคว้ง ท้าลมอยู่อย่างหาญกล้า ลมกำลังพัดพลิ้ว เย็นสบาย ลู่เสื้อผ้ามอมแมม ของเด็กสามคน ไปทางเดียวกัน =============== "เอี๊ยด ....!!"
แรงเหวี่ยงกระชากร่างเพื่อนของผมไปข้างหน้าแล้วดึงกลับมาข้างหลังอย่างแรง ศีรษะของเขาผงะ หงายกระแทก กับราวหลังพนักเก้าอี้เข้าอย่างจัง!! ภาพสนุกสนาน และรอยยิ้มหายวับไปทันที! เพื่อนผมสะดุ้งตื่น! ผมก็เลยพลอยตื่นไปด้วย ที่จริงผมตื่นก่อนแล้วล่ะ "ไอ้ห่าเอ๊ย! เลี้ยวไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ อยากเป็นผีหรือไงวะ" คนขับรถประจำทางหัวเสียขึ้นมาทันที ดลภาคยกมือคลึงศีรษะบริเวณที่ถูกกระแทกอย่างแรงเมื่อสักครู่ ไม่สนใจเสียงสบถ ของคนขับรถ ประจำทาง คนโดยสารในรถประจำทางยังแน่นขนัดอยู่อย่างเดิม มองออกไปนอกตัวรถ ความมืดโรยตัวคลี่คลุม ทุกพื้นที่ ไว้หมดแล้ว แสงไฟสีแดง ของท้ายรถเก๋ง เป็นแถวยาวสุดตา เด่นท่ามกลางความมืดสลัว ของยามพลบค่ำ พลันภาพวัวควาย เป็ดไก่ที่ถูกยัดเยียดเบียดเสียดในรถสิบล้อ เพื่อไปโรงฆ่า!! ภาพนั้น คงไม่ต่าง อะไรกับคน ในรถประจำทาง บนถนนนี้เลย ทุกคนกำลังถูกนำไปฆ่าเหมือนกัน แต่อาจ ไม่มีใครรู้ตัว และหลายคน ก็ยอมไปโรงฆ่านั้น เพราะเข้าใจว่า มันเป็นความสุขของชีวิต เพื่อนผมละสายตามองนาฬิกาข้อมือ
เข็มสั้นตรงกับเลขเก้า เข็มยาวเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่ที่ เลขสามพอดี ได้ยินเสียง
เขาผ่อนลมหายใจออก อย่างเหน็ดเหนื่อย ผมอยากจะช่วยเขาเหลือเกิน ในฐานะที่เราเป็นอยู่ด้วยกัน
มานาน แต่ผมรู้ดีว่า ผมเองช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย และหลายครั้ง ผมกลับต้องทำให้เขาต้องเจ็บปวดเสมอ "วันนี้รถติดมหาประลัยจริงโว้ย!" เขาตะโกนลั่นอยู่ในใจ จนผมได้ยินชัด สีหน้าของเขาบ่งบอก ความอึดอัดในใจ ได้เป็นอย่างดี และแล้วดลภาคก็เลิกสนใจเรื่องรถติด กลับมาคิดถึง เรื่องงาน เมื่อวันก่อน เขาไปดูประกาศ รับสมัครงาน ของแผนกแนะแนวของวิทยาลัยที่เขาศึกษาอยู่ "ให้ตายสิ!" ผมรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของเพื่อนผมเริ่มมีความเครียดขึ้นสูงอีกแล้ว... ผมรู้ดี เขาต้องกลุ้ม เรื่องที่ตั้ง ของบริษัทต่าง ๆ ที่รับสมัครงานหลายแห่ง อยู่คนละโยชน์ คนละทิศละทาง กับที่พัก ของเขา พับผ่าสิ! เฮ้อ...ผมละเหนื่อยหน่ายแทนจริง ๆ "นี่เราจะต้องทนอยู่กับสภาพแบบนี้ไปตลอดชีวิตเลยงั้นหรือ??" ดลภาคมองสภาพรถติดรอบตัว แล้วตั้งคำถาม ถามตัวเอง อย่างอ่อนใจ ผมเข้าใจความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดี เพราะผมเป็นผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกับเขา ก็ที่พักของ เพื่อนผมคนนี้ อยู่รามอินทราโน่น แต่เขาต้องถ่อสังขารไปเรียนถึงนางเลิ้ง ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว ไม่ใช่เพราะชื่อเสียง ของสถานศึกษาหรอกครับ แต่เพราะเขาอยากเรียนในสถานศึกษาที่มีคุณภาพ นักเรียนส่วนใหญ่ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เขาคงอึดอัดใจไม่น้อยเลยหากต้องทนเรียนกับเพื่อนที่เอาแต่จะคอยโดดเรียนไปวัน ๆ หรืออยู่กับ พวกผู้หญิง ที่เอาแต่แต่งหน้า ทาปากทั้ง ๆ ที่ยังแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้อยู่ เงินของพี่ชาย ที่ส่งเสีย ให้เขาเรียน จะต้องไม่เสียเปล่า อย่างนั้น เขาจะต้องมีความรู้ เรียนให้ดี ให้สมกับความเหน็ดเหนื่อย ของพี่ชาย ที่ได้ทุ่มเทเพื่อน้อง ๆ ทุกคนตลอดมา ผมรู้สึกว่าเขาเป็นเด็กดีมากคนหนึ่งเลยล่ะ และภูมิใจที่ได้เป็นเพื่อนกับเขานะครับ ถึงแม้เขา จะไม่อยาก รับผมเป็นเพื่อนก็ตาม ดลภาคปิดตาลงเบาๆ อย่างรู้สึกเครียด เส้นเลือดในสมองของเขากำลังเต้นตุ้บ ๆ จนผมรู้สึกได้ ทุกครั้ง ที่เขาคิดถึง อนาคต เขามักจะเกิดคำถามกับตัวเองเสมอว่า เขาควรทำงานหาเงินที่กรุงเทพฯ อย่างพี่ชายคนโต หรือกลับไป พัฒนา หมู่บ้านชนบทของเขาที่ต่างจังหวัดผมอยากจะบอกเขาว่า ผมเห็นด้วยอย่างมาก หากเขาจะกลับบ้าน ไปพัฒนาชนบท มากกว่า เพราะเราจะมามัวแออัด ยัดเยียด แย่งกันอยู่ในกรุงเทพฯ ทำไม? แม้ว่าผมจะต้องตามเขากลับบ้านนอกด้วยก็ตาม ผมไม่ค่อยชอบอากาศต่างจังหวัดซักเท่าไหร่ เพราะอากาศบริสุทธิ์ ทำให้ร่างกาย ของผมอ่อนแอลง อย่างมากมาย ============== "เด็ก ๆ กินข้าวได้แล้ว เลิกเล่น! ได้ยินรึเปล่า" เสียงแม่เอ็ดตะโรมาแต่ไกล "พี่ผ่อนเชือกอีก ว่าวกำลังขึ้นดีเลย" น้องชายคนเล็กยังไม่วางตาจากว่าวบนฟ้า "ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวแม่จะเหนื่อยที่ต้องเรียกพวกเราหลายๆ ครั้งนะ" พี่ชายของเขา สาวเชือกป่าน สีขาว พันเข้ากับกระป๋องนม "วันหลังพี่จะพามาเล่นอีก" เด็กชายหน้าหม่นลงครู่หนึ่งก่อน ที่จะยิ้มรื่นเริงแล้วพูดต่อ "ก็ได้ฮะ แต่พี่ต้องให้ผมขี่คอกลับนะ" "ได้เล้ย!" พี่ชายส่งว่าวให้น้องชายคนรองถือไว้ ก่อนจะย่อตัวลงให้น้องชายคนเล็ก ขึ้นขี่คอ เจ้าหนูน้อยหัวเราะรื่นเริงเสียงใสขึ้นมาทันที "พี่ดลเห็นมั้ย ผมตัวสูงกว่าพี่อีก" แล้วตะโกนลงมา บอกพี่ชายคนรอง "เออ! สูงให้ตลอดล่ะ"
ดลภาคตอบน้องชายพลางยิ้ม เสียงหัวเราะรื่นเริงจางไป เมื่อเพื่อนผมรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง ภาพข้างทางที่คุ้นตาเตือนว่า ป้ายหน้า เขาควรเตรียมตัว ลงได้แล้ว ผมก็เลยพลอยต้องตื่นตัว เตรียมตัวลงไปพร้อมกับเพื่อนคนนี้ด้วย เพราะผมอยู่บ้านเดียวกับเขานั่นเอง ลูกกุญแจถูกดึงออกจากลูกบิดประตูห้อง เขามองเวลาที่ข้อมืออีกครั้ง หน้าปัดบอกเวลา สี่ทุ่มครึ่ง เดินไปวางหนังสือ ลงบนโต๊ะ แล้วเดินมามองน้องชายคนเล็ก ที่หลับคอยอยู่ที่โซฟาตามเคย เขาปิดทีวี ที่ถูกเปิดค้างไว้ เป็นเพื่อนแก้เหงา อย่างไม่มีคนสนใจ ก่อนที่จะเดินมานั่งลง ข้างน้องชาย ที่กำลังหลับผล็อย เขาไม่รู้ว่า ภาพเด็กน้อย กำลังหลับ ภาพนี้จะเป็นภาพที่น่าเอ็นดู หรือน่าสงสารกันแน่ ดลภาคเอื้อมมือเสยผมน้องชายเบา ๆ อย่างห่วงใย ก่อนที่จะอุ้มน้องเข้าไปนอนในห้องนอน แล้วกลับมา ทิ้งตัว ลงบนโซฟา อย่างเหนื่อยใจ มองไปรอบ ๆ ตัว ในห้องสี่เหลี่ยม ทีวีสีจอแบน ขนาด ๒๐ นิ้วตั้งอยู่ตรงหน้าติดกับกำแพง ถัดลงมา เป็นวิดีโอ เครื่องเล่นซีดี มองเลยไปทางซ้าย เป็นเครื่องเสียงพร้อมลำโพงอย่างดีครบชุด เครื่องปรับอากาศ บนเพดาน ตู้เย็นสีไข่ไก่ตรงมุมห้อง เครื่องซักผ้า หม้อหุ้งข้าว เครื่องไมโครเวฟ กระติกน้ำร้อนในห้องครัว ชุดรับแขก คิดไกลออกไป ถึงบ้านสวย ๆ เสื้อผ้าหรู ๆ รถเท่ ๆ ความสะดวก ความสบาย เครื่องบันเทิงความสุข อะไรต่อมิอะไร อีกมากมายที่คนอยากได้ อยากได้ อยากได้ และอยากได้ เขาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้สร้างความสุขจริง ๆ ให้คนที่เป็นเจ้าของอยู่ได้แค่ไหน ถ้าก่อนที่จะได้มันมา คนในบ้าน ต้องกระเสือกกระสน ออกไปนอกบ้าน เพื่อหาสิ่งเหล่านี้มาให้ครอบครัว แล้วเรียกมันว่า ความสุขหรือ? ที่เลวร้ายกว่านั้นคนยอมขายตัวขายเกียรติขายศักดิ์ศรี ขายความเป็นคน หรือแม้กระทั่ง ยอมทำร้าย เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ด้วยการขายยาบ้า และยาเสพติด ยังไม่นับพวกเอารัดเอาเปรียบคนอื่น คนคดโกง คนเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวทุกรูปแบบ ที่นับวัน จะมีมากขึ้นๆ เรื่อย ๆ โน้ตสั้น ๆ ของพี่ชาย แปะอยู่ที่ประตูตู้เย็นสีไข่ไก่ "เงินอยู่ที่เดิมนะ" นาฬิกาไม้ที่ข้างฝา เข็มสั้นและเข็มยาวเดินมาหยุดอยู่ที่เลข ๑๒ พอดี พี่ชายของเขา ยังไม่กลับ จากทำงาน คนเราจะต้องการอะไรมากมายเท่านี้จริงหรือ ความสุขที่แท้จริงคืออะไร? ผมรู้มาว่าพ่ออันเป็นที่รักของเพื่อนผมคนนี้ ออกไปหาสิ่งเหล่านี้มาให้เพียงเพราะเชื่อว่า มันจะนำ ความสุข มาให้จริง ๆ ที่สำคัญ จะได้ทัดเทียมบ้านอื่นเขา แล้วพ่อของเขาก็จากไป เพราะอุบัติเหตุ ทิ้งให้แม่ของเขา ต้องเป็นม่าย ดูแลลูก ๆ ตามลำพัง และมากไปกว่านั้น ทิ้งหนี้สิน ซึ่งเป็นปัญหา ตามมา ดลภาคถอนหายใจเฮือกใหญ่ เส้นประสาทของเขา ขมึงตึงเปรี๊ยะ! อาการปวดหัวจี๊ด... เริ่มขึ้นอีกแล้ว เขาไม่ทนให้ทรมาน พยายามมีสติ และควบคุม ความเจ็บปวดนั้น มือสั่น ๆ ควานหา ยาเม็ดสีขาวเล็ก ๆ ในกระเป๋าเสื้อ ที่เขาต้องพกติดตัวไว้ ตลอดเวลา แล้วลุกขึ้นเดินเปะปะ ไปที่โต๊ะ หาน้ำ เทน้ำใส่แก้ว ก่อนตบยาเข้าปาก กินพร้อมกับน้ำเปล่า ตามอย่างเคยชิน =============== ฤทธิ์ยาทำให้ผมอ่อนแรงลงชั่วคราว ไม่อาจทำให้เขารู้สึกปวดหัวชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่อาจ ทำลายไวรัส ตัวฉกาจ อย่างผมได้ ที่ฝังตัวเงียบ ๆ อยู่ในสมองของเขามานานแล้ว ผมไม่อยากทำร้ายเขาแบบนี้หรอก แต่ผมถูกกำหนดมาให้ต้องเกิดมาทำหน้าที่นี้ อย่างไม่มีทางเลือก และถูกโปรแกรม มาให้ทำหน้าที่ แค่นี้เท่านั้น เคยได้ยินมาว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกเป็น คนดีได้ แต่ผมไม่มีสิทธิ์เลือก ผมต้องทำ หน้าที่ของผม เพราะว่าผมเป็นแค่ไวรัสเท่านั้นเอง ตอนนี้กำลังของผมถดถอยลงมาก ผมรู้สึกเหนื่อย และอ่อนล้าเหลือเกิน คงเป็นเพราะฤทธิ์ยา แต่!! ผมจะฝืนตัว และกลับมา แข็งแกร่งกว่าเดิม เมื่อฤทธิ์ยาหมดลง... ก่อนที่ความรู้สึกของผมจะเลือนหายไป ผมรู้สึกถึงคลื่นสมองของเขากำลังประมวลผล ทางความคิด อะไรบางอย่าง? ความคิดหนึ่งพุ่งปราดเข้ามาในสมองของดลภาค และนั่นคือ คำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทำให้เขาและ ครอบครัว รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่มีสภาพไม่ต่างกัน ต้องทนทุกข์ และ เหน็ดเหนื่อย กันอยู่ทุกวันนี้ เพราะอะไร? เขารู้แล้ว.....!!! ว่ามันคืออะไร?? - เราคิดอะไร ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๑๖๒ มกราคม ๒๕๔๗ - |