คิดคนละขั้ว- แรงรวม ชาวหินฟ้า -
สันติอโศกไม่ใช่ "นิกาย"
สันติอโศกเป็นแค่ "นานาสังวาส" กับสงฆ์เถรสมาคม


ดูจะเป็นข่าวใหญ่ในหน้า ๑ ของ น.ส.พ.ทุกฉบับ กรณีที่มีผู้ไม่หวังดี เสนอจะให้มีการแต่งตั้ง สังฆราชขึ้น ๒ รูปในประเทศไทย และนอกจากนั้นก็ยังมีการเปิดประเด็น การขอตั้งนิกายใหม่ ในประเทศไทย โดยพาดพิง "สันติอโศก" ซึ่ง น.ส.พ.เดลินิวส์ฉบับวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๖ รายงานข่าวไว้ตอนหนึ่งว่า :-

ด้าน พล.ต.ท.อุดม เจริญ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า เรื่องที่มี ผู้เรียกร้อง ให้มีการแต่งตั้งพระสังฆราช ๒ รูปแยกตามนิกายนั้น ตนเห็นว่าเป็นเรื่องของ กลุ่มคนเล็กๆ ที่ไร้สติและอยากเป็นใหญ่ ขอยืนยันว่าไม่มีทางเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด เพราะ ดร.วิษณุ ได้ประกาศแล้วว่า รัฐบาลจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นแน่นอน ฉะนั้นจึงขอเตือน พวกปล่อยข่าวก่อกวน ให้ยุติพฤติกรรมดังกล่าวเสีย เนื่องจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ทั้งสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และสันติบาล กำลังเฝ้าดูพฤติกรรมเหล่านี้อยู่ หากยังไม่หยุด ก็คงมีมาตราการ จัดการอย่างเด็ดขาดต่อไป

สำหรับเรื่องการจัดตั้งนิกายใหม่ แม้จะทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นเรื่องของความเชื่อ แต่ละคน แต่รัฐบาลจะไม่ให้การสนับสนุนใดๆ ทั้งสิ้น และหากนิกายเหล่านี้ ทำผิดกฎหมาย บ้านเมือง ก็จะถูกดำเนินคดี ทั้งนี้ตนไม่อยากให้ประชาชนกังวลกับเรื่องดังกล่าว เพราะที่ผ่านมา ก็มีหลายนิกาย เช่น สันติอโศก หรือโยเร ที่พยายามให้รัฐบาลออกมารับรอง แต่ก็ไม่สำเร็จ หรือ กรณีภิกษุณี ไปบวชที่ศรีลังกาของนิกายมหายาน ทางรัฐบาล ก็ไม่ให้การสนับสนุน แต่อย่างใด แต่ถามว่าผิดหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่ผิด เพราะภิกษุณีดังกล่าว อ้างว่าเป็นนิกายมหายาน แต่หากบอกว่า บวชอยู่ในส่วนของเถรวาท จึงจะมีความผิด


สันติอโศกไม่ใช่ "นิกาย"
สันติอโศกเป็นแค่ "นานาสังวาส" กับสงฆ์เถรสมาคม

ข้อเท็จจริงที่ต้องชี้แจงจากสันติอโศก

เนื่องจากมีข่าวแพร่ออกมาทั้งทางวิทยุและทางหนังสือพิมพ์ โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูง ของสำนักงาน พุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้กล่าว ว่า "สันติอโศก" หรือคณะสงฆ์ "สันติอโศก" เป็น "นิกาย" ซึ่งไม่เป็น ความจริงเลย เป็นการกล่าวผิด ทำให้ประชาชนที่ได้ยินได้ฟัง พลอยเข้าใจผิดไปด้วย ก่อความเสียหาย ให้แก่พุทธศาสนา โดยเฉพาะเสียหายทางธรรมวินัย เพราะการกล่าวเช่นนั้น จะทำให้ "ธรรมวินัยวิปริตผิดเพี้ยน" ไปได้

ที่ถูกต้องนั้น คือ "สันติอโศก" หรือคณะสงฆ์ "สันติอโศก" ไม่ได้เป็น "นิกาย" คณะสงฆ์"สันติอโศก" เป็นแค่ "นานาสังวาส" กับสงฆ์เถรสมาคม ที่ถูกต้องตามธรรมวินัย หรือตามที่พระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติไว้ ยังไม่ถึงขั้นเป็น "นิกาย" ตามที่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ผู้นั้นกล่าว หรือตามที่มีคนบางคน ผู้ยังไม่เข้าใจ ในธรรมวินัยเข้าใจผิดไป

คณะสงฆ์สันติอโศก มิได้เป็นนิกายแต่อย่างใด เพราะคณะสงฆ์สันติอโศก ได้ปฏิบัติตามธรรมวินัย แล้ว อย่างถูกต้อง นั่นคือ ได้ประกาศตนเองเป็น "นานาสังวาส" กับคณะสงฆ์เถรสมาคม อย่างเป็น กิจจะลักษณะ ต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์ถึง ๑๘๐ รูป อันมีเจ้าคณะอำเภอ เป็นประธานสงฆ์อยู่พร้อม ในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ ซึ่งเจ้าคณะอำเภอ ก็ได้รายงานการประกาศตนเองเป็น "นานาสังวาส" ของคณะสงฆ์สันติอโศกนี้ ต่อคณะสงฆ์เถรสมาคมรับทราบตามระเบียบ ซึ่งมีหลักฐาน เป็นลายลักษณ์อักษร ของผู้ว่าราชการจังหวัด (นายคล้าย จิตพิทักษ์) ถึงอธิบดีกรมการศาสนา ยืนยันความจริงนี้ (หนังสือที่ นฐ. 23/13430 วันที่ 10 กันยายน 2518) และคณะสงฆ์เถรสมาคม ก็ได้รับซับทราบ ยอมรับความจริง ในความเป็น "นานาสังวาส" นี้แล้วด้วย ตามที่ได้แสดงออก ในหนังสือจากกรมการศาสนา ที่มีไปถึงผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ การรถไฟฯ เมื่อ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๕ ซึ่งมีลายลักษณ์อักษรยืนยันว่า "...กรมการศาสนาได้นำเรื่องเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณาแล้ว ที่ประชุมลงมติเห็นชอบด้วย ตามเหตุผลที่ กรมการศาสนาเสนอว่า เนื่องจากในปัจจุบันนี้ พระภิกษุสามเณร ในสำนักสันติอโศก มิได้ขึ้นอยู่ในปกครอง ของคณะสงฆ์ไทย ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ๒๕๐๕ และไม่ได้อยู่ใน
ความอุปการะ ของทางราชการ....." (หนังสือจาก กรมการศาสนา ที่ ศธ.๐๔๐๗/๘๕๓๗)

ตามธรรมวินัย เมื่อสงฆ์เป็นนานาสังวาสกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็ปฏิบัติกันไป ตามความเห็น และยึดถือที่แตกต่างกัน และที่สำคัญก็คือ สงฆ์ฝ่ายหนึ่งไปฟ้องร้องชำระความผิด หรือ อธิกรณ์ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ หากฝ่ายใดไปอธิกรณ์อีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายนั้นต้องอาบัติ และอธิกรณ์นั้นเป็นโมฆะ การตัดสินความนั้นไม่เป็นอันทำ ใช้ไม่ได้

แต่ทางคณะสงฆ์เถรสมาคม ก็ได้ "กระทำ" กับคณะสงฆ์สันติอโศก ถึงขั้น "อนุวาทาธิกรณ์" หมายความว่า คณะสงฆ์เถรสมาคมได้โจทหรือฟ้องร้องกล่าวหาสันติอโศก แล้วก็ตั้งคณะ พิจารณาตัดสินความกัน นี่ก็เป็นการกระทำของคณะสงฆ์เถรสมาคม ซึ่งที่จริง "กระทำไม่ได้" ตามธรรมวินัย

และอีกอย่าง การทำสังฆกรรมตัดสินความคดีของสันติอโศก มหาเถรสมาคม ก็เอาสงฆ์ ทั้งฝ่ายธรรมยุตทั้งสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ซึ่งเป็นสงฆ์ ๒ ฝ่ายหรือ ๒ นิกาย มาร่วมกันพิจารณาคดี ของสันติอโศก ซึ่งผิดธรรมวินัย ทำไม่ได้ แม้ทำก็ไม่เป็นอันทำ โมฆะ ใช้ไม่ได้

แถมในการวินิจฉัยตัดสินความก็ไม่เป็น "สัมมุขาวินัย" คือ พิจารณาความลับหลังจำเลย เพราะไม่ได้แจ้งจำเลย ไม่ได้เรียกจำเลย คือ สงฆ์สันติอโศกเข้าไปนั่งอยู่ในที่พิจารณาความ ร่วมรับรู้ รับฟังร่วมให้การ แต่อย่างใดเลย สงฆ์เถรสมาคม "กระทำ" ดังกล่าวนี้จริงทั้งสิ้น

กระนั้นก็ตาม คณะสันติอโศกก็อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ได้ดื้อดึงดัน ยอมในสิ่งที่ยอมเสียสละได้ ซึ่งก็พยายามที่จะไม่ให้เสียธรรม แม้ที่สุดยอมขึ้นศาล ยอมเปลี่ยนสภาพหลายอย่าง แต่ที่ไม่ยอม ก็คือ ไม่ยอมสละสมณเพศ ยังขอยืนยันความเป็นสมณะตามธรรมวินัยอยู่ตลอดเวลา

และการต้องแพ้คดีความในศาลยุติธรรมทางโลกนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องธรรมวินัยเลย เป็นเรื่องของ กฎหมาย ข้อกฎหมายที่ไม่ใช่บัญญัติของพระพุทธเจ้า ศาลมิได้พิจารณาความผิด ทางธรรมวินัยใดๆ พิจารณาแต่เฉพาะในแง่กฎหมายที่บัญญัติขึ้นมาใหม่ มิใช่ข้อบัญญัติของ พระพุทธเจ้า

เพราะเหตุฉะนี้ ผู้ที่ไม่เข้าใจในความลึกซึ้งของธรรมวินัย จึงหลงเข้าใจผิดไปได้อย่างผิวเผินว่า คณะสงฆ์สันติอโศก แพ้คดีในศาลของฆราวาสทางโลก ไม่ใช่ทางธรรมนั้น คือ คณะสงฆ์ สันติอโศก ไม่เป็น "สงฆ์" ไม่เป็น "สมณะ" แล้ว ทั้งๆ ที่ประเด็นของข้อกฎหมาย ที่สมณะโพธิรักษ์ ถูกฟ้องร้องนั้นคือ ทางเถรสมาคมมีมติสั่งให้สมณะโพธิรักษ์ สละสมณเพศ ถ้าไม่สละสมณเพศ ก็ผิดกฎหมาย สมณะโพธิรักษ์ไม่ยอมสละสมณเพศ ยืนยันครองความเป็น สมณเพศ ตลอดมา ไม่ยอม "สึก" นั่นเอง นั่นก็หมายความว่า ยังคงเป็นสงฆ์ ครองสมณเพศอยู่ และก็เพราะ ยังคงครอง ความเป็นสมณเพศอยู่นี่เอง จึงได้ผิดกฎหมายข้อที่ฟ้องนี้

แต่ผู้ไม่เข้าใจถ่องแท้ ก็เข้าใจผิดว่า สงฆ์สันติอโศก ไม่ได้เป็นพระเป็นสงฆ์แล้ว เพราะแพ้คดี นี่คือ ความไม่ถูกฝาถูกตัว ของผู้ยังไม่ลึกซึ้ง ในธรรมวินัย ยิ่งกว่านั้น มีการกล่าวหาว่า คณะสงฆ์ สันติอโศกเป็น "นิกาย" ซ้ำเสียอีก ทั้งๆ ที่คณะสงฆ์สันติอโศก ยืนยันและปฏิบัติตนแค่ "นานาสังวาส" ตามธรรมวินัยตลอดมา อยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ ผู้ที่ "กระทำ" ให้เกิดแตกแยกกัน จนเกินเรื่อง เกินสัจธรรมไปนั้น จึงมิใช่ "การกระทำ" ของคณะสงฆ์สันติอโศก

สันติอโศก ไม่ได้เป็น "นิกาย" เป็นแค่ "นานาสังวาส" เท่านั้นจริงๆ แต่สันติอโศกถูกคณะสงฆ์ เถรสมาคม หรือพุทธกระแสหลัก "กระทำ" จนประชาชนที่ไม่รู้ลึกซึ้งในหลักธรรมวินัย เข้าใจผิดไปว่า สันติอโศก "เป็นผู้กระทำตนเอง" แยกเป็น "นิกาย" ทั้งๆ ที่ตามความจริง คณะสงฆ์สันติอโศก เพียง "ทำตนเอง" เป็นนานาสังวาสเท่านั้น และการทำตนเองเป็น "นานาสังวาส" นี้ ก็ไม่ผิดธรรมวินัยด้วย เพราะพระพุทธเจ้า ทรงอนุญาตให้ทำได้ เมื่อเกิดกรณีขัดแย้งกัน จนถึงขีดถึงขั้น ตามที่เป็นจริง วินัยข้อนี้ เป็นทางออกประเด็นหนึ่งของสังคมมนุษย์ อันเป็นสุดยอด แห่งพระปัญญาธิคุณ ของพระพุทธองค์โดยแท้

"นานาสังวาส" หมายความว่า เป็นพุทธร่วมกัน แต่มีความแตกต่างกัน ซึ่งมิใช่แตกแยกกัน เป็นนิกาย เช่น มี "กรรม" ต่างกัน มี "อุเทศ" ต่างกัน มี "ศีล" ไม่เสมอสมานกัน เป็นต้น

มีกรรมต่างกัน ก็คือ มีการกระทำแตกต่างกันไปแล้ว เช่น พฤติกรรมต่างกัน พิธีกรรมต่างกัน กิจกรรมต่างกัน

มีอุเทศต่างกัน คือ คำสอนคำอธิบายธรรมะไม่ไปทางเดียวกัน ยกหัวข้อธรรมขึ้น แสดงความหมาย ต่างกันไป

มีศีลไม่เสมอสมานกัน คือ ศีลข้อเดียวกัน แต่ปฏิบัติไม่เหมือนกันแล้ว เช่น ศีลข้อที่ว่า ไม่รับเงินทอง ไม่มีเงินทอง ไม่สะสมเงินทองเป็นของตน ฝ่ายหนึ่งรับอยู่สะสมอยู่ใช้อยู่โดยมีข้ออ้างไปต่างๆ แต่อีกฝ่ายหนึ่ง ไม่รับไม่สะสมไม่ใช้ หรือศีลข้อที่ว่า ให้เว้นขาดการรดน้ำมนต์ ฝ่ายหนึ่งถือว่า รดน้ำมนต์ไม่ผิด ก็รดน้ำมนต์อยู่ แต่อีกฝ่ายถือว่าผิด ไม่รดน้ำมนต์ หรือศีลข้อที่ว่า ให้เว้นขาด การบูชาด้วยไฟ โดยใช้สิ่งที่จุดเป็นเปลวหรือเป็นควัน ทุกวันนี้ใช้ธูปและเทียน ฝ่ายหนึ่งถือว่าไม่ผิด ก็บูชาด้วยไฟโดยใช้ธูปใช้เทียนจุดไฟอยู่ แต่อีกฝ่ายถือว่าผิด จึงไม่บูชาด้วยไฟเลย ไม่ว่าจะใช้อะไร เป็นเชื้อไฟ เป็นต้น หรือฝ่ายหนึ่งไม่นับว่า จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล เป็นศีลที่ภิกษุ จะต้องยึดถือ ปฏิบัติสำคัญกันแล้ว แต่อีกฝ่ายหนึ่งยังนับว่า จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล เป็นศีลที่ภิกษุ จะต้องยึดถือปฏิบัติ สำคัญยิ่งด้วยซ้ำ ก็ยึดถือปฏิบัติกันเคร่งครัดอยู่

ดังนั้น เมื่อขัดแย้งกันถึงขีดถึงขั้น เหตุการณ์ก็ย่อมเป็นไป สุดท้ายก็ต้องจบด้วยหลักธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า คือ นานาสังวาส นี่เอง เป็นข้อยุติเหตุการณ์จริงนั้นๆ

แต่ผู้ไม่เข้าใจในธรรมวินัยดีพอ ก็จะนับเอาความต่าง (นานา) ที่ต่างกันจริงๆ นี้ เป็นการแยกถึงขั้น "นิกาย" ยิ่งผู้รู้หลักธรรมวินัยดี ก็ไม่ช่วยกันทำความเข้าใจให้ผู้ยังไม่รู้ เข้าใจถูกต้องด้วย แถมกลับกระทำ และพูดบอกว่า สันติอโศกเป็น "นิกาย" ให้ผู้ไม่รู้เชื่อผิดซ้ำเข้าไปอีก ก็แน่นอน ผู้ไม่รู้ ก็ต้องเชื่อตาม ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ชวนให้เข้าใจผิดนั้นๆ แน่นอน

ขอยืนยันว่า "สันติอโศก" ไม่ใช่ "นิกาย" ตามธรรมวินัยโดยแท้ "สันติอโศก" เป็นแค่ "นานาสังวาส" เท่านั้น.

บทสรุป ผู้ที่มีความคิดที่จะให้มีสังฆราช ๒ รูป เกิดขึ้นในประเทศไทย เจ้าของความคิดนี้ ดูเหมือนใครๆ ก็เห็นสอดคล้องกันว่า น่าจะเป็นบุคคลประเภทสติแตกมากกว่า ในทำนองเดียวกับ การขอตั้งนิกายใหม่ ในประเทศไทย ถ้าสันติอโศกคิด สันติอโศกก็คงจัดอยู่ในประเภท สติแตก เช่นกัน เพราะสิ่งนี้เป็นกรรมหนัก ที่จัดอยู่ในขั้นอนันตริยกรรม

ความแตกต่าง (นานาสังวาส) กับความแตกแยก (นานานิกาย) เป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งความแตกต่าง ที่เป็นนานาสังวาสนั้น โดยธรรมวินัย มีพุทธานุญาตให้สามารถกระทำได้ เช่น ธรรมยุต ขอแยกตัวออกมา เป็นนานาสังวาสกับมหานิกายในอดีต และโดยรัฐธรรมนูญ ของประเทศไทย ก็ให้สิทธิเสรีภาพ ในการนับถือศาสนาใดๆ ก็ได้อยู่แล้ว

ความแตกต่างทางนานาสังวาสของสันติอโศก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยทุกประการ และ สอดคล้องอย่างยิ่ง กับรัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทยอีกด้วย แต่มักจะมีผู้เข้าใจผิดๆ คิดว่า สันติอโศกแยกนิกาย นั่นก็เป็นเพราะยังไม่เข้าใจ ถึงความลึกซึ้ง ถึงความแตกต่างทางศาสนา (นานาสังวาส) ที่ไม่ใช่ความแตกแยกทางศาสนา (นานานิกาย) นั่นเอง

- เราคิดอะไร ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๑๖๒ มกราคม ๒๕๔๗ -