เรื่องอย่างนี้ต้องช่วยกันเผยแพร่
หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ :
เพื่อชุมชนที่ยั่งยืน หรือ วัฏสงสารทุนนิยมโลก ?
(ไทยโพสต์ ๖ มกราคม ๒๕๔๗)
ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ โครงการปริญญาเอกไทศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
วิษณุ บุญมารัตน์ สาขาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ สถาบันราชภัฎสวนดุสิต
สุวิดา แสงสีหนาท นักศึกษาปริญญาเอกสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่คุ้นหูคุ้นตากันดีจากสื่อด้านต่างๆ ที่รัฐบาล ภายใต้การนำของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เร่งประชาสัมพันธ์ เพื่อขยายตลาด ให้แก่สินค้าของชุมชน โดยเฉพาะสื่อวิทยุบางรายการ มีการสัมภาษณ์ ตัวแทนชาวบ้าน ที่ผลิตสินค้า OTOP (เฉพาะ) ที่ได้รับ ความนิยม และแน่นอนว่า เมื่อได้รับความนิยม สิ่งที่ตามมาคือผลิตไม่ทัน หรือวัตถุดิบ ไม่เพียงพอ ผู้เขียนรู้สึกสะดุด ทุกครั้งที่ผู้จัดรายการวิทยุ จะต้องถามว่า จะขยายการผลิตอีกไหม จะขยายตลาดอีกไหม ซึ่งตัวแทนชาวบ้านบางคน ตอบทันทีว่า จะขยายตลาดและการผลิต แต่บางคนก็อ้ำอึ้ง เพราะไม่ได้คิด มาก่อน ในที่สุดก็ตอบว่าอยากจะขยายเช่นกัน จนผู้เขียนเกิดความสงสัยว่า ผู้ผลิต "จำเป็นต้อง" ขยายการผลิตเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของตลาดเสมอไป "จริงหรือ?"

ในที่นี้ เราจะไม่ถกเถียงกันว่าโครงการนี้ประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด ผลประโยชน์ ตกอยู่กับใคร เพราะมีผู้วิพากษ์ (Critical) กันมากแล้ว แต่เราจะมาค้นหารากเหง้า ความคิด ของโครงการนี้ ผลได้ผลเสีย จากการขยายการผลิต อย่างไม่มีขีดจำกัด เพียงเพื่อตอบสนอง ความต้องการของตลาด ให้เพียงพอ และบทบาทของภาคต่างๆ ที่จะมีส่วนช่วยพัฒนา ประเทศ อย่างแท้จริงผ่านโครงการ OTOP

รากเหง้าความคิดของโครงการ OTOP มี ๒ ประเด็น คือ วิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ.๒๕๔๐ และ ความตื่นตัว ในเรื่อง "ทฤษฎีใหม่ เศรษฐกิจพอเพียง" ดังนี้โครงการ OTOP เกิดขึ้นใน พ.ศ.๒๕๔๔ ในห้วงเวลาที่ ประเทศชาติ กำลังเผชิญปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจ ต่อเนื่องมาจากวิกฤติ พ.ศ.๒๕๔๐ ที่คนไทย ยังติดตาตรึงใจ กับสภาพการตกเป็นทาสกองทุนการเงิน ระหว่างประเทศ ; IMF สาเหตุสำคัญของวิกฤติ สรุปได้ว่าเพราะเศรษฐกิจ ของประเทศ ผูกโยงเข้ากับเศรษฐกิจ ทุนนิยมโลก จนกระทั่ง "ตลาด" ครอบงำความคิด วิถีชีวิตของผู้คน ในสังคม ในภาวะ วิกฤติเศรษฐกิจ ประชาชนทุกระดับประสบปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะประชาชนระดับ รากหญ้า ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ ของประเทศถูกรุมเร้าด้วยปัญหาความยากจน ที่สั่งสมมา นับแต่เริ่ม การพัฒนาประเทศ เพื่อตอบสนองตลาดทุนนิยมโลก และถูกซ้ำเติม ด้วยวิกฤติเศรษฐกิจ ที่เกิดจากน้ำมือของกลุ่มชนชั้นนำ อย่างไรก็ตาม ประชาชนระดับรากหญ้า ที่ยังคงอาศัย อยู่ในชุมชนชนบท กลับเป็นกลุ่มคนที่สามารถปรับตัว และรับมือกับ วิกฤติเศรษฐกิจได้ ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่นำมาใช้กับทรัพยากรธรรมชาติ เท่าที่ยังพอมี ในชุมชน ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน หรือเรียกว่าอยู่ได้ด้วย "ทุนทางสังคม" มิใช่ทุนที่เป็นเงินตรา

อีกประเด็นหนึ่ง คือ ในแวดวงวิชาการและชาวบ้านเริ่มตื่นตัวกับ "ทฤษฎีใหม่ เศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นแนวการดำเนินชีวิต ที่เน้นทางสายกลาง การกระจาย ความเสี่ยง ความไม่ประมาท และไม่โลภ มีขั้นตอน ๓ ขั้น คือ ขั้นแรก พึ่งตนเองให้ได้ ทั้งด้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ โดยการทำการเกษตร แบบผสมผสาน แล้วจึงไปสู่ ขั้นที่สอง คือการแลกเปลี่ยนสินค้าที่ผลิตได้ กับท้องถิ่น ใกล้เคียง หากยังมีผลผลิตเหลือจึงไปสู่ ขั้นที่สาม คือการส่งสินค้าไปสู่ตลาดภายนอก และต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ให้ยึดมั่นที่การพี่งตนเอง โดยตลอด หลายๆ พื้นที่ได้ทดลองนำ "ทฤษฎีใหม่" ไปปฏิบัติจริง และประสบความสำเร็จ สามารถแก้ปัญหาการขาดแคลน ความต้องการขั้นพื้นฐาน ได้อย่างยั่งยืน มีความพอดี ทั้งแก่ตนเองและชุมชน ได้รับผลกระทบน้อยมาก จากวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะพึ่งตนเอง ได้อย่างพอเพียง ไม่ต้องพึ่งตลาดภายนอก

จากสถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ ในขณะที่ชุมชนบางแห่ง พึ่งตนเองได้ จากทุนทางสังคมและเศรษฐกิจพอเพียง "รัฐบาลจึงได้ประกาศสงครามกับความยากจน โดยได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า จะจัดให้มีโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อให้แต่ละชุมชน ได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ ในการพัฒนาสินค้า... สนับสนุนก ระบวนการพัฒนาท้องถิ่น สร้างชุมชน ให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการสร้างรายได้ ด้วยการนำทรัพยากร ภูมิปัญญา ในท้องถิ่นมาพัฒนา เป็นผลิตภัณฑ์ และบริการที่มีคุณภาพ มีจุดเด่นและมูลค่าเพิ่ม เป็นที่ต้องการ ของตลาด ทั้งในและ ต่างประเทศ (ข้อมูลจาก ThaiTambon.com)"

อนึ่ง การที่ชุมชนจะเข้มแข็งพึ่งตนเองได้นั้น ต้องอาศัย "ทุนทางสังคม" ซึ่งประกอบด้วย ภูมิ-ปัญญาท้องถิ่น ทรัพยากรหลากหลายที่เหมาะสมในแต่ละท้องที่ ความสามัคคีมีน้ำใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ของคนในชุมชน มิใช่ "ทุนที่เป็นเงินตรา" เพียงอย่างเดียว และ หลักการสำคัญที่ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง คือ "การพึ่งตนเองได้" นั่นหมายถึง การทำกิจกรรมใดๆ รวมทั้งการผลิตสินค้า จะต้องพึ่งตนเองให้ได้ในชุมชน คือ ใช้วัตถุดิบ ในท้องที่ของชุมชน ใช้ทั้งพลังสมอง พลังแรงงานของชุมชน และผลิตเพื่อใช้หรือแลกเปลี่ยน หรือจำหน่าย ภายในชุมชน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ไม่ต้องพึ่งวัตถุดิบ แรงงาน และตลาดภายนอก เพื่อความไม่ประมาท จากความไม่แน่นอนของสังคมภายนอก เมื่อพึ่งตนเองได้แล้ว ชุมชนยังมี กำลังผลิตเหลือ จึงค่อยขายหรือแลกเปลี่ยนให้กับตลาดภายนอกชุมชน

ดังนั้น การที่ชุมชนผู้ผลิตสินค้า OTOP จะต้องถูกกระตุ้นให้ขยายการผลิต ขยายตลาด ออกไปเรื่อยๆ นั้น จึงไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อขยายตลาดมาก จนเกินความสามารถ การผลิตได้ของชุมชน ก็ต้องใช้วัตถุดิบ จากภายนอก หรือว่าจ้างแรงงานภายนอก อีกทั้งยัง อาจต้องจ้างผู้จัดการ ที่จะสามารถ ควบคุมการผลิต ขนาดใหญ่ได้ ต้นทุนก็สูงขึ้น จึงต้องขยาย ตลาดภายนอกมากขึ้น การขยายตลาดไปไกลๆ หมายความถึง อายุผลิตภัณฑ์ จะต้องยาวนาน มากขึ้น หนีไม่พ้นต้องใช้สารเคมีเข้าช่วย ไม่ว่าจะเป็นสารกันบูด สารให้ดูขาวสวย น้ำตาลอาจจะใช้ไม่ได้ เพราะเป็นอาหารที่ดีของเชื้อจุลินทรีย์ ต้องเปลี่ยนเป็นสารเคมี ชนิดอื่น บรรจุภัณฑ์ ก็ต้องป้องกันอากาศได้นานมากขึ้น บรรจุภัณฑ์หรือกรรมวิธีการผลิต บางชนิด ต้องนำเข้า จากต่างประเทศ ซึ่งตามมาด้วยเครื่องจักร และผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ต้นทุน ก็สูงขึ้นอีก จึงต้องผลิตมากขึ้นอีก เพื่อให้ได้ปริมาณที่ประหยัดที่สุด (economic size) เข้าสู่วงเวียนของระบบ ทุนนิยม จำเป็นต้อง ขยายตลาดมากขึ้น เพื่อกระจายสินค้า ที่ผลิตออกมามาก กลายเป็นวัฏสงสารไปเรื่อยๆ ไม่สามารถ "พึ่งตนเอง" ได้อีกต่อไป แต่เป็นการ "พึ่งตลาด" เริ่มจากพึ่งเพียงเล็กน้อย ไปสู่การพึ่งภายนอก ทั้งระบบ ในที่สุดก็ถูกดึง ให้ต้องพึ่ง ระบบทุนนิยมโลก เมื่อเศรษฐกิจโลกผันผวน เศรษฐกิจประเทศไทย ก็พังครืน ตามไปด้วย เช่นเดียวกับ วิกฤติเศรษฐกิจของไทยที่เราประสบมาแล้ว

หากทุกชุมชนยึดหลัก "พึ่งตนเอง" ให้มั่นคงไว้ ไม่โลภ แม้ตลาดจะต้องการสินค้าของเรา มากกว่า กำลังการผลิต ที่มีในชุมชน เราก็ผลิตให้เต็มที่ เท่าที่มีกำลังผลิตในชุมชน การดำเนินกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ ก็จะเป็นไปด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่ง ไม่เครียด ไม่ต้องเป็น โรคหัวใจ เป็นโรคมะเร็ง เป็นโรคเส้นสมองแตก และอีกสารพัดโรค ที่เศรษฐีร้อยพันล้าน เขาเป็นทุกข์อยู่ในขณะนี้ นอกจากนั้น ยังเป็นการส่งเสริม คุณค่าของมนุษย์ ให้สูงกว่า คุณค่าของเงินตรา เพราะเมื่อเราผลิตสินค้าเท่าที่เรามีกำลังผลิต จึงเป็นการ เปิดโอกาส ให้ชุมชนอื่น ใช้พลังสมอง พลังปัญญาของท้องถิ่น คิดค้นพัฒนาผลิตสินค้า ของตนได้ มิใช่ว่าทุกชุมชน จะต้องหันมาผลิตวัตถุดิบ หรือเป็นเพียงแรงงานรับจ้าง เพียงเพื่อให้ได้เงิน เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ชุมชนนั้นๆ ไม่ได้พึ่งตนเอง แต่ต้องไปพึ่งชุมชนที่เป็นผู้จ้าง

สำหรับบางชุมชนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรกับสินค้าของตนเอง อาจจะเนื่องด้วย รูปลักษณ์ บรรจุภัณฑ์ หรือคุณภาพ นี่เป็นโอกาสที่ภาคต่างๆ ของสังคมจะมีส่วนร่วม พัฒนาประเทศ อย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น สถาบันการศึกษาทั้งระดับโรงเรียนประถม มัธยม สายอาชีพ และสถาบันอุดมศึกษา จำเป็นต้องเป็นหน่วยที่ ทำการค้นคว้าวิจัยร่วมกับชุมชน โดยใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิม และวัตถุดิบ ที่มีในท้องถิ่น เป็นฐานเริ่มต้น บูรณาการกับความรู้ สมัยใหม่ ที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ทั้งด้านเทคนิคการผลิต การบรรจุ การเก็บรักษา ให้ชุมชน มีส่วนร่วม ในกระบวนการพัฒนาความรู้ทุกขั้นตอน รู้ปัญหาและวิธี การแก้ปัญหาต่างๆ จนกระทั่ง เป็นภูมิปัญญาของท้องถิ่นต่อไป ชุมชนอาจใช้เครื่องมืออื่นๆ ที่จะเสริม พลังความเข้มแข็ง ของชุมชน เช่น ระบบแลกเปลี่ยนชุมชน อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ละเลย การทำเกษตร แบบผสมผสาน เพื่อพึ่งตนเองได้ หน่วยงานภาครัฐ จะต้องเป็นผู้สนับสนุน เกื้อกูลต่อพลัง ความเข้มแข็ง ของชุมชน มิใช่เป็นผู้ขัดขวางโดยยึดแต่เพียงตัวบทกฎหมาย

การที่ประเทศจะพัฒนาไปสู่การเป็น "ครัวโลก" ได้นั้น มิใช่การส่งเสริมเกษตรกรรมเพื่อขยาย ตลาดส่งออก เพียงเพื่อหวังเงินตรา จากต่างประเทศ แต่ "จำเป็นต้อง" สนับสนุนให้ชุมชน ทุกชุมชน พึ่งตนเองได้ "จริงๆ" เพื่อการพัฒนา อย่างยั่งยืน

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ -