- จำลอง -


ปลายเดือนมกราคมอากาศกลับมาหนาวอีก ข้าราชการระดับผู้บริหารของกรมที่ดิน จากภาคอีสาน ที่เข้าโรงเรียนผู้นำต้องขอผ้านวมเพิ่ม บอกว่า หนาวกว่าอีสานจริงๆ

ยิ่งหนาวยิ่งแห้ง คนมือบอนจุดไฟเผาป่ากันเป็นว่าเล่น ลุกโพลงควันโขมงอยู่บนเขา แล้วค่อยๆ ลามลงมา จะเผาบ้านเชิงดอย ต้องรีบแยกย้าย กันขึ้นไปดับ บางครั้งแทบไม่ได้หลับได้นอน เวลาจุดง่ายแต่ดับยาก ไม่เห็นอกเห็นใจกันบ้างเลย สัตว์ป่าหนีไฟไม่ทัน ถูกไฟคลอกตาย อยู่บ่อยๆ คนจุด กลับไปนอนที่บ้านเฉยไม่เดือดร้อนอะไร

คนไทยหลายคนตั้งแต่เหนือจรดใต้ ยังห่างไกลความเจริญอีกมาก ทางบ้านเมืองจะรณรงค์ บอกกล่าวสักเท่าไรก็ไม่ฟัง ยังเผาฟาง เผาอ้อย เผาป่าเหมือนเดิม

เพิ่งส่งความสุขปีใหม่กันไปได้ไม่นาน ความทุกข์ก็เข้ามาเยือนโดยไม่ต้องมีใครส่ง ไฟไหม้ที่ภาคใต้ เผาโรงเรียน ๒๐ แห่ง ซ้ำเติม ด้วยการปล้นกองพันทหาร ยึดปืนสงครามไปกว่า ๓๐๐ กระบอก พระเณรออกบิณฑบาต ถูกฆ่าตาย ทำให้ทุกข์ ทำให้เครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านนายกฯ ทักษิณ

เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม คณะรัฐมนตรีไปประชุมที่เมืองกาญจน์ ผมเห็นท่านหน้าตา อิดโรยมาก เหมือนกับไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน ใครอยู่ในตำแหน่งนายกฯ จะหลับเป็นสุขได้อย่างไร ไหนจะเรื่องภัยภาคใต้ ไหนจะเรื่องไข้หวัดนก ซึ่งเป็นข่าวกระพือ ฮือโหมดังไปทั่วโลก

สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเคยมีเรื่องมีราวกันมาหลายยุคหลายสมัย บางครั้งเราก็ประมาท ว่าเป็นฝีมือของโจรกระจอก คราวนี้แสดงให้เห็นชัดว่า ไม่ใช่แล้ว หลังจากโรงเรียนถูกเผา กองทหารถูกปล้น ทหารตำรวจถูกส่งไปกระจายทั่วพื้นที่ โจรเย้ยด้วยการเอามีด ฟันหัวพระ แล้วขี่มอเตอร์ไซค์ลอยนวลหนีไป จับใครไม่ได้สักคน

ภาพในหนังสือพิมพ์ เวลาพระออกบิณฑบาตต้องมีทหารตำรวจถือปืนเอ็ม ๑๖ คุ้มกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เหตุการณ์เล็กๆ แล้ว

วันก่อนผมคุยกับเพื่อนที่เป็นพลเอกเกษียณแล้ว ผมบอกว่า การที่กองพันทหารถูกปล้นนั้น เป็นประวัติการณ์ ของประเทศไทย ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพื่อนผมคนนั้นยืนยันว่า ไม่ใช่ เป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่ในโลก ไม่เคยมีประเทศไหน ที่ทหารถูกปล้น ทั้งกองพัน ต่อให้เป็น ประเทศล้าหลัง ขนาดไหนก็ไม่เคยมี

ทหารถูกฝึกให้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เข้าไปเป็นนักเรียนนายร้อยวันแรกก็ต้องเข้ายามเสียแล้ว แม้ไม่มีใคร หมายจ้องปองร้ายก็ตาม ต้องเข้าเวร ถือปืนป้องกันกำปั่น (ตู้นิรภัยขนาดใหญ่) ตลอดเวลาทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเงินในกำปั่น มีอยู่หรือเปล่า ขณะเข้าเวรเข้ายาม จะหลับจะงีบ สักหน่อยเป็นเกิดเรื่อง ถูกลงโทษ

กองพันทหาร ยิ่งต้องมีการระวังป้องกันเข้มงวดเป็นพิเศษ อยู่เวรอยู่ยามกันอีท่าไหน ปล่อยให้โจร เข้าไปฆ่า แล้วขนปืนไป เป็นร้อยๆ กระบอก

ร้อนถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมือง รองนายกฯ รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีมหาดไทย ผู้บัญชาการ ทหารบก ผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ ต้องแห่กันไป บัญชาการ ขี่ช้างจับตั๊กแตนแท้ๆ ตั๊กแตน ก็ไม่ได้ ช้างก็เหนื่อย

ถึงเวลาที่ท่านนายกฯ จะต้องปรับเปลี่ยนจัดทัพใหม่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ถ้าปล่อยให้เป็น อย่างนี้ต่อไป เสียหายหมด

มีเรื่องเล็กๆ อยู่เรื่องหนึ่งที่เน้นในโรงเรียนผู้นำ เมื่อถึงชั่วโมงที่ผมบรรยาย ผมมักจะพูดเสมอๆ คือเรื่องความกตัญญู กาญจนบุรี เป็นดินแดน แห่งประวัติศาสตร์ ในสมัยสงครามโลก ครั้งที่สอง ญี่ปุ่นจับฝรั่งไปเป็นเชลยศึก เกณฑ์ให้ทำรางรถไฟ ทำสะพานข้าม แม่น้ำแคว เชลยศึก ถูกทรมานทรกรรม เจ็บป่วยล้มตายมากมาย คนไทยแอบเอาอาหารเอายาไปให้ เมื่อสงครามเลิก เชลยศึกที่รอดกลับไป ก็ไปบอกญาติพี่น้อง ให้ช่วยกันแวะเวียน ไปเยี่ยมคน เมืองกาญจน์ที่ใจบุญ เขากตัญญูรู้คุณ

ผมแนะผู้เข้ารับการอบรมว่า เมื่อถึงวันเกิดอย่าลืมคุณพ่อคุณแม่ พาลูกหลานไปกราบไหว้ท่าน ถ้าอยู่ไกล ไปไม่สะดวก ก็ใช้วิธีโทรศัพท์ วันครูก็เช่นกัน

วันครูปีนี้ผมโทรศัพท์ไหว้ครูหลายท่าน ทั้งครูสมัยที่ผมเป็นนักเรียนมัธยม และนักเรียนนายร้อย ท่านสมาชิก เราคิดอะไร จะลองทำบ้างก็ดี สืบให้ดีๆ หลายท่านยังมีชีวิตอยู่ พร้อมที่จะรับไหว้ ทางโทรศัพท์

มีอาจารย์อยู่ท่านหนึ่งที่ผมผิดพลาดซ้ำ ไม่หาข่าวให้ดีเสียก่อน ต่อไปจะต้องระมัดระวัง มากกว่านี้ หลายปีมาแล้ว ผมโทรศัพท์ไหว้ท่าน ซึ่งเคยสอนภาษาอังกฤษ เมื่อครั้งผมเป็น นักเรียนนายร้อย ผมยังจำบุคลิกท่าทางของท่านได้ จนถึงวันนี้ ภริยาท่านก็เป็นครู ที่น่าเคารพมาก เช่นกัน สอนภาษาไทย

หลังจากพูดโทรศัพท์ไหว้ท่านเนื่องในวันครูเสร็จแล้ว ผมก็ขออนุญาตไหว้คุณครูผู้หญิง ท่านตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

"จำลอง ครูวันทนีย์ของจำลอง เสียเสียแล้ว"

วันครูปีนี้เมื่อผมต่อโทรศัพท์ติด บุตรสาวของท่านรับโทรศัพท์แทนด้วยเสียงเศร้าๆ

"คุณอาคะ คุณพ่อเสียแล้ว"

เพื่อนๆ นายทหารนายตำรวจรุ่นผมดีอยู่อย่างหนึ่ง เวลารวมรุ่นไม่ได้ไปสุมหัวกันกินเหล้าเมายา แต่พากันไปวัด ไปฟังเทศน์ จากหลวงพ่อปัญญา วัดชลประทาน ทุกปี ปีนี้ผมติดบรรยาย ที่โรงเรียนผู้นำ ไม่ได้ไปอีกเช่นเคย หลวงพ่อปัญญา ท่านถามหาผม

คงจะเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วย ได้ข่าวว่านายอำเภอประชา ลาภานันต์ ครูใหญ่โครงการ แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ที่อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยา ไปยืมเงิน วัดชลประทาน เพื่อฝึกอบรมเยาวชน เนื่องจากหลวงพ่อปัญญา ท่านเจ้าอาวาสวัดชลประทาน อุปถัมภ์โครงการ แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง

เมื่อต้นปีที่แล้ว นายอำเภอประชามีหนังสือถึงผมว่า จะฝึกอบรมเยาวชนติดต่อกันหลายรุ่น ใช้งบประมาณ ๕ ล้าน ๗ แสนบาท ผมบันทึกถึง ท่านนายกฯ ว่าเป็นโครงการ ที่มีประโยชน์มาก สมควรให้การสนับสนุน ท่านนายกฯ ก็อนุมัติ

ฝึกอบรมเสร็จไปแล้ว เงินยังไม่ได้ ครูใหญ่เลยต้องไปยืมพระ

จากคำแนะนำของพระผู้ใหญ่ ซึ่งท่านเห็นคุณค่าของการฝึกอบรมเชิงคุณธรรม ผมเสนอ ท่านนายกฯ ท่านเห็นด้วย กำลังจัดตั้งโครงการ พัฒนาพลังแผ่นดิน ในการฝึกอบรม เกษตรกรและเยาวชน ให้การสนับสนุนโครงการฝึกอบรม เชิงคุณธรรม แก่หน่วยราชการ และองค์กรเอกชน มีงบประมาณเอง ไม่ต้องไปยืมเงินวัด ยืมเงินพระ

อีกโครงการหนึ่งค้างมาหลายเดือน ซึ่งผมเคยเขียนไปบ้างแล้ว คือ โครงการเกษตรอินทรีย์ (ทำการเกษตร โดยไม่ใช้สารเคมี) เมื่อผมเสนอ และท่านนายกฯ เห็นชอบแล้ว สำนักนายก มีหนังสือเวียนไปยังผู้เกี่ยวข้อง ไปค้างอยู่ที่รองนายกฯ กร ทัพพะรังสี ขณะนี้พ้นหน้าที่ไปแล้ว

คณะผมซึ่งมีทั้งทหารและพลเรือน ที่คลุกคลีอยู่กับเกษตรกรไม่หยุดยั้ง เริ่มต้นใหม่ คราวนี้ เอาแค่ ระดับกระทรวง เรียนเชิญ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตร ประชุมที่ บ้านพิษณุโลก ๒ ครั้ง กระทรวงเกษตร จะตั้งคณะกรรมการ เกษตรอินทรีย์แห่งชาติ สำหรับเป็นเจ้าภาพ เรื่องเกษตรอินทรีย์ทั้งหมด

ส่วนที่เกี่ยวกับปุ๋ยอินทรีย์ จะนำร่องโดยบริษัทเท่าทุน ซึ่งสมาชิกเราคิดอะไรหลายท่านมีหุ้นอยู่ ตอนที่เศรษฐกิจฟูเฟื่อง ขายของกินของใช้ ในช่วงนั้น ๘ ปี ยอดขายเป็นเงินมากถึง ๘๘ ล้านบาท จนถึงวันนี้ยังเท่าทุน มีเงินอยู่เท่าเดิม เจ็ดแปดล้านบาท

บริษัทเท่าทุนจะจ้างเกษตรกรในท้องที่ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ตามสูตรเด็ดของเรา แล้วขายให้ เกษตรกรในท้องถิ่นนั้น ปุ๋ยอินทรีย์ในท้องตลาด ราคาถุงละ ๓๕๐ บาท ของบริษัทเท่าทุนแค่ ๒๐๐ บาทเท่านั้นเอง

เมื่อบริษัทเท่าทุนนำร่องเป็นผลสำเร็จ โครงการเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ จะรับไปดำเนินการต่อ ซึ่งทำได้กว้างขวางกว่า มากมาย

ผมปรารภกับเพื่อนร่วมงานเสมอๆ ว่า แปลก ยิ่งแก่ยิ่งมีงานมาก ได้รับคำแนะนำ ได้รับ คำตอบว่า ถูกแล้ว เพราะยิ่งแก่ ยิ่งเหลือเวลาน้อย

วันก่อนผมพบท่านรองผู้จัดการใหญ่ของธนาคาร ธ.ก.ส.พร้อมกับลูกสาว ท่านรองเอ็นนู ซื่อสุวรรณ เล่าพร้อมกับ มีประจักษ์พยาน ประกอบว่า หลายปีมาแล้ว ได้พาหนูคนนั้น พร้อมกับลูกชายอีกคนหนึ่ง ไปอัดเทปรายการโทรทัศน์ ดรุณธรรมกับผม ขณะนี้ทั้งลูกสาว และลูกชาย เป็นอาจารย์ ทันตแพทย์ทั้งคู่ ยังติดใจรายการนั้นอยู่

ผมเสนอท่านนายกฯว่า สนใจเด็กไม่ทิ้งเด็กเป็นเรื่องดีมาก ท่านช่วยไปออกโทรทัศน์ รายการ ดรุณธรรม เมื่อวันจันทร์ที่ ๕ มกราคม คุยกันสนุกสนาน เรื่องคำขวัญวันเด็ก "รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน"

รายการดรุณธรรมกลับฟื้นคืนมาใหม่ เริ่มปฐมทัศน์ตั้งแต่ ๕ มกราคม เป็นประจำทุกวันจันทร์ ตั้งแต่เวลาหกโมงเย็น ถึงหกโมงครึ่ง ท่านสมาชิก "เราคิดอะไร" ที่พอมีเวลา ช่วยดู ช่วยติชมบ้าง ก็จะดี

ผมออกรายการดรุณธรรม (เป็นชราชนคนเดียวในหมู่เยาวชน) ในครั้งกระนั้น เมื่อถึงวันนี้ เวลาผ่านมา สิบกว่าปีแล้ว หมดยุค หมดสมัย ผมขอให้ผู้จัดรายการ อย่าเอาผมไปออก รายการอีกเลย ก็ได้รับคำขอร้องว่า ขอเวลาเพียงนิดๆ นานๆ ครั้ง ไม่ใช่ออกทั้งรายการ และทุกครั้ง เหมือนสมัยก่อน

เมื่อต้นปี อาจารย์ศิวกานท์ ปทุมสูติ นักกวีเอกที่ตามท่านจันทร์ไปศรีลังกาด้วยกัน เข้าไปซื้อ งาป่น ที่โรงเรียนผู้นำ ร้องทักผม ด้วยสำเนียงของ ชาวศรีลังกาว่า "อายุบาวัน" ซึ่งตรงกับ คำไทยว่า "อายุบวร" นั่นเอง

คุณศิริลักษณ์ กำลังสนุกอยู่กับการตั้ง "ชมรมอายุบวร" ที่ร้านอาหารบ้านสวนไผ่สุขภาพ สมาชิกส่วนใหญ่เป็น "ชาวมะเร็ง" ต้องการให้ ผู้ที่เป็นมะเร็ง มีอายุยืนยาวสมชื่อชมรม สมาชิก "เราคิดอะไร" ทั้งที่เป็นและไม่ได้เป็นมะเร็ง หากสนใจสมัครสมาชิกได้เลย ชมรมนี้มีกิจกรรม ที่สนุกสนาน และมีสาระ รับรองอายุบวรแน่

วันพฤหัสที่ ๕ กุมภาพันธ์นี้ เวลา ๑๓.๓๐ น. ชมรมอายุบวรจะเปิดตัวที่ร้านอาหารบ้านสวนไผ่สุขภาพ โดยเชิญท่านศาสตราจารย์ นายแพทย์ พงศ์ศิริ ปรารถนาดี บรรยายเรื่อง "พลูคาวต่อต้านมะเร็ง" สมุนไพรที่ชื่อว่า พลูคาว ผ่านการวิจัย ทางการแพทย์มาแล้ว รักษามะเร็งได้ผล และได้จดทะเบียน เรียบร้อยแล้ว ใครเป็นมะเร็ง หรือมีญาติพี่น้อง เป็นมะเร็งควรจะไปฟัง

เมื่อปลายเดือนมกราคม คุณหมอเฉก ธนะสิริ ประธานชมรมอยู่ร้อยปี ชีวีเป็นสุข ไปบรรยาย ที่โรงเรียนผู้นำ ซึ่งจัดให้เฉพาะ ข้าราชการกรมที่ดิน ระดับผู้บริหาร คุณหมอเฉกยืนยันกับผมว่า จากหลักฐานทางราชการ ของกรมอนามัย สถิติการเจ็บป่วย ของชาวศรีลังกา น้อยกว่าคนไทย มากมาย คุณหมอเคยไปศรีลังกา มาสี่ครั้งแล้ว ติดใจเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ ศาสนา และวัฒนธรรมความเป็นอยู่

คราวที่แล้วผมไปกับคณะของท่านจันทร์ เวลารถแล่นไปตามเมืองต่างๆ หาวัดและ โรงพยาบาล ดูได้ยาก คนศรีลังกา ถือศาสนาพุทธ ไม่เกิน ๗๐% ถูกปกครองโดยชาติ ที่ถือศาสนาคริสต์ มากว่า ๔๐๐ ปี แต่เขาเคร่งศาสนาพุทธมาก ผิดกับไทยลิบลับ

ไม่ใคร่มีโรงพยาบาลให้เห็น โรงพยาบาลที่มีก็ล้าสมัย แต่ทำไมโดยเฉลี่ยผู้คนของเขา จึงสุขภาพ ดีกว่าเรา บ้านเมืองของศรีลังกา เวลานี้ มีสภาพเหมือนเมืองไทย เมื่อสมัยสามสิบ สี่สิบปีที่แล้ว แสดงว่าเรายิ่งพัฒนาด้านวัตถุ เรายิ่งแย่ทั้งด้านจิต และด้านกาย

วันแรกที่ไปถึงศรีลังกา ผมนั่งรถทัวร์คันเดียวกับ ดร.นายแพทย์วิชัย เอกทักษิณ ญาติธรรมเก่า แต่ไม่แก่ ของชาวอโศก ผมถามมัคคุเทศน์ ชาวศรีลังกาว่า คนศรีลังกาฆ่าตัวตายมากไหม เขาบอกว่าทั้งประเทศ ฆ่าตัวตายเดือนละไม่เกิน ๑๐๐ คน (ตกปีละประมาณ ๑,๐๐๐ คน) ผมหันไปถาม หมอวิชัย ซึ่งอยู่ที่ญี่ปุ่นมายี่สิบกว่าปี หมอบอกว่า สถิติเมื่อสิบปีที่แล้ว ญี่ปุ่น มีคนฆ่าตัวตายปีละ ๓๐,๐๐๐ เศษ

ผมไปญี่ปุ่นคุยกับอาจารย์มหาวิทยาลัยโตเกียว เมื่อสองปีที่แล้ว สถิติการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นไปถึงปีละ ๔๐,๐๐๐ เศษแล้ว ญี่ปุ่นยิ่งเจริญมาก ยิ่งฆ่าตัวตายมาก ไทยและประเทศอื่นๆ ก็เช่นกัน แสดงให้เห็นชัดว่า ยิ่งเจริญด้านวัตถุมาก ยิ่งทุกข์มาก

น่าจะมีใครหยิบยกประเด็นนี้ไปหารือกัน ในสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์เดิม) ว่าเราจะพัฒนาประเทศ มุ่งไปหาสุข หรือหาทุกข์กันแน่

เรื่องบ่อนที่วิพากษ์วิจารณ์กันหนาหู สภาพัฒน์อาจได้ข้อสรุปเสนอคณะรัฐมนตรีไปเรียบร้อยแล้ว "อบายมุข คือโรคร้ายของสังคม ควรเลี้ยงหรือควรทำลาย" หนังสือ "เราคิดอะไร" กำลังติดตามข่าวคราวเรื่องนี้อยู่

ประเทศจีนต้นตำรับของการกินเจ ซึ่งแพร่หลายไปทั่วโลกมานานแล้ว ขณะนี้มีคนกินเจน้อยมาก เป็นเรื่องแปลก ที่ไม่น่าเป็นไปได้

อาจารย์อู๋ เจ้าของโรงแรมไทยธานี โรงแรมเก่าแห่งหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ เชิญผมและ คุณศิริลักษณ์ ประธานชมรมมังสวิรัติ ไปร่วมในพิธี เปิดที่ทำการ สมาคมเจแห่งประเทศจีน ที่มณฑลซัวเถา ปลายเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อเผยแพร่อาหารเจ ในประเทศจีน ชาวจีนที่ก่อตั้ง สมาคมดังกล่าว ขอให้ผมเป็นประธานกิตติมศักดิ์ ของสมาคมด้วย

กลับจากจีน คงมีอะไรน่าสนใจ เขียนเล่าให้ท่านสมาชิกทราบ

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ -