ชีวิตนี้มีปัญหา ๒ - สมณะโพธิรักษ์ -

(ต่อจากฉบับที่ ๑๖๒)


เพราะผู้ที่ขึ้นชื่อว่ายังอยู่ใน "ภูมิโลกีย์" ก็คือ ยังไม่มีความรู้เข้าขั้น "โลกุตระ" ดังนั้น ย่อมจะไม่รู้จัก ความเป็น "ประโยชน์แบบโลกุตระ" แน่ยิ่งกว่าแน่ แม้แต่ผู้ศึกษาพุทธธรรม มาอย่างดี มีสัมมาทิฏฐิแล้วด้วยซ้ำ แต่ถ้าปฏิบัติยังไม่ถึงขั้น "ปรมัตถะ" คือ ต่อให้เป็นนักปฏิบัติ แต่ยังไม่สามารถ "ทำให้กิเลสในจิตของตน ลดละจางคลาย หรือดับได้" ด้วยการปฏิบัติ "โพธิปักขิยธรรม ๓๗" จนเกิด "อธิปัญญา" ถึงขั้นเป็น "วิชชา ๙"

ผู้นั้นก็ "ยังไม่มีประโยชน์ โลกุตระ"

ชาวโลกีย์นั้น ยังไม่มีปัญญาหรือญาณรู้แจ้งใน "ปรมัตถะ" เพราะยังไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติ จนเกิด "วิชชา ๙" จึงยังไม่รู้จัก รู้แจ้งรู้จริง ในความเป็น "จิต..เจตสิก..รูป..นิพพาน" ดังนั้น แม้จะทำ "กุศลกรรม" ภายนอก แต่ใน "มโนกรรม" ก็ยังเป็น "อกุศลกรรม" ได้

เช่น ภายนอก"ทำทาน" มีกรรมแห่งการเสียสละวัตถุ ซึ่งก็เป็น"กุศลกรรม" แต่ในขณะที่ "ทานวัตถุ" นั้น ภายในจิตอันเป็น "มโนกรรม" ยังไม่เป็น "กุศลกรรม" หรือใน "มโนกรรม" ยังไม่ได้ เสียสละ เพราะ "จิต" ยังมี "กรรมโลภ" อันเนื่องจากการทานนั้นอยู่ กล่าวคือ ขณะที่ให้วัตถุไป แต่จิตใจกลับ "โลภ" ขอให้การทานนั้น มีผลได้คืนกลับมา ให้แก่ตน ยิ่งกว่าที่ได้ให้ไปด้วยซ้ำ ใส่บาตรข้าวหนึ่งทัพพี ก็เป็น "ทาน" ทางกาย เป็นกุศลกรรม แต่ในใจในจิต หรือมโนกรรม บางที ทั้งวจีกรรมกล่าวคำพูดขอออกมาดังๆอีกด้วย คือ "ขอให้ได้แสนได้ล้าน" ซึ่งเป็น "มโนกรรม" แท้ๆ เป็น"ความโลภ"ชัดๆ ก็ได้ "อกุศลกรรม" เป็นของตนจริงๆ โต้งๆ ดังนี้ เป็นต้น

ชาวโลกีย์ยังไม่เห็นความสำคัญ"มโนกรรม" ยังไม่เข้าใจใน"กรรมของจิต" หรือ "การกระทำของจิต" ที่ "มีกรรมหรือมีกิริยา" อยู่ในจิตจริงๆ ซึ่งเป็นกรรมสั่งสมลงเป็น วิบากแท้ๆ หากใครมีในจิต คิดในใจจริง ก็เป็น"กัมมัสสกะ" (เป็นของตน) คือ "วิบากที่สั่งสมเป็น สมบัติ ให้ผลแก่ตน" ในชาตินี้ชาติหน้า ตามฤทธิ์แรงแน่นอน

[มีต่อฉบับหน้า]