ห่าร้าย เมืองไทย ขายได้ดี
-วิมุตตินันทะ -

ขึ้นปีลิง น่าจะดุเดือดเอาการ ระเบิดพลีชีพและกับระเบิด ยังคงเกิดไม่ขาดสาย ตราบใดอเมริกา ไม่ยอมคายอำนาจโดยเร็ว ใกล้บ้านเรา ธรรมชาติโรคระบาดเชื้อหวัดนกที่เวียตนาม พาไก่ตาย เป็นเบือ ที่อินโดนีเซีย ไก่โดนห่ากินหลายล้านตัว ตั้งแต่ปีที่แล้ว

ไม่ทันไร ไก่ไทยห่าลงหลายเมืองในภาคกลาง หมดเป็นล้านตัว ผู้คนเลยกลัวหัวหด ไม่กล้าไหว้ไก่ เป็นแถว เจ้าและบรรพชนเลยได้แต่เครื่องเซ่น เป็นเป็ดหมูกุ้งเพิ่มขึ้น

แรกๆ ออกข่าวว่าห่าบ้านเราเป็นห่าอหิวาต์หรือทางเดินหายใจธรรมดา ล่าสุดค่อยยอมรับ ผลชัดเจน มีเชื้อหวัดนก ระบาดจริงๆ

งานนี้เล่นเอาไก่ส่งออกตกวูบ เพราะญี่ปุ่นและยุโรปห้ามเข้า

เศรษฐกิจที่แขวนไว้กับตัวส่งออก จึงผันผวนไว เหมือนยืมจมูกเขาหายใจ จะอยู่ให้เป็นสุข ถึงต้องยืน ด้วยลำแข้งตัวเอง คือเศรษฐกิจพอเพียงโดยเลี้ยงตัวเอง จนเหลือกิน เกินใช้ ค่อยส่งออก

โดยเฉพาะอาชีพเลี้ยงสัตว์ เป็นเรื่องของคนถือเงินเป็นตัวตั้ง ไม่กลัวบาปกรรม และทำเพื่อ สนองตัณหา คนเลี้ยงยากด้วยกัน มันจึงต้องมีปัญหาเสี่ยงภัยมากหน่อย อนึ่ง สัตว์เป็นโรค ห่ากิน โอกาสติดต่อมาถึงคน ย่อมง่ายดายเหลือเกิน ไม่เหมือนกับโรคพืชผัก ซึ่งไม่ต้องฆ่า ตัดตอน เพื่อทำลายวงจร ดังเช่นล้างบางไก่กันวุ่นวาย

แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ทั้งหมาแมวที่ชอบเลี้ยงกันนักยิ่งกว่าจะเมตตาคน สักวันหนึ่ง อาจสร้างปัญหา เป็นพาหะโรคร้าย มาถึงคนเลี้ยงด้วย นอกเหนือจากภาระที่ต้องห่วงหาอาทร ถึงขนาด ทิ้งไปไหนไม่ค่อยได้ก็เยอะ แม้มีบ้านยังอาจฝากตำรวจไว้ได้บ้าง หลายรายมีหมาแมว แล้วไปค้างคืน ที่อื่นไม่ได้เลย เวรกรรมแท้ คนเอ๋ย...

เศรษฐกิจทุนนิยม บริโภคนิยม ตามกระแสค่านิยมที่มองข้ามภูมิปัญญาพุทธ ย่อมวุ่นไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ เช่นนี้แหละ ใครที่พลอยวาดฝันเศรษฐกิจปีนี้จะโต ๘% ปีหน้ากระโดด ๑๐% น่าจะคิดถึง นรกติดปีก อนิจจังทุกขัง เอาไว้บ้าง คงไม่เลวเลย....

*** แก้จนถึงต้นตอตรงไหนบ้าง
คงต้องยกนิ้วให้รัฐบาลที่คิดอ่านขึ้นทะเบียนคนจน โดยให้มาแสดงตัวถึงเดือนกุมภานี้ นับว่า กล้าหาญมาก ที่ยกปัญหานี้ขึ้นมาเอาจริงอย่างมีแผนแก้จนเป็นระบบขั้นตอน ส่วนจะแก้จน ได้จริง แน่นอนแค่ไหน คงเป็นอีกเรื่องซึ่งต้องคอยดูฝีมือท่านผู้นำ

เท่าที่คาดหมายตามเค้าเงื่อน เหมือนจะหนีไม่พ้นเอื้ออาทร ใครไม่มีที่ดิน คงจะหาที่ดิน แบ่งปัน ให้ทำกิน คนมีหนี้ดอกแพง ก็หาเงินกู้ดอกถูกให้กู้ผ่อนยาว ใครไม่มีบ้าน รัฐคงออกทุนสร้างบ้าน ให้ชื้อผ่อนถูกๆ พวกไม่มีอาชีพ คงต้องสร้างงานให้หายจนขึ้นมาบ้าง

ถ้าเป็นไปตามเหตุผลที่เดาส่งไปตามเรื่อง ฟังดูกว้างๆ มันน่าจะดีแล้ว คือ รัฐจะมีข้อมูล ใครจน แบบไหนกันบ้าง น่าจะช่วยให้ตรงจุดได้ไม่ยากเกินไปนัก อันนี้รัฐบาลคงจะทำได้ สำหรับ เซิงแก้ปัญหา เฉพาะหน้า ครั้นพอตั้งหลักลืมตาอ้าปากได้แล้ว จะไม่กลับมาจนใหม่อีก หรือ ไม่เป็นคนจนซ้ำซาก เรื้อรัง อย่างนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

เพราะเท่าที่ดูท่าทีรัฐบาล ไม่เห็นจะมีแววแสดงภูมิปัญญาแก้จนถึงต้นตอ จะบอกว่า ดูถูกไปก่อน ก็คงจะไม่ผิด ดังเช่น

รัฐไม่นำพาเศรษฐกิจพอเพียง ให้คนเลี้ยงตนสันโดษสมถะ โดยมุ่งหน้าให้คนมีรายได้เพิ่ม แต่ตราบใด คนไม่ยอมประหยัด เมื่อไหร่จะหายจนเพราะการลดจะประหยัด เห็นผลทันตา ทำได้ง่ายกว่า หาเงินเพิ่ม เป็นไหนๆ อะไรควรทำสำคัญก่อนหลัง

อย่างไรก็ตาม รัฐมุ่งมั่นผลักดันเศรษฐกิจให้โตเข้าเป้าเป็นสำคัญ ลัทธิเศรษฐกิจพอเพียง เลยไป ด้วยกันไม่ได้ กับลัทธิบริโภคนิยม อันเอื้ออวยให้นายทุน รวยได้รวยเอา ทั้งไม่สร้างสรร ทุนทางสังคม คนจนจึงยิ่งขาดแคลนปัจจัยสี่ ในขณะที่ปัจจัยการผลิต ถูกดึงไปบำเรอ ของฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย เช่นเมื่อเอาข้าว ไปทำเหล้าเบียร์มากขึ้น ข้าวที่คนจนจะซื้อกินได้ถูกๆ ก็จะมีน้อยลง และ แพงขึ้นด้วย ค่าแรงเกี่ยวข้าวจะแพงตาม เมื่อเกิดการว่าจ้างแรงงาน ในโรงเหล้า เบียร์ หรือ โรงอาบอบนวด เพิ่มขึ้นมากมายเช่นนี้เป็นต้น

การขยายตัวเศรษฐกิจตามกระแสบริโภคนิยมเสรี โดยปล่อยให้มีอบายมุขเฟื่องฟู ธุรกิจหวยพนัน รวมอัครสถานบันเทิงฟู่ฟ่า อะไรต่างๆ เหล่านี้ ถึงแม้จะช่วยให้คนมีงานทำมีเงินใช้ กลายเป็น เศรษฐกิจ คึกคักโตขึ้นเหมือนกัน แต่มันเป็นภาพลวงตาของเศรษฐกิจฟองสบู่ แรงงาน ที่ไปเดินขาย หวยใต้ดิน บนดิน หรือไปดีดดิ้นขายตัวในสถานมอมเมาอโคจรทั้งหลาย สู้เอาไปกวาดขี้หมา... น่านิยมชมชื่น กว่ากันเยอะเลย จะบอกให้

น่าเสียดายกับเศรษฐศาสตร์อันขาดศีลธรรมสำนึกดีเป็นองค์นำ เราจึงเห็นเศรษฐกิจเติบโต เพื่อเม็ดเงิน เป็นตัวตั้งลูกเดียว โดยไม่เฉลียวดูบ้างเลยว่าอะไรเป็นกุศลหรืออกุศลอยู่เท่าใดบ้าง ไม่ใช่แค่หมุนเงิน ให้เกิดซื้อขาย ได้กินใช้ ถ่ายเทกำไรเข้ากระเป๋ากันไปตามประสาส่งเดช มันไม่ใช่มักง่ายมั่วซั่วแบบนั้น

เศรษฐกิจมันจะดีเลวขนาดไหน ดูแค่ตัวเลขเศรษฐกิจโตรวมหลวมๆ ได้อย่างไร

ต่อให้เศรษฐกิจดันทะลุเป้า ๑๐% ได้เลย ซึ่งเราเคยทำสำเร็จมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ผลเป็นไฉน ฟองสบู่แตก ค่อยเห็นโลงศพ จบด้วยน้ำตาผ่านไปไม่ทันนาน ลืมแล้วหรือไร กับความหลัง อันแสนแสบสาปส่ง

ครั้งนี้ ท่าใหม่ หมูไม่กลัวน้ำร้อน

ถึงอย่างไรก็น่าคิด เศรษฐกิจจุลภาคในแต่ละบ้าน เมื่อมันแขวนลอยอยู่บนฟองสบู่ มันจะฟู่ฟ่า ไปนานได้แค่ไหน ดูตัวอย่างตลาดหุ้น ปีที่แล้วก้าวกระโดดไปโลดเป็นประวัติการณ์ แสนสุโข สโมสร กะปีนี้ทะลุ ๘๐๐ จุด ๑,๐๐๐ จุด ก็ฝันหวานกันไป พอเจอไข้หวัดนก เกิดห่าลง ไก่ตายเป็นล้าน หุ้นผวาวูบ ไปตามระเบียบ

ถ้าเศรษฐกิจส่วนตัวของคนรากฐานไม่มั่นคง อย่าไปหลงตื่นเต้นอะไรนักหนา กับภาพลวงตา ของ เศรษฐกิจส่วนรวม ที่ยกอ้างหลอกคนโดยสุจริต เพราะไม่เจตนา เช่นนับรายได้ของคน มีเงินล้าน กับคนหัวล้าน มาหารสอง มันก็ได้คนละครึ่งล้านไปโน่น แล้วจะให้คนหัวล้าน ตาสีตาสา พลอยลิงโลด ไปกับยอดเงิน ล้านแล้วจ้า ได้อย่างไรเจ้าข้าเอ๊ย คงได้แต่ขำกลิ้ง เหมือนลิงหลอกเจ้า หรือเปล่าหนอ...

เศรษฐกิจตัวจริง จึงยิ่งลึกซึ้งกว่าเงินทองของมายา นอกจากต้องพึ่งพาตนเอง เพื่อทำข้าวผ้า ยาบ้าน ในชุมชน ให้เพียงพอจนล้นเหลือแล้ว ยังจะต้องดูถึงคุณภาพชีวิต ทั้งวัฒนธรรม คุณธรรม และ สุขภาพรวมตลอด ทุนทางสังคม ตั้งแต่ทรัพยากรมนุษย์ ไปจนถึง ทรัพยากร ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม

ตัวอย่างกรุงเทพ เป็นเมืองเศรษฐกิจน้ำเน่ายอดห่วยที่สุดกว่าเพื่อน แม้จะเป็นเมือง ที่คน มีรายได้ต่อหัว มากกว่าใครๆ แต่เป็นมหานรกขนาดไหน คงไม่มีใครเห็นง่ายๆ แค่ปีใหม่ สงกรานต์ที เหมือนนรกแตก พากันซิ่งเตลิด หาที่ตายเป็นว่าเล่น นี่คือผลพวงพัฒนาเศรษฐกิจ ที่หลงทาง กระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพ จนกระทั่ง ทำลายชุมชน นำพาผู้คนหนุ่มสาวทิ้งไร่นา ทิ้งถิ่นฐาน หมู่บ้านร้างโรยรา มาตลอด หลายสิบปี ที่ตามก้นฝรั่ง

*** สวรรค์ชั้นอบายก็ขายได้
เหตุการณ์โรคระบาดจะเป็นห่าอหิวาต์หรือไข้หวัดนกอะไรก็ช่างเถอะ มีคนบอกว่า สะท้อนให้เห็น สถานการณ์ ถึงยุคนรกติดปีกแล้ว ธรรมชาติและเหตุปัจจัยนอกวิสัยควบคุม ทำให้เรา ต้องไม่ประมาท เผื่อเกิดอะไร วูบวาบขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน จะได้รู้เท่าทันความจริง ตามที่เป็นจริงบ้าง

โรคห่าฆ่าชีวิตหรือสัตว์ มันเห็นได้ง่าย เร่งรีบแก้ไขทันควัน

แต่โรคห่าลงเมือง ซึ่งมันไม่ทำให้คนชักดิ้นชักงอล้มตายทันทีต่อหน้าต่อตา แต่มันมอมเมา บั่นทอนชีวิตคน โดยไม่รู้สึกตัว ไม่รู้เท่าทันง่ายๆ

ถ้าเป็นยาบ้า ก็แน่นอน ล้างบางกันได้สำเร็จเบื้องต้น ถือว่าดีมากแล้ว

ที่สำคัญ รู้เรื่องกันยากหน่อย คือเจ้าอบายมุขทั้งหลายแหล่ อบายมุขแปลกันว่า ทางแห่ง ความเสื่อม ฟังแล้ว เหมือนชินชา ทั้งที่มันคือหัวหน้านรกพาฉิบหาย ใหญ่สดๆ เห็นๆ เป็นนรกบนดิน โทนโท่ตำตา

เคราะห์ดีเหลือเกินที่รัฐบาลโดยสาธารณสุข รณรงค์ให้เลิกเหล้าเข้าพรรษา แม้นอกพรรษา ขึ้นปีใหม่ ก็ขึ้นป้าย ให้เห็นสุราเป็นยาพิษ ทอนชีวิตอายุสั้นไม่ใช่ของขวัญ อันนี้ถือว่าถูกทาง เป็นวิธีช่วยให้คน สุขภาพดี ทั้งกายใจ อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเปลี่ยนค่านิยมผิดๆ เสียใหม่

หรือกระทั่งยาเมาเช่นบุหรี่ สาธารณสุขก็เอาจริงยิ่งขึ้น จะให้พิมพ์ฉลากสี่สีบนซอง จี้ให้คนติด สะดุดใจบ้าง

อย่างไรก็ตาม ศีลข้อห้ามิใช่มีแต่สุรายาเมาเท่านั้น สิ่งเสพติดมอมเมาอบายมุข ยังมีทั้ง ดูการละเล่น เล่นพนัน เที่ยวกลางคืน เกียจคร้านและคบมิตรชั่ว

โดยเฉพาะเรื่องกีฬา กลายเป็นเครื่องมือหรือเหยื่อสำคัญของสื่อสารทุกชนิด เหมือนจะขาด เสียมิได้ แค่ข่าวกีฬาเล่นๆ ไม่เห็นมีสาระอะไรใหญ่โต แต่เอามาขายได้เป็นวรรคเป็นเวร ทั้งเช้า กลางวัน เย็น จนค่ำคืน ดึกดื่น คนทั่วไปส่วนใหญ่ชอบบริโภคข่าวปานนั้นหรือ หรือว่าสื่อยัดเยียด ให้บริโภค เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวาไป คนที่ชอบขนาดหนัก คงมีอยู่บ้าง และใช้เป็นทางพนันขันต่อ ขยายวงพนันออกไป จนไม่มีทาง จะจับได้ไล่ทันกันหวาดไหว

กีฬาๆ เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลสทำคนให้เป็นคน คำร้องอันนี้ มันใช้ไม่ได้แล้ว กับวันนี้ จะให้มันตรง ตามจริง คงต้องแก้ไขใหม่ว่า "กีฬาๆ เป็นยาผีเปรต เพิ่มกองกิเลส ทำคนไม่เป็นคน"

กีฬาแม้จะเป็นกิจกรรมผ่อนคลายเล็กๆ สำหรับเด็ก ซึ่งจะให้ออกแรงทำงานอะไรเต็มๆ มันยังไม่พอ ใช้งานปานนั้น ต้องให้เล่นให้หวังบ้าง กับผู้ใหญ่ ไม่ต้องเล่นของเล่น แบบทารก ฉันใด มันก็ไม่เข้าท่าอันใด ที่จะต้องไปดูใครเขาเล่นทุกวี่ทุกวัน ทั้งปีทั้งชาติ เสียเวลาเสียสุขภาพ และเสียเงิน อีกต่างหาก มากน้อยแล้วแต่

เสียดายสื่อสารวิทยุทีวี ซึ่งสาธารณชนบริโภคเป็นหลักใหญ่ หากวิทยุทีวีไม่วิปริต ไปตามกระแส ค่านิยม มอมเมา บ้ากีฬาเกินไป เอาเวลาออกข่าวกิจกรรมที่มีสาระกว่าย่อมได้เยอะแยะ

โดยเฉพาะชีวิตและสังคม จำเป็นต้องมีกิจกรรมศาสนาเป็นธุระประจำวัน อย่างน้อยๆ ต้องไปฟัง สวดศพเผาญาติมิตรสหาย แทนที่จะป่าวร้องใครเขาเล่นอะไรแพ้ชนะกันนั่นนี่ คนทั่วไป ไม่มีส่วนได้ ส่วนเสียอะไรด้วยเลย สู้แจ้งข่าวเผาศพคนนั้นคนนี้ ยังจะใด้สติ ไม่ประมาท เป็นบุญหู มากกว่าฟังข่าวกีฬา รกสมองน่าเบื่อ พวกบ้ากีฬาคงหาว่าผู้เขียน ชอบขวางโลก

สรุปแล้ว อบายมุขสิ่งเสพติดมอมเมาร้ายแรงต่างๆ คนย่อมยอมรับว่าเลิกละลดได้เป็นดี โดยเฉพาะเหล้าบุหรี่ยาบ้า หรือผีพนัน พอเห็นโทษกันง่าย น่าเสียดาย ที่ยังไม่มีการจัดระเบียบ แหล่งบันเทิงค่ำคืน ทั้งในด้านจำกัดเขตและจำกัดเวลา ข้ออ้างที่คัดค้านกันคือ กลัวเสีย ผลประโยชน์ ทั้งๆ ที่อบายมุขทั้งหมด ล้วนเป็นตัวบ่อนทำลายเศรษฐกิจส่วนตัว และส่วนรวม ก่อปัญหาครอบครัว สังคม และสุขภาพ แต่นักเศรษฐกิจอวิชชา ก็มองตื้นๆ ว่า เงินทอง ไม่รั่วไหลไปไหน ดูดจากคนจน คนจ่าย ไปเข้ากระเป๋าใครบ้าง คือว่าดีทั้งนั้น

เมื่อมุ่งเอาแต่เม็ดเงินเพื่อบางคนเท่านั้น มันก็น่าส่งเสริมอบายมุขจงเจริญทั่วไท ยิ่งได้อัครสถาน พนัน บันเทิงครบวงจร คงต้องนับถือฝีมือผู้นำกล้าทำนรกขุมใหม่ ให้เป็นสวรรค์ของผีพนัน น้อยใหญ่ อีกทางเลือกหนึ่ง ทุนนิยมช่างต้มตุ๋น คนเป็นเหยื่อเหลือร้ายจริงๆ อย่าบอกใคร

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗-