เวทีความคิด - เสฏฐชน - ความหวังดีที่เลือนลาง

หนังสือพิมพ์ "ข่าวสด" ฉบับวันที่ ๑๐ พ.ย.๒๕๔๖ ลงข่าวถึงกิจกรรม สำนักกิจการสตรี และ สถาบันครอบครัว กระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย (พม.) ที่จัดงานเสนอ โครงการ รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก และสตรี โดยมี นายนรศักดิ์ รัตนเวโรจน์ หรือจอห์น นูโว กับ พลพล พลกองเส็ง นางเมทิน พงษ์เวช (ผอ.สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ) นางสาว จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ (ส.ส.ปาตีลิสต์ พรรคชาติพัฒนา) เป็นผู้ร่วมทำกิจกรรม ด้วยอาศัยข้อมูล จากช่วงปีที่ผ่านมาว่า ทุกหน่วยงาน เริ่มชำเลืองมองปัญหา การกระทำ ความรุนแรง ที่ผู้หญิง ได้รับจากเพศชาย มาโดยตลอด แม้หญิงชราอายุ ๙๑ ปี ก็มิวายถูกข่มขืน กระทำชำเรา หน่วยงานเหล่านี้ จึงดำริที่จะช่วยผลักดัน ให้เกิดความเป็นธรรม กับผู้หญิง ด้วยการขอให้แก้ไข ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๗๗ รวมถึงการช่วยขยาย ความช่วยเหลือ ของศูนย์ ช่วยเหลือผู้หญิงด้วย เพราะเรื่องนี้ หากไม่ได้รับ ความเห็นใจ ความร่วมมือจากผู้ชาย ก็คงจะไปไม่รอด

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีก็คงจะใช่อีกแหละ เพราะเป็นอุบัติการที่บ่งบอกถึง ความเสื่อมต่ำ ของศีลธรรมที่เพิ่มสูงขึ้น แสดงถึงความถดถอย ทางจริยธรรมของคน ในสังคม มากขึ้น ยืนยันความจริงนี้ ได้จากข่าวแต่ละวัน จนแทบจะหาความปลอดภัย แทบจะหา ที่ยืนอยู่อาศัย ได้อย่างมั่นคงทางจิตใจ สำหรับผู้หญิงได้ยากยิ่งขึ้น ไม่จำเพาะ แต่กรณีเด็ก เยาวชนหญิงสาว ถูกหลอกลวง ไปขายประเวณี หรือตลาดค้าประเวณี ที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ในประเทศ ไปจนกระทั่ง ข้ามถึงต่างประเทศ แล้วยังมี จำพวกที่เต็มใจ เป็นพ่อเล้า แม่เล้า นางเล้าด้วยตัวเองอีก นักศึกษาหาเงินนอกเวลาเรียน นักศึกษา เนื้อสดพิเศษ สำหรับคนพิเศษ (ที่พร้อมจะจ่ายค่าตอบแทน ราคาสูงมาก) มีอยู่ดาษดื่น เพื่อสนอง ตัณหา ของผู้ยังประสงค์ จะเสพเมถุนธรรมทุกระดับ ราคาตั้งแต่หลักสิบ หลักพัน หลักหมื่น หลักแสน ไล่ไปจนกระทั่ง หลักล้าน บางครั้งเพียงเพื่อมีเรื่องมาคุยเขื่องโม้ทับคนอื่นว่า ตัวเองเป็น คนฟันก่อน ฟันคนเดียว ฟันคนแรกให้ลำพองคะนองใจ ฮึกเหิม คิดว่าเป็น ความสามารถ ความเก่งความดีเด่น อะไรปานนั้น โดยไม่คำนึงถึง "ศีลธรรม" ไม่คำนึงความรู้สึกจิตใจ สินค้าเหล่านั้นเลย แม้แต่ ผู้เสนอสินค้า ก็ใช่จะดิบดีอะไร ไปกว่าผู้ซื้อ ยกเว้นเสียแต่ เขาจะขโมยสินค้า ด้วยการใช้แรง เข้าข่มขืน ใช้อำนาจ เข้าบังคับ หรือ ใช้เงื่อนไขอื่นๆ ที่รู้อยู่ว่า เป็นการล้มทับ เป็นการฉวยโอกาส เป็นการบีบคั้น เพราะเหยื่อไม่มีทาง ที่เลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว จะด้วยเหตุผลทางการเงิน หรือการเรียน เพื่อต้องการได้ปัจจัยกลาง ของการแลกปลี่ยนไปเท่านั้น จึงไม่ต้องคิด ให้มากเกินไป มิฉะนั้นจะเกิดความละอาย ทำไม่ได้ จนกลายเป็นกำแพง ปิดกั้น โอกาสของ ตัวเอง ซึ่งในชีวิตคนเรานั้นกลัวนักหนาที่จะหาไม่ได้ หรือมีเพียงครั้งเดียว โดยเฉพาะ รูปโฉม โนมพรรณที่สุดหล่อ สุดสวย อันตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน ที่ต้องเดินทางไปสู่ ความเหี่ยว ความแห้งความอับเฉา ฉะนั้น ผู้มิจฉาทิฏฐิ จึงมีความเห็นว่า ในขณะที่ร่างกาย ยังแข็งแรง ยังสดสวยอยู่ ก็ควรรีบใช้ ๆ มันไปให้มากที่สุด โดยไม่ต้องคิดให้ลังเล เสียเวลาว่า เอาไปทำอะไร สมควรหรือไม่ คุ้มกันหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง

เพศชายนั้น ย่อมเป็นผู้ประมาทในเรื่องนี้อยู่แล้ว จนกลายเป็นค่านิยมที่ส่วนใหญ่ไม่อาจ ปฏิเสธ ความเจ้าชู้ ความมักมาก ในเมถุนธรรม เพราะถือว่า เป็นความรู้สึกธรรมชาติ ธรรมดา หากใคร ไม่มีอย่างนั้นๆ เสียอีก เป็นความผิดปกติ ผิดธรรมดา ทุกชาติจึงยอมยก ให้ผู้ชายเป็นใหญ่ ในเรื่องนี้ สามารถมีผู้หญิง ได้หลายๆ คน หาใช่จำเพาะแต่คนเท่านั้น สัตว์โลกอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน สัตว์ตัวผู้ จะแวดล้อมไปด้วย สัตว์ตัวเมีย ที่คอยเป็นบริวาร เป็นผู้รับใช้ เป็นผู้สนองตัณหา ถ้าผู้หญิงจะหึงหวงก็จะถูกมองว่า จิตใจคับแคบ เพียงแค่ได้รับ การยอมรับ ให้อยู่ในฐานะเบอร์ ๑ ก็สุดยอดแล้ว มิหนำซ้ำยังต้องมีคุณลักษณะ พิเศษ ในการหาผู้หญิงอื่น มาบำรุงบำเรอสามีด้วยก็ยิ่งเป็นยอดภรรยา ความยินยอมนี้ จิตใจเยี่ยงนี้ เขาไม่ได้คิดว่า เป็นการทำผิดศีล เป็นการทำให้เกิดความคลอนแคลนในสถาบันครอบครัว เป็นการเพิ่ม ส่งเสริมนิสัย ความมักมาก ให้แก่เพศชาย จนกลายเป็น เรื่องปกติธรรมดา ที่ผู้หญิง จะต้องยอมรับ ฐานะภรรยาหลวง และผู้หญิง ก็ต้องทำใจยินดี รู้สึกภาคภูมิใจตำแหน่งนั้น ให้ดูประหนึ่งว่า ตัวเองเป็นนางพญา ที่แวดล้อมด้วย นางบริวาร เขาไม่ได้คิดเลยว่า ความทุกข์อันมหาศาล มาจากการไม่ยอมปรับเปลี่ยน แนวคิด หรือ เปลี่ยนแปลงนิสัย ในการบริโภคกาม จะตะครุบตัวเขาไว้อย่างเหนียวแน่น จนกระทั่ง วินาทีสุดท้าย ของชีวิต ก็ไม่มีใคร มาช่วยปลดเปลื้อง เครื่องพันธนาการ ออกจากตัวเขาได้

น่าสงสารที่ผู้ชายผู้มากไปด้วยผู้หญิง จะต้องมาเสียเวลาชีวิตไปกับเรื่องพวกนี้ ทั้ง ๆ ที่มีโอกาส จะทำอะไรดีๆ อีกมากมายหลายๆ อย่าง และบางคน กว่าจะหลับตาตายได้ ก็ต้องทนทำใจ เพื่อให้ ปล่อยวาง ออกจากร่าง ก่อนลมหายใจจะขาดด้วยความยากลำบาก เพราะลูกๆ จากหลายๆ แม่ก็ทะเลาะ อยู่หน้าเตียง ผู้ป่วยนั่นแหละ เพราะเป็นวินาทีสุดท้ายแล้ว ที่ใครจะต้องฉกชิง

ผู้สัมภาษณ์สอบถาม หาข้อมูลจากหลายวิธี ได้รับคำตอบเหมือนกันว่า การจะให้ผู้ชายถือศีลข้อ 3 ให้มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่นอกกาย ไม่นอกใจผู้หญิงนั้น ยากกว่ายากนัก แม้จะมีโรคเอดส์ เกิดขึ้นมา เตือนสติ บอกถึงภัยจากตัวเองมากขึ้น แต่ผู้ชายที่ละเมิดศีลข้อ ๓ โดยเฉพาะ คือ ละเมิดต่อร่างกาย จิตใจผู้หญิง โดยที่เขาไม่ยินยอม ละเมิดผู้หญิงที่ประเพณีปกป้องไว้ ละเมิดลูกสาว หลานสาว พี่สาว น้องสาวของคนอื่น หรือแม้ผู้หญิงในศาสนา ก็มิวาย จะเศร้าหมอง เกิดข่าวคาวแปดเปื้อนขึ้นบ่อย ๆ ร้ายสุด ๆ ไปจนถึงขั้นพ่อข่มขืนลูกสาวเอง ไม่มีเศษเหลือ ของพื้นที่ในแผ่นดินสวรรค์ ที่จะรองรับ คนประเภทนี้

ชีวิตประจำวันของผู้หญิงจึงไม่ต่างจากการกำลังเดินอยู่บนเส้นด้าย เมื่อฝ่ายชายไม่ยอมบังคับ ตัวเอง ไม่ยอมวางกติกา ในการครองชีวิตของตัวเอง ยังถือว่า การได้มอง การได้ฟัง การได้แตะต้องสัมผัส เป็นกำไร ของตัวเอง ภัยผู้หญิงคงน่ากลัวกว่าเสือ น่ากลัวกว่าช้าง น่ากลัวกว่างูมีพิษ หรือ สัตว์ที่ว่าร้ายกว่านั้น จนเกิดสมญานามเพศชายอีกคำหนึ่งว่า "พรานล่าเนื้อ (สด)" ไม่ยกเว้นกรณีพิพาทเป็นความทางกฎหมาย ผู้หญิงก็ต้องรับ ความอับอาย อยู่ฝ่ายเดียว ทั้งๆ� ที่ผู้หญิงเป็นเหยื่อเป็นฝ่ายถูกกระทำ ดังกรณี ทนายจำเลย ถามค้าน ผู้เสียหายในศาล ก็มีเชิงทำให้ผู้หญิง ต้องโดนข่มขืน ทางวาจา แววตาสีหน้า การวิพากษ์วิจารณ์ ซ้ำอีกหลายรอบ จนทำให้ผู้หญิงบางคน ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องชะตากรรมทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า หาใช่ชะตา จากที่ไหน ก็มาจากผู้ชายนั่นแหละเป็นสำคัญ แต่คร้านจะโต้เถียง ค้านแย้งต่อ ความยาว สาวความยืด ให้นัวเนีย ยุ่งเหยิงใหญ่โตไปอีก

กรณีผู้กระทำเป็นครู เป็นเจ้านาย เป็นผู้สูงศักดิ์กว่า ยิ่งหมดหนทางที่จะเรียกร้อง ความเป็นธรรม เพราะสังคม มักจะตราหน้า ผู้ถูกกระทำว่า เป็นฝ่ายให้ท่า เป็นคนผิดตั้งแต่เริ่มเรื่องกันแล้ว ฉะนั้น เรื่องทำนองนี้ จึงเกิดขึ้นบ่อย เกิดขึ้นจนก่อความชินชา ไม่อาจอาศัยมา "ปลุกสำนึกดี" ของผู้ชาย คนใดอีก ปัญหานี้จึงต้องจำยอมให้เป็นปัญหาเฉพาะตัว ที่เจ้าของเรื่อง ระหว่างสองคน ต้องคิดหาทาง แก้ปัญหากันเอง

เพราะสังคมบางเหล่าถือว่า ยามก่อปัญหาก็ไม่มีคนอื่นที่สอง ที่สามไปรับรู้ เป็นการก่อขึ้น ของคนสองคน ฉะนั้น เมื่อเกิดความขัดแย้งกัน ก็ควรเป็น ความรับผิดชอบ ของคนสองคน นั่นแหละ ไม่เป็นการดีเลย ที่จะแพร่หลาย ขยายความให้ไปถึงคนอื่นๆ รอบด้าน ให้ร้อนหู ร้อนใจไปด้วย เช่น กรณีนักกีฬาชาย คนดัง กับนักร้องหญิงคนเด่น จะควงคู่กันหรือจะแยกคู่กัน ก็พลอยทำให้ชาวบ้าน เขาต้องเป็นกระบอกเสียง ทะเลาะ เชียร์ฝ่ายกันด้วย ไม่มีใครมองเห็นว่า ปัญหานี้เกิดขึ้น จากความไม่สำรวมตัว ของหญิงชาย เป็นปฐมเหตุ

หากสังคมจะกำหนดค่า กำหนดความผิดถูกในพฤติกรรมของชายหญิง เรื่องนี้ทุกสถาบัน ควรจะร่วมมือกัน ตั้งแต่ต้นทาง เริ่มจาก สถาบันครอบครัว ควรดูแลบุตรชาย บุตรสาวให้ดี ๆ โดยพ่อ และแม่ต้องเป็น แบบอย่างที่ดีด้วย ไม่เป็นพ่อแม่ที่มากครัว หลายบ้าน เพื่อเป็น ตัวอย่างที่ดี ให้แก่ลูกและลูกๆ จะไม่ใจแตก ใจร้าว เอาแบบอย่างด้วยการยกเหตุผล เพื่อการเสพ ส่ำส่อนว่าขาดความอบอุ่นและลูกๆ ทุกคนทั้ง หญิงชาย ก็ต้องฝึกเป็นสุภาพบุรุษสุภาพสตรี ให้เกียรติ ให้การยกย่อง ระหว่างกัน ไม่ใช่พี่ชาย น้องชาย มักมองเห็นพี่สาว น้องสาวเป็นสมาชิก ชั้นสอง ภายในบ้านสถานที่ทำงาน ต้องไม่ลำเอียง เลือกปฏิบัติ ให้งาน กำหนดค่าแรง แก่ทั้งสองเพศเหลื่อมล้ำกัน ทั้ง ๆ ที่บางทีผู้หญิง อาจจะทำได้มากกว่า เก่งกว่า แต่ผลตอบแทน ก็สูงกว่าได้ในรูปเป็นเชิง "บุญ" นั่นแหละ มากกว่าเป็นปัจจัยเลี้ยงชีวิต แม้ในเชิงบุญ ก็ยังมี ขีดเขต กำหนดความต่างกันอีกว่า เป็นเพศต่ำกว่า มีโอกาสหลุดพ้นได้น้อยกว่า หรือบางแห่ง ก็โมเมว่า ไม่มีทาง เอาเสียเลยด้วยซ้ำ ในด้านกฎหมายที่ออกมาบังคับใช้ หรือคุ้มครอง ทรัพย์สมบัติ หรือ เพื่อความอยู่ผาสุก ของคนทั้งสองเพศ ต้องไม่เห็นแก่เพศ ที่ตนพอใจ มากกว่าความจริง ที่เกิดขึ้นว่า ใครควรได้รับ ความเห็นใจ ใครควรได้รับการช่วยเหลือ ใครถูกทำร้าย มากกว่ากัน ใครมีน้อยกว่ากัน ไม่ควรถือโอกาส ฉกฉวยในยามมีโอกาส ที่ส่งผลให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบ หรือต้องตกอยู่ ในฐานะ จำยอม ตามคำตัดสิน คือ ความเห็นอันไม่ชอบมาพากลจากสังคมตั้งแต่แรกเกิดมาต่างเพศกันแล้ว หากแก้ไขปัญหา ตรงนี้ไม่ได้ ก็คงจะหวัง เรื่องอื่นๆ ยากมากทีเดียว

ตั้งข้อสังเกตได้จากยามเกิดเรื่องผู้หญิงถูกทำร้าย รังแก ถูกวิ่งราว ถูกช่วงชิงของมีค่า จนกระทั่ง ถูกข่มเหง ร่างกาย ถูกเอาเปรียบแรงกาย ในขณะดำรงชีวิต แต่ละวัน ตามถนนหนทาง สะพาน ข้ามฝั่ง ตามสถานที่ รับประทานอาหาร ตามที่พักรอนแรม หรือตามท้องทุ่งไร่นา ล้วนสรุปได้ หลังจากผู้หญิงคนนั้น กลายเป็นศพ ไปแล้วส่วนใหญ่ และมักมาจากผู้ชายคนสนิท คนใกล้ตัว ที่มีโอกาสกระทำการได้รุนแรงได้ง่าย เพียงการตบตี ก็บอบช้ำเทียบกันไม่ติด ผู้หญิงอาจ จะพูดมาก พูดได้หยาบนานาสารพัด แต่สุดท้าย ปากที่พูดได้นั้น ก็กลายเป็นพูดไม่ได้ไปอีกนาน หรือไม่มีโอกาส พูดอีกเลยด้วยมีด ปืนกระสุนนัดเดียว หรืออาจทารุณกรรมยิ่งกว่าฆ่าสัตว์ เพราะถูกประทุษกรรมอย่างโหดเหี้ยมทารุณ เพราะผู้หญิง ไม่สนอง ความต้องการ ตามอารมณ์ ที่เขาปูแนวทางไว้ แม้เกิดกรณีฟ้องร้อง ตำรวจ ทนาย อัยการ ผู้พิพากษา ก็มิวาย ที่ผู้หญิงคนนั้น จะรอดจาก การถูกกระทำ ในเชิงเดียวกันนี้ คือการถูกกระหน่ำว่าเป็นตัวยุ่งยาก ตัวอ่อนแอ ตัวมากเรื่อง ฯลฯ

แม้จะมีผู้หญิงในสภา พยายามทำหน้าที่เป็นตัวแทนผู้หญิง เพื่อหาความเป็นธรรม ให้แก่เพศเดียวกัน ก็ต้องฝ่ากำแพง อันหนาทึบของเพศเดียวกัน หรือ ต่างเพศปิดกั้น วิพากษ์ วิจารณ์ จนผู้คิดจะทำความดีนั้น หมดกำลังใจ เพียงเพราะอ่อนไหวต่อเสียงสะท้อนที่ขัดแย้ง เพราะขัดผลประโยชน์ ขัดใจ ขัดความนิยม ขัดรสชาติ ฯลฯ ที่เคยกำหนดไว้เป็นมาตรา ปฏิบัติร่วมกัน มานมนานแล้ว จนหาต้นตอไม่พบ หาตัวการ คนแรกไม่ได้ เป็นอุปสรรค ทำให้การทำงาน เพื่อช่วยคลี่คลาย ผ่อนหนักเป็นเบา ในกรณีผู้หญิงเหล่านั้น ต้องตกอันดับ หรือพับแนวคิด สลายโครงการ ไปโดยปริยาย

ฉะนั้นเมื่อเกิดโครงการรณรงค์ฯ เพื่อแก้ภาพลักษณ์คืนให้ไปสู่ความมนุษย์ที่ประเสริฐ ด้วยกัน กล้าออกมายืนยัน ปรากฏตัว ดังที่ข่าวสด นำมาลงนั้น ก็นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ท้าทาย ผู้ชายคนอื่นๆ อีกมากมายไม่น้อยเลย ว่าความเป็น สุภาพบุรุษ ที่ตายไป จะได้กลับชาติ มาเกิดอีกหรือไม่? นับว่าเป็นเรื่องที่สังคมควรสนใจ และ ควรติดตามลุ้นไม่น้อย

เพราะทุกวันนี้สังคมก็เดือดร้อนมากเกินต้องการแล้ว ผู้มีลูกสาว หลานสาว น้องสาวพี่สาว ฯลฯ รวมถึง องค์กรที่เป็นที่รวมของสาว ๆจำนวนมาก ที่มีน้ำใจ คิดหาทางแก้ปัญหาในเรื่องนี้ก็มีอยู่ ทั้งที่เปิดเผย และ อยู่เบื้องหลัง แต่ก็ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร แม้โครงการดังกล่าว หรือ สมาชิก วุฒิสภา หญิงบางคน พยายาม จับงานชิ้นนี้อยู่ ก็คาดคะเนผลไม่ได้เท่ากับความยุ่งยาก ขวากหนาม รอบด้านที่ดูเหมือน จะมีมากกว่า

ทั้งๆ ที่คำสอนในศาสนาพุทธก็มีกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า "บ้านเมืองใดที่มีคนทำร้ายรังแก เบียดเบียน สตรี ผู้หญิงมาก บ้านเมืองนั้น จะมีแต่เดินทาง ไปสู่ความหายนะ" ศีลข้อที่ ๑ ข้อที่ ๒ ข้อที่ ๓ ข้อที่ ๔ ข้อที่ ๕ รวมความไปที่เรื่องนี้หมด หากพิจารณาให้ดี ๆ เพราะการทำร้ายจิตใจ ทำร้ายร่างกาย เหยื่อกาม ย่อมผิดศีล ข้อ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ ชัด ๆ เจน ๆ อยู่แล้ว ส่วนข้อ ๓ กับข้อ ๕ เป็นข้อพลอยข้างเคียง จะไม่ขยายความ ให้ซ้ำซาก ขอปล่อยให้ผู้อ่านได้ใช้สติปัญญาตัวเองบ้าง

ตราบใดที่คน ไม่สำรวมในกาม ไม่ตั้งเจตนาละเว้นในกาม ไม่ให้เกียรติรักษาความเป็น สุภาพบุรุษ สุภาพสตรี ไว้กับตนๆ ให้ดีๆ ให้งามๆ ให้สมศักดิ์ศรี ของความเป็นมนุษย์ ปล่อยปละ ละเลย ประมาทคิด เห็นผิดว่า การได้เปรียบในเรื่องนี้เป็นความเก่ง เป็นความสามารถ เป็นเชิงชาย โครงการรณรงค์ฯ ของกลุ่ม หน่วยงานดังกล่าว ก็คงจะต้องทำงานหนัก อีกนานแสนนาน และคนดี ๆ ก็คงจะหมดหวัง ในความหวังดี ที่มีต่อคน ทั้งสองเพศเช่นกัน เพราะที่ว่าฟ้ากับดินนั้นห่างไกลกันเหลือแสน ก็ไม่อาจ เปรียบความห่างไกล ระหว่างสุจริตชน กับทุจริตชนได้ฉะนั้นแล


 

โลกภราดร

ถ้าโลกนี้มีแต่มือที่โอบเอื้อ
รินน้ำใจไหลกว้างเกื้อแผ่ไพศาล
อยู่ร่วมกันฉันพี่น้องอย่างเบิกบาน
โลกนี้คงสุขสราญสุดพรรณนา

ถ้าต้องการให้ความฝันนั้นเป็นจริง
ต้องรีบทิ้งจิตวิญญาณพาลโทสา
สร้างดวงจิตให้เลิศล้ำธรรมเมตตา
โลกภราดาจะอุบัติตามสัจจริง
(จุดไฟศรัทธาท่ามกลางทุกข์ ๏ ครองขวัญ ๏)

-เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗-