ผมฝันเรื่อง "ความเงียบ"
บทความพิเศษ : ศิวกานท์ ปทุมสูติ

๐๓.๕๑ น. ของวันจันทร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ความฝันปลุกผมให้ตื่นขึ้นเขียนบทความนี้
ผมฝันว่า ผมไปยังสถานที่ที่ไม่เคยไปที่ไหนสักแห่ง ผมได้พบกับท่านพลตรีจำลอง ศรีเมือง และ ญาติธรรม ประมาณสี่ห้าท่าน นั่งอยู่บนเตียงไม้ขนาดใหญ่ ใต้ถุนอาคารไม้หลังหนึ่ง ผมยกมือไหว้ และทักทายท่านพลตรีจำลองว่า "สวัสดีครับคุณลุง" ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่ พร้อมกันราวกับ ซ้อนเสียง และซ้อนกิริยา อาการนั้น ท่านพลตรีจำลอง ก็ยกมือไหว้และ ทักทายผมว่า "สวัสดีครับ อาจารย์ศิวกานท์" แวบหนึ่งในความฝันขณะนั้น ทำให้ผมรู้สึก นึกนิยม ท่านพลตรีจำลอง ในเรื่อง ความมีอัชฌาสัยไมตรี กับบุคคลไม่เลือก ชั้นวรรณะ อย่างเสมอต้นเสมอปลายยิ่งนัก แต่ไม่ทันที่ผม จะคิดอะไร ได้มากกว่านั้น ท่านก็เอ่ยกับผม อย่างคุ้นเคย ด้วยถ้อยทีของความรู้จัก แบบเมธีอาวุโส ที่ให้เกียรติกวีผู้น้อยว่า "ไหนลองกล่าวถ้อยคำ ที่อัศจรรย์สักคำสิ อาจารย์ศิวกานท์" ท่านจบคำด้วย รอยยิ้มเอ็นดู และคาดหวัง ผมยิ้มนอบน้อมขณะเดินเข้าไปหา แล้วตอบท่านไปว่า "ไม่มีอะไรอัศจรรย์ เท่าความเงียบครับ" ท่านพลตรีจำลอง ฟังแล้วยิ้ม อย่างมีปรัศนีบนใบหน้าถามว่า "ความเงียบ อัศจรรย์อย่างไรหรือ ไหนลองขยายความสิ" ท่านยิ้มให้อีก พลางผายมือ เชิญผมนั่งร่วมเตียงไม้ ขนาดใหญ่ตัวนั้น ผมนั่งลงแล้วก็ตอบขยายความท่านต่อว่า "ความเงียบช่วยทำให้เรา ได้ยินเสียง ต่างๆ ชัดเจนดี ความเงียบช่วยให้เรา อยู่กับธรรมชาติ ได้สนิทชิดเชื้อมากขึ้น ความเงียบช่วย ทำให้เรา เข้าถึงสภาวะอะไรบางอย่างได้ลึกซึ้งดีที่สุด ความเงียบ..." ผมจำไม่ได้ว่า ผมตอบว่า อย่างไร อีกบางประโยค แล้วผมก็รู้สึกตัวตื่น


ผม รู้สึกว่านี่เป็นความฝันที่อัศจรรย์ของผมด้วย ผมลุกจากเตียงนอนทันที ผมคิดได้ อีกประโยค ต่อมาว่า ก็ความเงียบ ในภาวะจิตของผมนั่นเอง ที่เกื้อกูลความฝัน ดังกล่าวแก่ผม

ลมเย็นๆ พัดโชยชื่นมาจากนอกหน้าต่าง ผมมองสวนทางลมออกไป สุมทุมพุ่มไม้ ใต้แสงจันทร์แรม สงบสงัด บรรยากาศ ของบ้านสวน "ทุ่งสักอาศรม" ยามนี้ช่วยเสริมอารมณ์ ของความเงียบให้รู้สึก มีพลัง อย่างประหลาด

เสียงระฆังจากวัดฟากทุ่งดังแว่วมา ใช่สิ มิใช่แต่ผมเท่านั้นที่ตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาของ ความเงียบ สงบนี้ ผมเงี่ยหูฟังเสียงสวดมนต์ ที่แว่วลอยลมมา ครู่ขณะหนึ่ง และแล้ว เสียงนั้นก็ถูกแทรก ด้วยเสียง ไก่ขัน ตามมาด้วยเสียงนกดุเหว่า...

ขณะเขียนเรื่องนี้บนจอคอมพิวเตอร์ ผมคิดต่ออีกว่า หรือความเงียบเหงาของเจ้าสมองกล ดลใจให้ผมตื่นขึ้นมาทำงานกับมัน ในท่ามกลาง ความเงียบของยามค่อนรุ่ง ผมแว่วๆ คำพูดของมันในห้วงคำนึงของผม เป็นเชิงตักเตือนว่า "เวลาค่อนรุ่ง นี่แหละ ที่เป็นเวลา ที่ดีที่สุด ของคนเขียนหนังสือ มันเงียบดี สมาธิก็นิ่งดี อีกทั้งจินตนาการ ก็เดินทางได้ไกล และบรรเจิดกว่าเวลาใดๆ นักเขียนหลาย คนก็ชอบใช้เวลา ช่วงเช้ามืดนี้นี่แหละ ในการทำงาน อันมีค่าของเขา"

สำหรับผมแม้จะไม่ได้ใช้เวลาในช่วงนี้อย่างสม่ำเสมอนัก ก็ได้เคยใช้อยู่บ้าง จำได้ว่าครั้งหนึ่ง เคยได้บทกวีชื่อ "กวี" จากยามค่อนรุ่งเช่นนี้ บทกวีนั้น กังวานขึ้นในความเงียบ ของเช้ามืด คืนหนึ่งปี ๒๕๓๒ มีเนื้อในใจความดังต่อไปนี้

กวี
ตื่นก่อนการเวกแก้ว หากิน
จุดประทีปหทัยกวิน สว่างไว้
นั่งเขียนกวีริน รักร่ำ รักเฮย
คำเพราะเสาะยาไส้ มนุษย์ซ้องเสพสม
ลมหายใจหนึ่งน้อย ปรารถนา
เป็นเพื่อนชีวิตครา ครู่บ้าง
หล่อเลี้ยงสุปัญญา ชะลอโลก
อวยโศลกรักสล้าง แหล่งพื้นภูมิกวี
กรองมณีนฤมิตแม้น ทอไหม
มัดหมี่ฝันอำไพ พร่างแพร้ว
ตีนจกอุทกไหล อุดมคติ
ย้อมจิตวิญญาณแก้ว นุ่งฟ้าห่มดิน
ถวิลเทวษล้าน ล้านขวัญ หล้าเอย
ปอป่านสมานฉันท์ ชีพเกื้อ
ผูกกี่ตะกอวรรณ- ศิลป์เกียรติ-ยศนา
กระทบกระแทกเนื้อ นุ่มน้ำมือถนอม
หลอมหฤทัยทุกข์ท้อ ทั้งมวล
เม็ดเหงื่อทุกเม็ดควร ค่าล้ำ
น้ำตาไร่นาสวน บริสุทธิ์ ใสแฮ
เสริมสัจธรรมค้ำ ค่าฟ้าดินสมัย
ดับไฟในโลกด้วย กวิคา-ถาเฮย
น้ำพจน์ทุกบทบา- รเมศถ้อย
ทอถักอักษราพา สันติภาพ
เพื่อโลกอีกร้อยร้อย กัปเรื้องรมณีย์
หวังกวีอมตะห้อม ห่มใจ
คราวเหน็บหนาวโลมไอ อุ่นหล้า
ผิว์ร้อนผ่อนเย็นไผท ทวยทวีป
ยังชีพและเชิดหน้า พี่น้องมนุษยชน

ถ้าความเงียบของรัตติกาลยามค่อนรุ่งช่วยให้บทกวีนี้เป็นสะพานสานเสียงของความรู้สึกดีๆ ที่เพื่อนมนุษย์มีต่อกัน ไปสู่และไปเสริม ภาวะความเงียบสงบงาม ในจิตใจของกันและกัน ได้ทั่วถ้วน ก็คงจะดีไม่น้อย เพื่อเราจะได้ใช้ห้วงเวลาแห่งความเงียบนี้ คิดคำนึงถึง การอยู่ร่วมกัน อย่างมีจินตนาการอันสวยงาม หยุดเสียง ทะเลาะเบาะแว้งลงบ้าง หยุดเสียงปืน เสียงระเบิด และเสียงศัสตราวุธ ที่ประหัตประหารกันลงก่อน แล้วเรา จะได้ยินเสียง หัวใจของเราเต้น คล้ายๆ กัน ซึ่งมันเป็นเสียงเต้น ที่ปรารถนาการดำรงอยู่ มิใช่ทำลายล้าง

ความฝันของผมจะเป็นความจริงบ้างไหมหนอ

ท่านพลตรีจำลอง ศรีเมือง คงมีคำตอบในส่วนของท่านอยู่เหมือนกัน แต่สำหรับ หัวใจของผู้คน ในโลก อันแสนอึกทึกใบนี้ เขาจะเคยเดินผ่านความฝัน ที่ผมว่า กันบ้างหรือเปล่า -ผมไม่รู้

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๗ มิถุนายน ๒๕๔๗ -