ดอยกองมู-ขึ้นและลง เพื่อลดน้ำหนักตน
- ฆีฎา -


"
บ่ายแดดแรงกระจ่างสวยใส
ส่องสะท้อนน้ำใสใสสะท้อน
หนองจองคำเหลือบเคลือบพรายไฟ
ฝูงปลาเล็กใหญ่วูบไหว
ใต้น้ำอ่อนไกวผิวน้ำไหววง


ใต้ร่มเงาศาลาพักร้อนพักผ่อน
ซ่อนซ้อนยื่นซ้อนเงื้อมบังเงา
เงาหมู่แมกไม้เงาศาลาเงาปลา
เงาจองกลางจองคำตระการตา
หางนกยูงใหญ่แดงฉานดั่งเลือดฉาน"

ยามบ่ายในฤดูร้อนแล้งสุดโหดร้ายเช่นปีนี้ ที่พึ่งพิงพึ่งพาคงจะเป็นร่มเงาบังแดดร้อนจ้าเท่านั้น เพิ่งพ้นเที่ยงวัน กลางเวียงสามหมอกหรือเวียงสามดอกสามฤดูดอกไม้ในอดีต ก็มาได้อาศัยร่มเงาของศาลา รูปแบบรูปทรง อัตตลักษณ์ไตที่สร้างยื่นลอยเข้าไปในหนองจองคำ หนองจองคำหนองน้ำกลางเวียงสามหมอกแห่งนี้ เป็นต้นน้ำของลำน้ำแม่ฮ่องสอนที่ไหลไปลงน้ำปายและสาละวิน เป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนดั้งเดิม ของเวียงสามหมอกแห่งนี้ด้วย ภายหลังการย้ายมาจากบ้านปางหมู มีประวัติศาสตร์เป็นของตนเอง การที่ได้มานั่งบังเงาหลบแดดคลายร้อนนั้น ทำให้ทบทวนอะไร ได้มากมายพร้อมทั้งคิดอะไรไปข้างหน้า ได้อีกมากด้วย

"
ฝ'นกลางแดดกล้า
ทายท้ากล้าหาญนัก
น้อยนิดบดบังเงาที่พำนัก
กลับตระหนักถึงโลกกว้างทางข้างหน้า


ข้างนอกนั่นน่ะแดดแรงร้อนจ้า
แค่มองฝ่าสายตาพร่าระยับ
วูบวาบราวมืดดับ
ตรงที่นั่งแลข้างในเย็นยิ่ง"

ทันทีทันใดฉุกคิดได้เลยว่าต้องเดินทางขึ้นภูดอย จะไม่ท้อถอยย่อท้อแม้แต่น้อย แม้แดดแรงกล้าร้อนจัด ยามบ่ายเช่นนี้ หันหน้าไปทางทิศเหนือแล้วแหงนขึ้นไปที่ "พระธาตุดอยกองมู" แล้วลุกขึ้นตัดสินใจก้าวเดินทันที ออกจากศาลาพักร้อนเดินตามทางเดินลัดเลาะสู่ดอยกองมู ไปที่เชิงดอยไปที่วัดก่ำก่อวัดพระนอนวัดมวยต่อ จากนั้นเดินทางตามบันไดขึ้นดอยกองมูที่ทำไว้ ค่อยๆ ชันขึ้นเรื่อยๆ ทีละน้อย วกไปวนมาลัดเลาะไปตาม แนวป่า เป็นป่าโปร่ง โล่งแสงแดดส่องถึงตลอด ฤดูแล้งใบไม้ร่วง หาร่มเงาแทบไม่ได้เลย มีที่พักบ้างนานๆ จะมีสักที่ แดดรุนแรงแต่แรงใจกำหนดไว้แรงกว่า ยามพักระหว่างเหนื่อยหนักสุดๆ เสียเหงื่อมากๆ พักเพื่อให้ หัวใจเต้นช้าลง พักเพื่อป้องกันผิวหนังเกรียมไหม้มาก และให้น้ำเหงื่อแห้งด้วย ทำให้รู้สึกดีมาก สดใส สดชื่นขึ้น ที่พร้อมที่จะเดินทางขึ้นที่สูงอีกต่อไปได้

"
ระหว่างพักกายพักใจ
ต้นไม้ว่างเปล่า
ใบไม้สีน้ำตาลหล่นเกลื่อน
ระเกะระกะทางเดิน
แต่ไม่รกหัวใจเลย


ต้นไม้ต้นหนึ่ง
ศพวิศวกรชาวญี่ปุ่นแขวนคอศพหนึ่ง
บัดนี้ไม่เหลืออะไร
เป็นเพียงตำนานเล่าขาน
ความรักคนไตคนญี่ปุ่น"

ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายสะบัดแข้งสะบัดขา ออกก้าวเดินทางต่อไป ระยะทางต่อจากนี้ยิ่งมีความลาดชัน มากยิ่งขึ้น หน้าแหงนพบเห็นแต่ท้องฟ้าเลยทีเดียว การก้าวเท้าแต่ละครั้งนอกจากต้องยกน้ำหนักตนเองแล้ว ยังต้องฝืนแรงโน้มถ่วงของโลกด้วย นับเป็นการเดินทางที่กินแรงมาก ต้องค่อยๆ ก้าวอย่างมั่นคงทีละก้าว ไปอย่างเชื่องช้ากว่าช่วงแรกๆ ยิ่งใกล้จะถึงยอดดอยกองมูแทบหมดแรง เหนื่อยใจแทบจะขาดเลย ต้องอดกลั้น อดทนถึงที่สุด และแล้วก็มาถึงยอดดอยกองมู อยู่บนลานอันเป็นที่ตั้งของ "พระธาตุกองมู" นั่งพักบนม้านั่ง หินขัด ใต้ต้นแสนฉัตรอย่างหมดเรี่ยวแรง

"
อ่อนระโหยโรยแรง
แข้งขาหมดกำลังงาน
แดดกล้าและหนทางที่ผ่าน
สะท้านสะท้อนสภาพร่างกาย


ด้วยหัวจิตและหัวใจ
วิญญานำพาให้ขึ้นมา
หนทางแดดกล้าไม่ใช่ปัญหา
ภูผาภูดอยพิชิตได้


พักเงียบสักงีบหายเหนื่อย
ลมภูเขาเอื่อยเฉื่อยฉ่ำชื่น
รำลึกอดีตแล้วใจชื้น
กองมูธาตุอีกสนฉัตร


เทียนธูปทองช่อดอกไม้
นบพระรัตนตรัยไหว้พระธาตุ
จิตใจผ่องใสสะอาด
ตั้งจิตปรารถนาหนึ่งนัย"

บูชาพระไตรรัตน์ไหว้พระธาตุดอยกองมูเสร็จแล้ว เดินมานั่งพักที่ศาลาริมดอยด้านที่ทำไว้ให้ชมทิวทัศน์ ตัวเวียงสามดอก เวียงสามดอกในฤดูร้อนแล้งอย่างนี้ ปกคลุมไปด้วยควันมัวหม่นคลุ้ง เพราะตัวเวียง มีภูเขาสูงล้อมรอบด้าน แล้วมีไฟป่าลุกไหม้ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่โชคดีหน่อยที่ยามบ่ายเช่นนี้ แดดร้อนจัด มีลมร้อนพัดก็กระจายย้ายที่ไปพอมองเห็นตัวเวียงได้ชัดเจนบ้างบางช่วงเวลา เวียงในหุบเขา โอบล้อมน่ารักน่าชัง แต่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากแล้ว ตึกสูงๆสมัยใหม่มากมาย กำลังกลบปิดบัง อาคารเดิมหมดสิ้น วัดหรือจองหลบเข้าไปอยู่ในหลืบซอกลึก ต้นไม้สีเขียวเหลือน้อยซอกลึก ต้นไม้สีเขียว เหลือน้อยสนามบินสีเทาดำทะมึนสอดแทรกอยู่กลางเวียง วัฒนธรรมไตกำลังหายสูญไป

"
เก่าใหม่แปลกแยกปลอมปน
ค้นหาค้นหายคนหาย
เหลือแต่ชีวิตสับสนวุ่นวาย
ต้นไม้ตายคนตาย
วันนี้เขาค้าขายร่ำรวยเงินทอง


สามฤดูดอกไม้ภูเขาสวมกอด
ฮ่องสอนพร่ำสอนไม่หวั่นไม่หนาว
มีจองมีฟ้อนวัฒนธรรมยั่งยืนยาว
กินข้าวเจ้ากินถั่วเน่า
เราคือคนไต-คนไท"

พักผ่อนบนดอยกองมูจนสบายดี มีเรี่ยวแรงคืนที่พร้อมเดินทางลงดอย ยกมือไหว้ลาพระธาตุดอยกองมู
ก่อนมุ่งตรงช่องทางลงแวะลั่นระฆังสามครั้งตามตั้งใจตั้งจิต จึงออกเดินทางลงจากดอย ซึ่งขาลง จะง่ายกว่าขาขึ้นมาก ต้องคอยยั้งตัวไม่ให้ลื่นล้มและใช้เวลาน้อยกว่าขาขึ้น มาหยุดยืนหน้าวัดพระนอน ไม่ได้เข้าไปเพียงแต่ยกมือขึ้นไหว้กำหนดจิตใจไปที่พระนอนคู่เวียงที่อยู่ในจองวิหาร ก็รู้สึกสบายใจเข้าใจมาก ไปแวะวัดกำก่อ (บุนนาก) นั่งใต้ต้นก่ำก่อ/ก้ำก่อพอหายเหนื่อยอีกครั้ง จึงเดินทางต่อไปถึงศาลาที่เดิม ริมหนองจองคำ ก็เวลาบ่ายจัดมากแล้ว ดูน้ำในหนองมีริ้วคลื่นบ้างเล็กน้อยนานๆ ที เพราะหมู่ฝูงปลาวิ่งไล่กัน ดูเงาของจองกลางและจองคำในน้ำ แล้วร่นเข้ามาใกล้ที่เงาของศาลาในหนองน้ำหนองจองคำ เงาของพนัก ม้านั่ง กึ่งระเบียงมีเงาของเราอยู่ด้วย

"
ตัวเราเงาของเรา
ตัวเราตนของเรา
เงาติดตามเรา
ตนติดตามเรา
มีเงามีตน


ฝ่าแดดกล้าด้นระยะทาง
เหนื่อยและหนักแบกตัวตน
ใคร่ครวญค้นขนเดินลงมา
นำพาเงาและตนไปทุกที่
ความจริงว่างวางได้ทุกที่"