สำเริง มีทรัพย์ หมอชาวบ้าน

ลีลาชีวิตที่แปลกแตกต่างจากผู้คนในสังคม
เดินทางอย่างมีจุดหมาย
ด้วยความชัดเจนในอุดมการณ์
ทำอย่างไรให้เกิดคุณค่าทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น
เป็นอีกสีสันชีวิตที่ชวนติดตาม

ชื่อ นายสำเริง มีทรัพย์
เกิด จังหวัด มุกดาหาร
อายุ ๓๒ ปี
สถานภาพ โสด
การศึกษา
: วิทยาศาสตร์ สุขภาพ สาขาสาธารณสุข
: วิทยาศาสตร์ สุขภาพสาขาบริหารสาธารณสุข จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช
การทำงาน
ปี ๓๖ ได้รับรางวัลเจ้าหน้าที่ดีเด่นของโรงพยาบาลหว้านใหญ่
ปี ๔๓ ได้รับรางวัลข้าราชการสาธารณสุขดีเด่น จ.มุกดาหาร
ปี ๔๓ ได้รับรางวัลครุฑทองจาก นายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร
ออกเทป ๔ ม้วน ชุด ฟื้นไทย,มันอยู่ที่ใจ,ทาสแผ่นดิน, และรวมร้องเพลงในชุด จงดิ้นให้แร้งดูเถิด
วิทยากรเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษแห่งประเทศไทย (คกร.)
วิทยากรด้านการป้องกันยาเสพติด จังหวัด มุกดาหาร
ครูฝึกแพทย์แผนไทย
ศึกษาแพทย์ทางเลือกจากประเทศไต้หวันและมาเลเซีย
ปัจจุบัน
ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข



*** พ่อแม่ของผม
ฐานะครอบครัวปานกลางค่อนข้างยากจน แต่คนอื่นๆ จะมองว่ามีฐานะดี เพราะพ่อเป็นครู และเป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจ ส่งพี่ส่งน้อง ส่งใครๆ เรียนหมด ผมมีความรู้สึกว่า คนทั้งหมู่บ้าน จะเคารพพ่อมาก เวลามีปัญหาคนนั้นทะเลาะกับคนนี้ เขาก็มาให้พ่อตัดสินคดี พ่อก็จะไกล่เกลี่ย ด้วยความใจเย็น ส่วนแม่เป็นคนขยัน มุมานะ ทำอะไร ทำจริงจัง ทำทน ใครไม่ทำก็ช่าง ฉันทำเอง

*** ตัวผมเอง
เป็นคนจริงจัง ทำอะไรมุ่งมั่นแต่ก็เชื่อฟังพ่อแม่ครูอาจารย์ ครูว่าอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เวลาที่ผม ดูโทรทัศน์ เห็นตัวร้าย ผมจะเกลียดมาก ตั้งใจไว้เลยว่าเราจะต้องไม่เป็นตัวร้าย จะไม่เบียดเบียน ทำร้ายคนอื่น มีใจสงสารคนที่ถูกทำร้ายมาก เป็นเด็กที่ค่อนข้างเรียบร้อยจนเพื่อนๆ เลือกให้เป็น ประธานนักเรียน ความที่เป็นคนทำอะไรก็ทุ่มเท ทำให้ผมเป็นคนที่มีความกระจ่างชัด มีทักษะ ในทุกเรื่อง ที่อยากทำ เช่น เรื่องเรียนก็สอบได้คะแนนติดอันดับ ๑ ใน ๑๐ ตั้งแต่มัธยมต้น ถึง มัธยมปลาย เล่นตะกร้อผมก็เล่นจริงจัง ผมติดทีมนักกีฬาสาธารณสุขของจังหวัดด้วย ผมเล่นกีตาร์ เป็นนักร้อง และชอบร้องเพลงเพื่อชีวิต เพราะรู้สึกว่ามีเนื้อหาสาระ ผมชอบคนกล้าหาญ ที่เขากล้า เสนอความจริงในสังคม เช่น เพลงเมดอินไทยแลนด์, นิยมไทย, อเมริกา-อเมริโกยคนจนผู้ยิ่งใหญ่ ลูกหิน ลูกแก้ว ชอบประโยคที่ว่า "เรียนไปเถิด ถึงลูกจะเรียนโรงเรียนวัด พ่อไม่มีเงินยัดลูกเรียน โรงเรียนดีๆ"

*** ความใฝ่ฝันที่สวนทางกับความจริง
ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำงานโรงพยาบาลเพราะรู้สึกกลัวเชื้อโรคมาก ผมอยากเป็นทหาร มีค่านิยมว่า เป็นทหารแล้วโก้ อวดสาวๆ ได้ ผมสอบได้ทหารอากาศ แต่ตอนรายงานตัวผมไปไม่ทันเลยอดเรียน และมาสอบติดสาธารณสุข เลยต้องทำงานรักษาคน อาจเป็นเพราะวัยเด็กเราซึมซับมาตลอดว่า พ่อนอกจากเป็นครูแล้ว ยังเป็นหมอสมุนไพรด้วย พ่อรักษาช่วยชีวิตผู้อื่นให้เราเห็นอยู่เสมอ เราเคยเห็น คนถูกงูกัดซึ่งทางโรงพยาบาลรักษาไม่หาย บางคนอาการปางตาย แต่มาหาพ่อ แล้วหาย โดยพ่อใช้สมุนไพรรักษา

พอเรียนจบผมรับราชการที่โรงพยาบาลหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร อยู่ฝ่ายส่งเสริมสุขภาพ ผมทำ โครงการเรื่องเด็กขาดสารอาหาร เรื่องยาเสพติด บุหรี่ ทำกับชาวบ้านเป็นส่วนใหญ่ ทำไปทั้งที่ไม่มี งบประมาณ แต่เห็นว่าโครงการนี้มีประโยชน์ ก็ตั้งใจมุมานะทำ ในปีแรกผมก็ได้รับคัดเลือก เป็น ข้าราชการดีเด่น ของโรงพยาบาลเมื่อปี ๓๖ ทำไปสักพักเห็นคนเจ็บป่วยจากโรคมะเร็ง เบาหวาน ความดัน หลายโรคที่เรื้อรังรักษาไม่หาย หรือแม้แต่ไม่ใช่โรคเรื้อรัง เช่น โรคกระเพาะอาหาร ก็รักษาไม่หาย

ผมเริ่มสนใจเรื่องเส้นเอ็น เรื่องแพทย์แผนไทย โดยเริ่มบุกเบิกโครงการแพทย์แผนไทยขึ้น ในโรงพยาบาล หว้านใหญ่ เพราะเห็นว่าชาวบ้านน่าจะพึ่งตนเองได้ ผมเชิญหมอพื้นบ้าน ไปเป็นวิทยากร อบรม อ.ส.ม. สาธารณสุข เราก็ถือโอกาสเรียนด้วย ผมทำหลายๆ เรื่องในด้าน แพทย์แผนไทย เริ่มจากเรื่องนวดและการใช้ยาสมุนไพร ทำให้ได้พื้นฐานตรงนั้น จึงเริ่มเห็นทางออก ของสุขภาพ

ต่อมาคุณหมอเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ ได้เข้ามาส่งเสริมให้ทำโครงการนี้ต่อเนื่อง จนมีโรงอบสมุนไพร ที่โรงพยาบาล ผมส่งน้องในฝ่ายฯ มาอบรมเป็นครูฝึกแพทย์แผนไทยแล้วกลับไปทำงาน รวมทั้งส่ง เจ้าหน้าที่ที่เป็นคนงานมาฝึกนวดฝ่าเท้าเพื่อกลับไปบริการชุมชน ตรงนี้เป็นการเริ่มต้นของงานต่างๆ

*** พบต้นเหตุของโรค
จากจุดที่ทำเรื่องบุหรี่ ผมมีโอกาสมาดูงานที่โรงพยาบาลมิชชั่น คอร์สเลิกบุหรี่ ๕ วัน ได้แนวคิด กลับไปประยุกต์ใช้ ได้ผลดีเพิ่มขึ้นช่วยให้คนเลิกสูบบุหรี่ ทำให้สุขภาพดีขึ้น ทำให้มีโอกาสเสนอ ผลงาน ให้จังหวัดอื่นรับรู้ ผมจึงได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรตามที่ต่างๆทำไปเรื่อยๆ ก็เจอความเครียด จากคน ที่เคยเข้าคอร์สเลิกสูบบุหรี่ได้แล้วก็หันกลับไปสูบอีก ส่วนใหญ่เขาบอกว่า เพราะความเครียด ต้องใช้บุหรี่คลายเครียด

ต่อมาผมก็เริ่มค้นหาสาเหตุว่าความเครียดเกิดจากอะไร ค้นไปค้นมาพบว่า ความเครียดเกิดจาก กิเลสนี่เอง ก็ตรวจตัวเองว่ามีไหม เพราะเราก็เครียดเหมือนกัน ผมเริ่มเห็นความจริงว่า กิเลสทำให้ เครียด ทำให้ทุกข์

*** ค้นพบสัจธรรมชีวิต
เริ่มสนใจอ่านหนังสือธรรมะ อ่านหมดทั้งของท่านพุทธทาส หลวงปู่เทสก์ อาจารย์ชา และธรรมะ ของชาวอโศก เข้าใจเหตุของความเครียดว่ามาจากตัวโกรธ ตัวโลภ ตัวหลงโลกธรรม อยากให้เขา คิดเหมือนเรา อยากรวย อยากได้โน่นได้นี่ หลงดี ยึดดี อยากให้คนอื่นได้ดี ไม่อยากให้เขามาว่าเรา อยากให้คนเคารพสรรเสริญ อยากได้ ๒ ขั้นแม้ได้ ๒ ขั้นมาก็ทุกข์เพราะต้องแก่งแย่งกัน ตอนได้มา ก็สุขนิดหน่อยแล้วก็ทุกข์อีกเพราะอยากอวด เมื่อเริ่มเข้าใจธรรมะก็รู้สึกถึงความเครียดที่ลดลง เริ่มมี ความสุขมากขึ้น

ปี ๒๕๔๐ คุณสัญชัย ตุลาบดี ข้าราชการสาธารณสุข จังหวัดมุกดาหาร เห็นว่าผมทำโครงการ แก้ปัญหา ความยากจน เด็กขาดสารอาหาร เรื่องการมีอยู่มีกิน ยาเสพติด ท่านก็สนับสนุนงบให้ และ ชวนไปงานอบรมธรรมที่ศีรษะอโศก จังหวัดศรีสะเกษ บอกว่าที่นั่นมีโครงการอบรมจริยธรรม มีกสิกรรมไร้สารพิษ ซึ่งผมชอบอยู่แล้ว และกำลังหาความรู้เพิ่มเติม

ก่อนหน้านั้น ผมเคยไปดูงานของพ่อผาย พ่อคำเดื่อง พ่อสุทธินันท์ ที่บุรีรัมย์ ซึ่งเขาก็นำศาสนา เข้ามาแก้ปัญหา พาลดละอบายมุขเหมือนกัน ก็เริ่มชัดขึ้น เราก็เคยพาชาวบ้านทำ เคยคิดว่า เราเป็น นักพัฒนาที่เก่ง เราแน่ พาคนให้มีกินมีอยู่ พาให้เด็กไม่ขาดสารอาหาร พาคนเลิกอบายมุข เหล้า บุหรี่ มีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งความจริงเมื่อเขาเลิกแล้วก็น่าจะจบปัญหาเสียที แต่มันไม่ใช่ อย่างนั้น พอเขามีฐานะดีขึ้น เขาก็ลืมตัวหันกลับไปหาเหล้าบุหรี่ การพนัน หวย การเที่ยวเตร่ต่างๆ เราเคยคิดว่า การมีรายได้จะแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง แต่แล้วก็รู้ว่าความจริงมันยังไม่ใช่

*** ศีรษะอโศกผ่าทางตัน
เมื่อไปถึงศีรษะอโศก ได้พบในสิ่งที่ไม่เคยพบ คนเป็นพันๆ แต่ไม่มีใครกินเหล้า สูบบุหรี่ ไม่มีใคร ด่าว่ากัน ทำไมคนที่นี่เขาสงบ ใส่ชุดหม้อห้อมกันแทบทุกคน ผู้หญิงนุ่งผ้าถุง หลายคนมีการศึกษา สูง เป็นหมอบ้าง เป็นครูบ้าง เป็นพยาบาลบ้าง แต่งตัวเป็นชาวบ้านเหมือนกันหมดเลย ต่างก็ไม่ ถือเนื้อถือตัว ผมรู้สึกประหลาดใจมาก พวกเขามีวิชาอะไรก็ถ่ายทอดให้หมด ไม่ว่าจะเป็นวิชา เพาะเห็ด ทำจุลินทรีย์ ทำปุ๋ย ทำกสิกรรมไร้สารพิษ เขาถ่ายทอดอย่างไม่ปิดบังเลย ไปจุดไหน เขาก็ต้อนรับ อย่างดี เราทึ่งมาก ถ้าคิดเป็นค่าวิชา แต่ละวิชาคงแพงมาก แต่พวกเขาเสียสละ ให้โดย ไม่รับค่าตอบแทนใดๆ

ที่นี่ได้เห็นคนมีน้ำใจ มีศีล ลดละอบายมุข เราได้พบทางออกว่า สังคมอย่างนี้มันใช่เลย เป็นสังคม ที่เราค้นหา ที่เรากำลังตันๆ อยู่ ต้องอย่างนี้แหละจึงจะแก้ปัญหาได้

*** มังสวิรัติ ธรรมาวุธหมายเลข ๑
ก่อนหน้านี้เคยลองทำบ้าง ผมศึกษาอยู่ ๒ ประเด็น เรื่องสุขภาพกับเรื่องศีลธรรม เพราะในช่วงแรก ที่ผมนำความรู้ที่เรียนจบมาดูแลประชาชนที่เจ็บป่วยในโรงพยาบาล ความเจ็บป่วยก็ไม่ได้ลดลง อัตราการเจ็บป่วยยังเพิ่มมากขึ้นๆ หลายโรคก็รักษาไม่หาย หลายคนหายแล้วแต่ยังทำพฤติกรรม เหมือนเดิม ก็กลับมาเป็นโรคเก่าอีก เวียนไปเวียนมา ทำให้สงสัยว่า ที่เราเรียนมานั้น มันครบ สมบูรณ์หรือเปล่า มันช่วยคนได้จริงหรือ มีอย่างอื่นอีกไหม

ผมจึงไปเรียนแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก โดยซีกหนึ่งของแพทย์ทางเลือกคือ การกินอาหาร แมคโครไบโอติกและมังสวิรัติซึ่งได้จากโรงพยาบาลมิชชั่น และจากข้อมูลหนังสือ อาหารมังสวิรัติ เล่มหนึ่ง มีการวิจัยว่าคนกินอาหารมังสวิรัติจะมีอายุยืนกว่าคนกินเนื้อสัตว์

การศึกษาอาหารแมคโครไบโอติก เขาไม่กินเนื้อสัตว์และใช้หลักการหยินหยางรักษาคน ปรากฏว่า คนที่ได้รับการรักษาก็ดีขึ้นตามลำดับ ผมจึงนำวิธีนี้มาทดลองใช้กับคนไข้ และกินเองด้วย การศึกษา หลักธรรมชาติบำบัด ทำให้รู้ว่าเนื้อสัตว์เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

อีกส่วนหนึ่งก็คือ มีผู้ส่งหนังสือสารอโศกฉบับ "ไฟบรรลัยกัลป์" มาให้ผม กระดาษที่ห่อหนังสือ มีข้อความ ที่ทำให้ผมสะดุดใจอย่างมากว่า "คุณมีความเมตตากับผู้คน กับสัตว์เพื่อนร่วมโลก แต่ปากคุณ ยังเคี้ยวกลืนชีวิตของผู้อื่นอยู่ คุณมีเมตตาจริงหรือเปล่า" เราก็สะดุ้ง เราคิดว่า เรามี เมตตา แต่ยังกินหมู กินเป็ดไก่ กินวัวควาย ซึ่งผมก็ยังซื้อเนื้อวัวมากินเกือบทุกอาทิตย์ เพราะเป็นทั้ง นักดนตรี นักกีฬา เล่นไปด้วย กินเหล้าไปด้วย ตามประสาคนหนุ่ม

*** ใครๆ ก็ว่าผมเปลี่ยนไปเป็นคนบ้า
ผมกินอาหารมังสวิรัติตั้งแต่นั้น โดยไม่มีความคลางแคลงสงสัย เป็นเส้นทางที่เราค้นหา เคยฟังเพลง ที่เขาสอนให้รักสัตว์ พูดถึงสัตว์มีความรักผูกพันต่อกัน แต่คนไปจับพรากมา ทำร้าย แล้วนำมากิน สัตว์ก็เสียใจ เขาก็บอกพอซะทีเถอะนะ เราก็ว่าใช่ ๆ ๆ ตามมาด้วยความเปลี่ยนแปลง จากหน้ามือเป็นหลังมือ ที่เคยเด่นเป็นทั้งนักกีฬาเซปักตะกร้อ นักดนตรีเด่นของโรงพยาบาล กินเหล้า ก็เด่น บุหรี่ไม่เคยสูบ กินเหล้าแล้วสนุก มันครึ้มใจ กินแล้วหน้าด้านดี ร้องรำทำเพลง มีความสุข ตอนนั้นไม่คิดว่ารบกวนเพื่อนฝูง ยังคิดว่าทีมพยาบาลทั้งหมดน่าจะมาสนุก มาตีกลอง ร้องเพลงกับเรา เราไม่เข้าใจ เราไม่รู้ พอกลับจากงานอบรมธรรมคราวนั้น เราจึงเข้าใจ

ผมเปลี่ยนตัวเองอย่างรวดเร็ว เรียกว่าชาวอโศกพาฝึกอะไร ผมฝึกหมด รองเท้าไม่ใส่ ใส่ชุดม่อฮ่อม ตัดผมสั้น กินมื้อเดียว เพื่อนๆมองว่าผมเป็นบ้าแล้ว บอกชาวบ้านอย่าเข้ามาใกล้ และพยายาม ให้ผมทำเหมือนเดิม ในช่วงแรกผมก็ยังเล่นดนตรีกับเพื่อนอยู่ แต่ไม่กินเหล้าแล้ว เล่นไม่นานก็เบื่อ เพราะเมื่อไม่มีอะไรย้อมใจ ก็พบความจริง รู้สึกปวดเอว ปวดหลัง ไม่กินเหล้าเล่นดนตรีก็ไม่อร่อย ใครว่าบ้า แต่เรามีความสุข ยิ้มเหมือนติดกัญชา เพราะรู้ว่าเรามีทางรอดให้ชีวิต รู้วิธีช่วยคน และ สังคม จากความเครียดซึ่งแต่ก่อนผมก็เครียดเพราะเป็นคนจริงจัง เห็นใครทำไม่ดี ไม่ถูกต้อง จะจัดการทันที เป็นสายยึดดี ปากร้าย พูดตรงๆ ไม่กลัวใคร จึงมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ คนที่รัก คุณธรรม ก็จะชอบเรา คนที่มีผลประโยชน์ก็จะไม่ชอบ

สิ่งสำคัญนอกจากการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในตัวผม คือ ผมทำงานได้ดีกว่าเดิม เพราะไม่ไป เสียเวลาหลงเที่ยวเตร่ทำเรื่องไร้สาระ ทำให้สมองปลอดโปร่ง ทำงานได้มาก เพราะได้เวลา ที่เคย สูญเสีย กลับคืนมา

*** ปัญญาเกิดส่องให้เห็นแสงสว่าง
ชอบเรื่องไสยศาสตร์ เล่นอยู่ยงคงกระพัน มีว่าน พ่อพาเล่น เคยลองให้เพื่อนพยาบาลฉีดยาให้ แต่ฉีดไม่เข้า ภูมิใจในของดีที่เรามี แทงไม่เข้า วันหนึ่งฟังพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์เทศน์ว่า ทุกอย่าง มีมาแต่เหตุ ซึ่งเราเป็นคนมีเหตุมีผลมาก ศาสนาพุทธเป็นหลักวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ ทำสิ่งใด ได้ผลอย่างนั้น ชัดเจน เพียงแต่จะเห็นผลช้าหรือเร็ว พูดถึงภูมิโสดาบันยิ่งกว่าสวรรคาลัย ยิ่งกว่า อธิปไตยในหล้า ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน อะไรจะมีความสุขขนาดนั้น

การปฏิบัติธรรมทำให้เกิดความคิดในเรื่องการงาน อยากออกมาอยู่ทำงานกับชาวอโศก เริ่มมี ความคิด งานที่ทำอยู่ไม่มีสาระปล่อยให้คนป่วยแทบตายแล้วมาให้เราแก้ปัญหาตรงปลายเหตุ ก็ไม่จบ สักที ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวของสาขาไหน สุดท้ายก็จะมาลงที่สุขภาพหมด ไม่ว่า จะเป็น เรื่องเศรษฐกิจ พอเครียดก็ป่วย กินอาหารที่มีพิษเป็นบาป เพราะเบียดเบียนสัตว์ ทำให้เกิด โรค กสิกรรมที่ใช้สารเคมี คนกินก็ป่วยอีก แล้วก็หาหมอ หมอก็จะพากันตาย เพราะงานหนัก และ ปัญหาก็ยังไม่ได้แก้

ผมเริ่มแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เอาธรรมะลงไปให้ชาวบ้านเช่น แนะนำคนไข้กินมังสวิรัติ พาปฏิบัติธรรม ถือศีล ๕ ละอบายมุข พยายามรณรงค์แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร ชาวบ้านไม่เข้าใจ รับไม่ได้ แม้แต่เพื่อนผมเอง ก็ยังไม่รับ มีไม่กี่คนที่รับได้ ก็มากินมังสวิรัติด้วยกัน

เมื่อมีแนวคิดแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ รู้ว่าต้องทำอะไร ก็มีอุปสรรค เนื่องจากโรงพยาบาล เป็นองค์กร ใหญ่ ทำอะไรได้ไม่มาก พอดีมีจังหวะย้าย ผมทำงานโรงพยาบาล ๕ ปี ก็ย้ายไปอยู่สถานีอนามัย คิดจะทำ โครงการช่วยชาวบ้าน ตามที่มีองค์ความรู้ซึ่งได้จากชาวอโศก การดูแลสุขภาพ แบบองค์รวม เอาครบเลย ตั้งแต่วิถีชีวิต วัฒนธรรม มีความเกื้อกูล ลงแขกช่วยเหลือกัน กินอาหาร ปลอดภัยจากสารเคมี ทำทุกเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพที่ดี เกิดผลทำให้มีคนสนใจมาดูงานมากมาย เป็นจุดเด่น ของสถานีอนามัย ที่มีแพทย์แผนไทย แพทย์ทางเลือก และสะสมภูมิปัญญาในหลายๆ ด้านเข้ามา

*** ประสบการณ์การแพทย์แผนไทย
เมื่อเจอทางตันจากการแพทย์แผนปัจจุบัน และพบว่าหลายๆ โรคแพทย์แผนไทย แพทย์ทางเลือก สามารถแก้ปัญหาได้รวดเร็ว เช่น เบาหวาน มะเร็ง ความดันโลหิตสูง หวัด ปวดท้อง ปวดข้อ ปวดเข่า ที่ชาวบ้านทั่วไปเป็นกันอยู่ เราพบว่ามีวัตถุดิบในพื้นที่ที่สามารถนำมาใช้ได้ ทดลองใช้จริงๆ ปรากฏว่า มีประสิทธิภาพสูง บางโรคหายขาด ยิ่งทำไปก็ยิ่งชัด การแพทย์แผนปัจจุบัน ช่วยประมาณ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ๘๐ เปอร์เซ็นต์สามารถใช้แผนไทย หรือแพทย์ทางเลือก มาช่วยได้ เต็มๆ ทำให้ชาวบ้านพึ่งตัวเองได้ มีส่วนน้อยที่ต้องใช้เทคนิคพิเศษ เช่น หาหมอเพื่อผ่าตัด เลือดออก ในสมอง เลือดคั่งในสมอง ติดเชื้อเฉียบพลัน นอกนั้นโรคอื่นๆ แพทย์แผนไทย ใช้สมุนไพร ใช้อาหารปรับธาตุ ใช้การนวด กดจุด ปรับกระดูกต่างๆ คนไข้หายขาดส่วนใหญ่ รู้สึก จะเกิดปฏิกิริยาไวกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับที่ผมเคยตรวจรักษาคนไข้และจ่ายยา ซึ่งเรารู้ว่าอีก ๒-๓ วัน ก็หาย แต่ไม่นานพวกเขาก็กลับมาอีกในอาการเดิมๆ เห็นหน้าคนไข้ก็รู้ จำได้คนนี้ เป็นโรค กระเพาะ คนนี้ปวดข้อ คนนี้ปวดหัวประจำ แต่ในการรักษาแบบแพทย์แผนไทย ผมเคยเจอผู้ป่วย ที่กระดูกทับเส้นประสาท หมอนัดผ่าตัดแล้ว แต่เขาก็หายโดยไม่ต้องผ่าตัด อีกรายกำลังเป็นหวัด เราเข้าครัว บีบมะนาวใส่แก้ว โขลกกระเทียมหัวหอมใส่ให้เขากิน ก็หายจากอาการหวัด

หลายสิ่งที่เราพึ่งตนเองได้ด้วยวิธีง่ายๆ แต่เพราะเราไม่ได้ศึกษาเรื่องการพึ่งตนเอง หลักการของ แพทย์แผนไทยส่วนใหญ่ คือการพึ่งตัวเอง อ่านตัวเองให้ออก วิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นในร่างกาย จะแก้ไขอย่างไร

*** ความในใจของผม
แม่ค่อนข้างจะหวงลูกชาย และอยากให้ผมทำงานอยู่ในระบบราชการ อยากได้ชื่อว่า มีลูก เป็นหมออยู่ มีเงินเดือน ในขณะที่ผมอยากจะออกจากราชการ มาทำงานอิสระ

ผมเคยตั้งเป้าหมายชีวิตตอนแรกว่าจะบวช แต่พอทำงานพบว่า จริงๆ แล้วอยู่ในฐานะฆราวาส ทำงานได้กว้างกว่า จึงยังไม่คิดเรื่องบวช จะขอทำงานศาสนาไปเรื่อยๆ ก่อน และเนื่องจาก ดูสถานการณ์บ้านเมือง เริ่มวิกฤตมากขึ้น ชาวบ้านต้องการความช่วยเหลือ งานที่ทำ ทำคนเดียว ไม่ได้ แต่ถ้าทำกับหมู่กลุ่มชาวอโศกจะเป็นไปได้ เพราะมีคนจริงใจ มีองค์ประกอบพร้อม ถ้าร่วมมือกัน จะทำงานช่วยชาวบ้านได้มาก ก็ตั้งจิตอยากช่วยคน อยากทำงานเสียสละ

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗ -