ฝ่ายค้าน : อาชีพเสมอตัว กับ กำไรลูกเดียว

คิดถึงใครสักคนกว่าจะสร้างอะไรสักอย่าง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี กว่าจะรวบรวมความคิด แทบจะต้อง ทุ่มเทลมหายใจทั้งเข้าทั้งออก!

สร้างสำเร็จสมใจ ฝ่ายคนดูแค่ชำเลืองแวบผ่านก็ตัดสิน "ไม่ได้ความ" "ไม่ได้เรื่อง"

กำลังใจหล่นปรู๊ดไปอยู่ที่ฝ่าเท้า!

"ทำ" กับ "พูด" เป็นกิจกรรมที่ต่างกันราวขาวกับดำ

ประดุจการชกมวยระหว่างมวยไทยกับมวยสากลเมื่อห้ามเตะ ห้ามเข่า มวยสากลจะเหลืออะไร!

นักจิตวิทยาสอนนักสอนหนา กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ ลูกหลานเด็กเล็กทำอะไรต้องให้กำลังใจ ล้มแล้วอย่าซ้ำ!

แต่พอเป็นวัยผู้ใหญ่ผิดนิดผิดหน่อยทั้งเข่า ทั้งศอกประเคนกันอุตลุด ล้มลงในทันทีที่ฝ่าเท้า ลอยมา จากทั่วสารทิศ!

สุภาษิตก็บอกไว้ว่า "ขนมเบื้องละเลงด้วยปาก" พูดน่ะง่าย ทำซิยากฉิบหาย!

ทำงานจนได้ดี ต้องเป็นฝ่ายค้าน การชี้จุดบกพร่องมีแต่กำไรกับกำไร ไม่ต้องทำ ใช้ถ้อยคำบดขยี้

สัจธรรมการเมืองจึงเป็นวัฏสงสาร เป็นฝ่ายรัฐบาลพอสมควร ก็ต้องเปลี่ยนวาระ ให้ฝ่ายค้าน มาบริหาร

มันพูดดี มันพูดถูกต้อง!

แต่ประชาชนก็ลืมความจริงไปอย่างหนึ่งว่า ในความถูกต้อง ยังขึ้นกับกาลเทศะ และข้อเท็จจริง ต่างๆ

พรรคฝ่ายค้านเมื่อก้าวขึ้นใหญ่โตเป็นฝ่ายบริหารก็มักจะใบ้รับประทาน

สมัครเป็นผู้ว่า ฯ กทม. มีโครงการสารพัด สัญญากับประชาคมเป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง แต่เมื่อเสวย อำนาจกลับเงียบเป็นป่าสาก ขยิบตายิบๆ อย่าเอ่ยถึง ยามเข้าตาจนก็มีเหตุผลสารพัด

วันนี้สังคมชอบวิจารณ์ รัฐบาลก็ผิวบางเข้าทำนองขิงก็รา ข่าก็แรง ทุเรศพอๆ กัน!

วุฒิภาวะไม่ห่างกันมาก!

การเมืองภาคประชาชนหลายกลุ่ม ประชุมแต่ละทีรัฐบาลเหงื่อแตก โครงการที่สวยหรูถูกวิจารณ์ จนหมดสภาพ

นึกว่าเป็นเทพีที่แท้ก็โสเภณี!

"การวิจารณ์" เป็นการแสดงภูมิอัตตา มีกึ๋นขนาดไหน คนวิจารณ์เก่งได้ดี สังคมยอมรับ กราบไหว้ ก็ถมเถไป

แต่ถ้า "ลงมือ" ปฏิบัติก็ห่วยแตกไม่เป็นท่า!

วันนั้นจะมีไหม วันที่ให้พิสูจน์ฝีมือหลายๆคนโชคดี สิ่งที่พูดไปไม่มีโอกาสทำเอง!

มุมมองแต่ร้ายๆ มุมดีไม่เห็น แนวคิดเช่นนี้แท้จริงเป็นอิทธิพลจากพรรคฝ่ายค้าน

เป็นพลังขับเคลื่อน เป็นกลไกป้องกันตนเอง!

เพราะหากเห็นทั้งดี ทั้งบกพร่อง การโจมตีก็จะลดความแข็งกร้าว

การปลุกระดมจะไม่เข้าใจ จะไร้ผล!

ทำงานการเมืองอยู่ฝ่ายบริหาร จึงต้องสู้ธรรมชาติอันเป็นธรรมดาของความคิด "ฝ่ายค้าน"

เขาต้องแรง เพราะเขาเป็นแค่คนค้าน

เขาต้องแรง เพราะเขาต้องปลุกระดม

เขาต้องแรง เพราะเขามีรสชาติ สนุกดี เร้าใจ!

เมื่อเข้าใจกลไกวงจรแห่งธรรมชาติของการคัดค้าน ที่รุ่มร้อนก็จะผ่อนคลาย

ที่อุบาทว์ก็จะกลายเป็นอุเบกขา!

โทร ๓ บาท เชียร์สุดใจให้เขาเลือกตั้ง เปลืองน้ำลายไป ๑ หยด คุยได้ตลอดปี ตลอดชาติ!

แต่คนที่ไปหาเสียง เหนื่อยแทบรากแตก เสียกำลังมหาศาล!

นี่แหละความแตกต่างระหว่างคนเชียร์กับคนต่อสู้

อ้วกอีกกี่หนจึงจะถึงชัยชนะ?

ดีแต่พูดหรือพูดแต่ดี ช่างห่างกันลิบลับปราชญ์จึงไม่ดีแต่พูด ดีแต่วิจารณ์

ระหว่าง ความเป็นจริง กับ ความน่าจะเป็น บัณฑิตท่านย่อมรู้สถานการณ์

มองอย่างเข้าใจ

มองอย่างเห็นใจ

กิจกรรมทุกกิจกรรม การเคลื่อนไหวทุกท่วงท่า ย่อมมีช่องโหว่ช่องว่าง จั๊กแร้ (ภาษาพูด) ย่อมเปิดทาง ให้สมิงพระรามแทงเสียบ จนมีชื่อเสียง!

คนวิจารณ์ย่อมเหมือนบุรุษแฝงอยู่ในเงามืด

คนถูกวิจารณ์ย่อมเหมือนยืนอยู่กลางสมรภูมิ กลางแสงแดดแผดเผา

เพียงไม่กี่ประโยค ก็อาจล้มคนบางคนได้ทั้งชีวิต

เพียงไม่กี่คำ สิ่งดีงามอาจจะต้องล้มครืนต่อหน้า

มีบางอย่าง แม้ไม่ดีที่สุด แต่วันนี้ดีที่สุด!

กลางทะเลชีวิต ท่ามกลางความเวิ้งว้าง กิ่งไม้ท่อนเดียวก็ต้องขอเกาะอาศัย

เพราะเหตุนี้ เหล่าผู้ปราถนาดีจึงกลายเป็นผู้ประสงค์ร้ายโดยไม่มีเจตนาด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

อ่อนวัยในวุฒิภาวะแห่งสังคม!

ทุกเรื่องต้องวิจารณ์จนไม่เหลือซาก!

วิจารณ์อย่างคึกคะนอง กับการวิจารณ์อย่างสำรวม เนื้อหา - ถ้อยคำ - น้ำเสียง ย่อมต่างกัน

คนบางคน ชีวิตอาภัพ สวมหมวกสีดำตลอด ใครทำอะไร เขาจะเห็นแต่ข้อบกพร่อง ข้อเลวร้าย ข้อที่ต้องแก้ไข

พรรณนาแต่ความน่าจะเป็น!

"น่าจะเป็น" จึงเป็นขนมหวาน เป็นทางทำมาหากินของคนหลายๆ คน เป็นธุรกิจแห่งความคิด ในอีกมิติ... ขายฝัน ขายอนาคต!

เป็นเหาฉลามแห่งมหาสมุทร!

เป็นขนมที่ดูดี แต่กินไม่ได้!

หมวกสีดำต้องมาพร้อมหมวกสีเหลือง

ข้อบกพร่องต้องมาพร้อมกับข้อดี การเสนอข้อมูล ๒ ด้าน ย่อมฉุดสตินักคิดทั้งหลายให้รอบคอบ

อย่างไรก็ตาม คนที่อาภัพน่าสงสารกว่านั้น คือ คนที่ฟังใครเขาวิจารณ์ไม่ได

ของของข้าใครอย่าแตะ อย่าพูดในแง่ร้าย อย่าวิจารณ์เสียหาย!

เขียนถึง "ฝ่ายค้าน" กลายเป็นเรื่องคนอาภัพไปเสียนี่ แต่ก็ยังเป็นเรื่องเดียวกัน!

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๘ กรกฎาคม ๒๕๔๗ -