อนุรักษ์ พูลหนู หนุ่มหน้าทึ่ง
มองลึกเข้าไปในสังคม เด็กน้อยถูกทอดทิ้ง ว้าเหว่ จนกระด้าง สตรีถูกทำร้ายร่างกาย หัวใจปวดร้าว หนุ่มสาววัยรุ่นเป็นทาสยาเสพติด ชีวิตดุจขยะ ฯลฯ หนุ่มหนึ่งมองเห็น และไม่เพียงแต่เป็นผู้ดู หากหาญช่วยด้วยสองมือธรรมดา เพื่อให้คนเหล่านั้นพึ่งตนเองได้ และเป็นที่พึ่งของผู้อื่นต่อไป หัวใจเมื่อวัยเด็ก ตอนอยู่ ป.๕ จนกระทั่งจบ ม.ศ.๓ ผมได้เงินไปโรงเรียนวันละ ๒ บาท ผมจะแบ่งให้ ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง วันละบาททุกวัน เพราะเขาอยู่ในฐานะที่ลำบาก ผมยอมอดไม่ได้กินข้าวเที่ยง เป็นการทำที่ ไม่ได้หวังอะไร แต่เห็นเขาลำบาก เรามีส่วนที่จะช่วยเขาได้ ก็อยากจะแบ่งปันตามกำลังที่มีเท่านั้นเอง ช่วงหนึ่งของชีวิตวัยรุ่น กลายเป็นพ่อของเด็กเร่ร่อน ที่รามฯผมเห็นเด็กเร่ร่อนที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครดูแล อายุ ๘-๙ ขวบเที่ยวเดินเก็บเศษอาหารกิน รู้สึกสะเทือนใจ อยากช่วยตามกำลังที่เรามีอยู่ เข้าไปคุย แล้วเป็นจุดเริ่มต้นทำงานกับเด็กเร่ร่อน โดยใช้เงิน ที่แม่ส่งมาให้ช่วยเหลือเขา เด็กไม่ได้เร่ร่อนไปไหน พอเราเข้าคุย เขาเริ่มมีความอบอุ่น เขาอยู่กับ นักศึกษา ในซุ้มกิจกรรม กลางคืนก็นอนในรามฯด้วยกันหลายๆ คน เรียนไปด้วย ทำกิจกรรมกับ กลุ่มนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรมไปด้วย ตอนนั้นมีเด็ก ๓ คน ดูแลโดยสอนหนังสือให้ ช่วยเหลือเรื่องอาหารการกิน ที่แผง ๒๒ มีนักศึกษาขายอาหาร มังสวิรัติ ก็ให้เด็ก ไปช่วยล้างจาน แล้วกินอาหารที่นี่ เราซื้ออาหารให้เขากินบ้าง ปัญหาของเขาคือ เมื่อหนีออกจากบ้าน เด็กไม่อยากกลับบ้าน แล้วเขาจะเปลี่ยนชื่อ ไม่บอกความจริงว่าบ้านอยู่ที่ไหน จะเก็บไว้เป็นความลับ กลัวว่าจะถูกส่งกลับไปที่เดิม ตอนนั้นก็มีองค์กรที่ช่วยเหลือด้านนี้อยู่ แต่ผมคิดว่าผมสามารถจะช่วยเขาได้ จึงไม่ได้ไปขอ ความช่วยเหลือ จากที่อื่น และเด็กก็ยินดีจะอยู่กับเรา เขาเลยเรียกผมเป็นพ่อตั้งแต่นั้นมา เริ่มทำตั้งแต่ ปี ๒๕๒๗ จนกระทั่ง ผมเรียนจบ จบแล้วผมไปเป็นครูสอนเด็กชาวเขา เผ่าม้งและเผ่าเย้าที่ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย และไม่อยากเห็น ชีวิตของเด็กเร่ร่อน ๒ คนนี้อยู่ในเมือง เกรงว่าชีวิตของเขาต้องจบลงในเรื่องอาชญากรรมแน่นอน ผมเลย พาไปฝากกับเพื่อน ในจังหวะเดียวกันผมก็ไปทำงานกับ น.พ.เสม พริ้งพวงแก้ว มูลนิธิเพื่อการ พัฒนาเด็ก เกี่ยวกับเด็กที่ขาดสารอาหาร ที่ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ เริ่มสัมพันธ์กับมิชชันนารี กิจวัตรก็เหมือนกับครอบครัวทั่วๆ ไป ตื่นเช้าขึ้นมาก็ช่วยกันเตรียมอาหาร คนที่เข้าเกณฑ์ เรียนหนังสือ ก็ส่งไปโรงเรียน ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ผมก็สอนเอง อยู่ที่บึงกุ่ม ๒ ปี ต่อมาย้ายไปบุกเบิกที่สุโขทัย ๖ ปี ทำโครงการบ้านนกขมิ้นเหมือนกัน โดยอพยพ เด็กเร่ร่อนจากกรุงเทพฯทั้งหมด ๑๒ คนขึ้นไป เพื่อแก้ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ยั่วยวน ให้เด็กพราก ออกจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีในกรุงเทพฯ โดยอาศัยการเกษตรเป็นสื่อ ก็ทำสวนมะม่วง ปลูกผัก เลี้ยงปลา บนที่ดินประมาณ ๖๐ ไร่ มีทุนช่วยเหลือมาจากต่างประเทศ และในประเทศ เชื่อมกัน โดยจากปากต่อปาก จากคนที่มาเยี่ยมเยียน คนที่มีจิตศรัทธาในพระเจ้า เขาก็อยากมีส่วนช่วยเหลือ สร้างชุมชนเด็กด้อยโอกาส เมื่อมาอยู่ที่พัทลุงผมเริ่มรับคนใหม่เข้ามา ผมมีแนวความคิดนี้จนกระทั่งจดทะเบียน เป็นมูลนิธิใหม่ ซึ่งผมรับผิดชอบเองทั้งหมด ทั้งค่าใช้จ่าย การหาทุน เราก็เพิ่ม case ขึ้นมา เช่น เด็กเร่ร่อน เด็กหญิง ที่ถูกล่วงละเมิด หญิงที่ตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ เด็กอ่อน หญิงหม้ายชรา หรือหญิงที่ถูกกระทำ ที่มีอันตราย ทั้งต่อสภาพจิตใจและร่างกาย ที่พัทลุงก็เริ่มทำจาก ๒ คน บางคนที่เข้ามาติดยาเสพติด พอได้รับการบำบัดรักษา เขาก็อยากมีส่วน ช่วยงาน หรือบางคนเป็นหญิงที่ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก ยากที่จะเยียวยาได้ เมื่อได้รับ การรักษาให้หาย ก็อยู่ช่วยงาน ตอนนี้ก็มีทีมงานขึ้นมา ที่ดูแลอยู่ตอนนี้ มีเด็กอ่อน ๔ คน ซึ่งเกิดจากแม่ที่ตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์หรือ แม่คลอดแล้วทิ้ง เด็กเอาไว้ หญิงหม้ายชราที่ขาดคนดูแล เด็กผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิด เด็กเร่ร่อน ที่ทางเจ้าหน้าที่ ของรัฐส่งมาให้ บ้านฟื้นใจ บ้านพักสำหรับคนที่มีความทุกข์ใจ ต้องการเยียวยารักษาภายใน "ไม้อ้อช้ำแล้ว ก็จะไม่หัก ไส้ตะเกียงริบหรี่ก็จะไม่ดับ" บ้านพักใจ บ้านสำหรับเด็กผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิด หรือเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิด หรือเสี่ยงต่อ การนำไปสู่การค้าประเวณี บ้านพักใจเป็นสถานที่อุปการะเลี้ยงดู สนับสนุนทุนการศึกษา และฝึกอาชีพให้แก่เด็กหญิงเหล่านั้น บ้านอุ่นใจ บ้านพักสำหรับหญิงหม้ายชราและเด็กกำพร้า บ้านอุ่นใจแต่ละหลัง มีหญิงหม้ายชรา ๑ หรือ ๒ คน และมีเด็กกำพร้า ๓ ถึง ๔ คน โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลหนึ่งคน "นำความรักคืนแก่หญิงหม้ายชรา นำความอบอุ่นใจ ให้แก่เด็กกำพร้า" กองทุนเอื้อใจ เป็นกองทุนสนับสนุนการศึกษาให้แก่เด็กที่เรียนดี แต่ขัดสนทุนทรัพย์ ประสานกับองค์กรของรัฐ หรือกรณีที่ศาลรับคดีอย่างนี้ แต่ยังไม่มีศาลคดีเด็ก และเยาวชน และไม่ปรารถนา ที่จะตัดสินคดี แล้วส่งเด็ก ไปยังสถานพินิจ ผู้พิพากษาหรือหัวหน้าศาล ก็จะติดต่อผมไป ทำงานร่วมกัน ทางเราจะช่วยได้ไหม ฟื้นนิสัยได้ไหม อบรมได้ไหม เพื่อให้เขากลับ เข้าไปอยู่ในสังคมได้ มีกรณีหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงอายุ ๑๓ ปี ไปขโมยมอเตอร์ไซค์โดยไม่ได้ตั้งใจ ถูกแจ้งข้อหา ลักทรัพย์ เมื่อถูกฝากขัง ไม่มีใครไปประกัน ทางผู้พิพากษาก็ติดต่อให้ไปช่วย เมื่อมีโอกาส คุยกับเด็ก ก็สามารถ ช่วยได้ ประกันตัวออกมา หลังจากนั้นให้ไปเรียนสายอาชีพ เช่น ไปเรียนเสริมสวย ปัญหาและอุปสรรค ๑๕ ปีที่ทำมา ก็เห็นผลว่าเมื่อเขาได้กลับเข้าสู่สังคม ก็ประสบความสำเร็จในสังคม เด็กเร่ร่อนบางคน เมื่อเรียนจบแล้วก็เข้าไป ทำงานในบริษัท บางคนเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เราไม่มีเงื่อนไขกับทุกๆคน เพราะความรักไม่มีเงื่อนไข แต่เมื่อกลับเข้าสู่สังคม เขาก็กลับมา ตอบแทน แรงบันดาลใจ มีความรักก็มีความเชื่ออยู่ในนั้น ผมมีความเชื่อว่า เมื่อดำเนินชีวิตอยู่ด้วยใจที่บริสุทธิ์ แล้วก็ทำงาน ที่บริสุทธิ์ใจในการช่วยเหลือคน ผมถือหลักว่าไม่ไปขอเงินจากใคร ยกเว้นอธิษฐาน จากพระเจ้า ตรงนี้เป็นการใช้ความเชื่อซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ ตั้งแต่ทำมาเงินจะเข้ามาทันเวลา มนุษย์มีความกระวน- กระวายใจ เป็นธรรมดา แต่ก็ละความกระวนกระวายใจนั้นไว้กับพระเจ้า พระองค์จะเป็น ผู้จัดเตรียม แล้วก็เชื่อ ในสิ่งที่พระเจ้าสัญญาเอาไว้ ว่าผู้ที่อยู่ในพระองค์ พระองค์จะไม่ให้เขาอด พระองค์จะเป็น ผู้เลี้ยงดู แต่ว่า หน้าที่ของเราคือต้องทำความดี แต่ถ้าเรา ไม่ทำก็ไม่มีใครให้เรามา เป้าหมายของโครงการ จริงๆ แล้วเป็นแรงบันดาลใจมาจากเพื่อนรุ่นน้องกลุ่มรามฯ คนหนึ่ง ซึ่งผมมีโอกาสแนะนำ ให้แนวความคิดแล้วก็ช่วยเหลือ จนกระทั่งเขาสามารถเข้าไปเรียนในระบบการศึกษา นอกโรงเรียน หลังจากนั้น นำเขามาเรียนที่รามคำแหง ช่วยเหลือจนกระทั่งเขาจบการศึกษาแล้วสอบเป็นผู้พิพากษา เด็กคนนี้ เกิดมาจากหญิงใบ้ ที่มีปัญหาตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครดูแล เพราะถือว่า เป็นเด็กเสนียดจัญไร จึงถูกเลี้ยงดูอย่างทอดทิ้ง รู้จักใส่เสื้อผ้าตอนอายุ ๑๐ ขวบ เมื่อเขาเรียนจบแล้ว เราก็มีแนวความคิด ที่จะช่วยเหลือคนอื่นต่อ โดยเฉพาะในส่วนของเด็ก ที่ตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ อุดมคติของชีวิต ผมจะทำโครงการนี้ไปตลอดชีวิต แม้ผมไม่มีชีวิตอยู่แล้ว งานจะไม่จบ เป้าหมายก็คือ จะขยายงาน ออกไปทั่วประเทศ แล้วคนที่มีแนวความคิดนี้ก็เข้ามาหลายคนแล้ว ก็มีการทำงาน ก็มีการสืบต่อแน่นอน ปัจจุบัน โครงการที่ทำคือ ให้โอกาสแก่คน เราเชื่อในการเริ่มต้นใหม่ ถึงแม้ชีวิตของเขาจะดูเหมือนไร้ค่า แต่ถ้านำเขาเข้ามา ในจุดที่เหมาะสม แล้วก็สอนสิ่งที่ดีให้ ชีวิตของเขาก็จะมีค่าได้ เป็นประโยชน์ ต่อคนอื่นได้ ปัจจุบันมีที่กรุงเทพฯ กับที่พัทลุงเท่านั้น กรุงเทพฯจส่งต่อไปยังชุมชนพันธสัญญา ส่วนบ้านนกขมิ้น ตอนนี้ก็แยกตัว มาต่างหาก รับเฉพาะเด็กเร่ร่อนในกรุงเทพฯ กรณีอื่นๆ ก็ประสานไปยังพัทลุง มีขั้นตอน ดำเนินงาน คือ ติดต่อสำนักงานก่อน เพื่อดูว่ามีที่ว่างจะรับได้ไหม ตรงประเด็นไหม ถ้าไม่ตรง เราก็แนะนำ ไปที่องค์กรอื่น เราทำงานตรงกับกรณีของเขา เมื่อเขาติดต่อเข้าไป ตอนนี้ก็รับเข้าไปอยู่แล้ว กรณีที่หนัก ที่เข้ามาอยู่ส่วนมากมาจากกรุงเทพฯ คนภาคกลางที่มีปัญหามากที่สุด ส่วนกรณีเด็กผู้หญิง ที่ครอบครัวมีปัญหา จะมาจากภาคเหนือ เงื่อนไขการอยู่บ้าน ถ้ามอบสิทธิอำนาจให้เราสอนได้ และยินดีเชื่อฟัง เราจึงจะรับ แต่ถ้าไม่ต้องการ ก็บอกเราช่วยไม่ได้ แล้วไม่มีใครช่วยเขาได้ด้วย คนที่เข้ามาอยู่ต้องร่วมมือ มีบางคนที่มาอยู่แล้วก็ไม่สามารถที่จะฝืนกับนิสัยเดิมของเขาได้ หรือวิถีชีวิตเดิม หรือตัวเก่าของเขาได้ เราก็บอก ถ้าคุณอยู่ไม่ได้คุณก็อิสระเสรีภาพที่จะเลือกเดิน แต่ถ้าอยู่กับเรา ต้องอยู่แบบนี้ แต่ถ้าต้องการที่จะมีชีวิตแบบเดิม ก็ต้องออกไปข้างนอก ก็มีเหมือนกันแต่ไม่มาก แต่ส่วนมาก จะอยู่กับเรา เหมือนที่คนป่วยต้องการหมอ เพราะฉะนั้น เมื่อเขามาถึงโรงพยาบาลแล้ว เขาก็ไม่อยาก ที่จะออกไป ถ้าไม่หาย ในชุมชนเน้นเรื่องการศึกษาด้วย เมื่อเด็กที่มีโอกาสทางการศึกษา เราก็ส่งไปโรงเรียน ตามอายุ ตามความถนัด แต่ถ้าไม่สามารถเรียนในระบบได้ ก็ต้องส่งไปเรียนนอกระบบ เช่น เรียนสายอาชีพ เรียนเสริมสวย วิถีชีวิตในชุมชน ก็มีคนมาเยี่ยมเยียนตลอด ข้าราชการหน่วยงานของรัฐ พ่อค้าประชาชนและชาวต่างประเทศ เรามีเครือข่าย ไว้กับทุกๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งภายในและต่างประเทศ บูรณาการ ถ้ามีเด็กอ่อนเข้ามา หรือถ้ามีแม่เข้ามา มันก็จะกลายสภาพเป็นบ้านที่แท้จริง คือมีทั้งคนแก่ มีทั้งเด็กอ่อน ที่อยู่ร่วมกัน แล้วมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีการดูแลกัน ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นครอบครัว เกิดความรัก ความอบอุ่น ความผูกพันขึ้นมา อยู่แบบบูรณาการ มันจะลงตัว อีกจุดหนึ่งคือ ต้องสอนคน ให้ช่วยเหลือคนอื่น เราหล่อหลอมเขาตรงนี้ ประการที่หนึ่ง ในชีวิตของเราเราต้อง สำแดงถึงความรัก ที่เรียกว่าความรักของ พระเจ้า ต้องสำแดง บางทีไม่ต้องพูด ประการที่สอง เราต้องมีการพูด มีการสอน มีการอบรม เช่นในตอนกลางคืน เกือบทุกคืน เราจะมีการประชุม แล้วก็จะคุย จะพูด ซึ่งจะทำควบคู่กันไป ประการที่สาม คนที่เข้ามาอยู่เขาก็จะได้เห็นภาพจริงๆ เช่นเมื่อเราสอน ในการสำแดง ความรักต่อคน ในการช่วยเหลือคน เป็นสิ่งที่เราต้องช่วยเราต้องทำกัน แต่ถ้าเราเพียงแค่พูด เราไม่ได้กระทำ ถามว่า เขาจะเห็นได้ ณ ที่ไหน ดังนั้น เมื่อมีคนใหม่เข้ามา เขาจะได้เห็นสิ่งที่เราพูด นี่คือสิ่งที่เราทำ ในขณะเดียวกัน ประการที่สี่ เราก็สอนให้เขาทำ มันจะกลายเป็นภาพที่บูรณาการ กฎระเบียบในครอบครัว เด็กไม่จำเป็นต้องเชื่อเหมือนกับเราก็ได้ เพราะเรื่องความเชื่อเป็นเรื่องเสรีภาพ แต่เราพยายาม จะหนุนใจ ให้เขามาฟัง เพราะไม่ใช่เพียงแค่สอนเรื่องพระคัมภีร์ แต่เราสอนเรื่องการดำเนินชีวิต การจะใช้ความคิด ในการที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ยังไง เช่น มีความคิดลบ ทำยังไงเราจะมีความคิดบวก ถ้าความคิด ของเราเป็นอย่างไร ชีวิตของเราก็เป็นอย่างนั้น ความคิดจะปั้นชีวิตขึ้นมา ชีวิตก็จะเป็นไปตามความคิด จึงต้องมารับการสอน รับแนวความคิด ในการดำเนินชีวิต ดังนั้นตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ตอนเย็น จะให้แนวความคิด ส่วนมากก็เป็นผม ก็มีผู้ช่วยด้วย อบรม ค่อนข้างจะเข้มงวดแต่ก็ไม่นาน วันเสาร์หยุด วันอาทิตย์ก็เข้าโบสถ์ บ้านก็คือโบสถ์ ไม่ต้องไปไกล อยู่ที่นั่นเลย กับครอบครัว ผมไม่มีตำแหน่ง ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากที่ไหน แต่เป็นผู้รับใช้พระเจ้า ผมเชื่อในพระเจ้า แล้วดำเนินชีวิต กับพระเจ้า มีกลุ่มคนที่รู้จักผมเป็นการส่วนตัว รู้ว่าผมมีพรสวรรค์ อะไรบ้าง เขาเชิญผมไปเทศนา ที่อังกฤษ สวิสฯ อาจจะรวมกลุ่มอยู่ในโบสถ์ของเขา หรือจะรวมกลุ่มอยู่เป็นค่าย โดยผมไปสอน ลูกของผมก็จะอยู่ร่วมกันกับเด็กพวกนี้ทั้งหมดเลย ด้วยความเป็นเด็ก บางทีลูก ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาต้อง มาแบ่งปันพ่อ แม่ กับเด็กอื่น เราก็อธิบายว่า สิ่งที่เราทำนี้ เป็นงานที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต ของเด็กเหล่านี้ ถ้าเราไม่ช่วย ใครจะช่วยเขา แล้วเขาเองก็ได้เรียนรู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่า ชีวิตของเรา ต้องมีชีวิต เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ช่วยเหลือคนอื่นต่อไปเหมือนกัน ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจ ก็เล่นด้วยกัน กับเด็กเหล่านี้ ลูกสาวก็มีส่วนช่วยดูแลเด็กอ่อน ภาพแห่งความประทับใจ ฝากสังคม เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของศาสนา แต่เป็นเรื่องการดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ยังไงเท่านั้นเอง เป็นเรื่องของ พระเยซูคริสต์ แต่คนเข้าใจเป็นเรื่อศาสนา แต่จริงๆ ไม่ใช่เรื่องศาสนา แต่เป็นเรื่องของ ชีวิตของเรา ทำยังไง ให้พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา แล้วเราเองเป็นเหมือนพระเจ้า หรือเป็นเหมือนพระเยซู โดยแท้จริงพระเจ้า หรือพระเยซู ปรารถนาให้คนทุกๆ คนเป็นเหมือนพระองค์ คนที่ทำงานกับพระเจ้า ถ้าไม่ได้บังเกิดใหม่ก็ไปอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ จุดของการเข้า สวรรค์ หรือไม่เข้าสวรรค์ จุดของการ เข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้า หรือไม่ได้เข้าไป ในแผ่นดินของพระเจ้า อยู่ในจุดของ การบังเกิดใหม่ การบังเกิดใหม่แปลว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามาปฏิสนธิ อยู่ในจิตวิญญาณ ของเราหรือเปล่า ถ้าเข้ามา เราก็จะมีสภาวะของพระเจ้า แล้วสภาวะนี้ ก็จะเติบโตขึ้น จะใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นเหมือนกับพระเยซูคริสต์ ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นคนบาป มีกิเลส แล้วเราเอง จัดการกับสิ่งนี้ ไม่ได้แล้ว มันไม่หลุด มันไม่ออกไปสักที เมื่อรู้ว่ามีพระเยซูเป็นผู้ที่เข้ามา ในโลกนี้ ในฐานะ ผู้ไถ่บาป ไม่ใช่เข้ามา ในฐานะศาสนา เมื่อความจริง ๒ อย่างนี้ เกิดขึ้น เราเองเรารู้ว่าเราเป็นคนบาป แล้วเรารู้ว่า พระเยซูคริสต์ เป็นผู้ไถ่บาป ต้องขอบคุณสันติอโศก เพราะพื้นฐานเบื้องต้นในการฝึกฝนชีวิต ผมมีโอกาสฝึกฝน ที่สันติอโศก และที่นี่ ให้ความรู้ ให้แนวคิดหลายอย่าง และมีโอกาสเรียนรู้ ในเรื่องของ ฝ่ายจิตวิญญาณ และได้มีโอกาสดูหนัง ของคริสเตียน จากที่นี่เยอะมาก
ประวัติ - เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ - |