เวทีความคิด-เสฏฐชน-
รวยโลภหรือโลภรวย

เกิดเป็นคนส่วนใหญ่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าอยากเกิดเป็นคนรวย หรืออยากรวย ก่อนที่จะตาย จากโลกนี้ไป เพราะว่าความรวยนั้นเป็นอำนาจยิ่งใหญ่ ของคนทุกยุค ทุกสมัยไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะคนรวยส่วนใหญ่ก็มาจากคนจนที่อยากมีก่อนทั้งสิ้น แล้วก็สั่งสมความมีมากขึ้นๆ จนกลายเป็น คนรวย คนที่รวยอยู่แล้ว ก็ไม่เคยทนต่อ ความน้อยลงได้สักที มักจะเอาความรวย ต่อความรวยเรื่อยไป ทั้งๆที่ความรวยนั้น ล้นฟ้า กินไปหลายชั่วคนก็ไม่หมด แต่ก็ยัง กลัวหมด อยู่ดี จึงพยายามรักษา ความรวยไว้ อย่างสุดฤทธิ์ ไม่ว่าจะรวยจากการผิดศีลธรรม ผิดกฎหมายก็ไม่ค่อย คำนึงถึง เนื่องจาก ความรวยเป็นที่มาของชื่อเสียง คำยกย่องสรรเสริญ การกล่าว ขวัญถึง และคนส่วนใหญ่ก็อยาก จะเอาอย่าง ไม่ว่าจะ ทางตีบ ทางตัน หรือทางโปร่ง ทางโล่ง ล้วนเป็นทิศทางที่คนอยากจะพิสูจน์ ไขว่คว้า เดินทางไปให้ถึงความร่ำรวย ทั้งสิ้น

คนที่เกิดมาจน จะรู้สึกด้อย และทุกข์มาก จนคิดผิดไปว่าตนเองทุกข์ที่สุด คนรวย คงไม่มีทุกข์เลย เขามองภายนอกที่ผิวเผินจากพฤติกรรมของคนมีเงินว่าสะดวกสบาย เนรมิตได้ ทุกอย่าง ประหนึ่งเป็น เจ้าชีวิตคนอีกหลายคนด้วยซ้ำ ต้องการอะไรความรวย ก็ซื้อได้หมด ตั้งแต่วัตถุสมบัติ จนกระทั่งถึงหัวใจ

มีคำกล่าวว่าเมื่อความรวยมาถึง ความรักก็บินเข้ามาทางประตู แต่เมื่อความจนมาเยือน ความรักก็หนี ออกทางหน้าต่าง กรณีหญิงสาวชายหนุ่มที่รักใคร่กันต้องการเป็น คู่ครองกัน แม้จะหยิบยกวาทะ อันน่าเห็นใจ หนักหนาว่า เรามากัดก้อนเกลือกินกัน จึงจะเรียกว่ารักกันจริงมาปลอบใจ เพื่อประคอง ความรักไว้สักปานใดก็ตาม แต่จะมีสักกี่คู่ที่ ทำได้เช่นนั้นจริงๆ

มีแต่จะเห็นว่าคู่สมรสที่ยากจน จะอาศัยความรักใคร่กันนี่แหละ ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เพื่อสร้างฐานะ ให้รวยขึ้นโดยทิศเดียว และเขาก็มักอาศัยวิธีกรรมนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ ความรักแท้ ว่าถ้ารักจริงก็ต้อง ก่อร่างสร้างตัว หาใช่จะมาตัวเปล่าเปลือยไม่ แม้จะมี นิยายรักพื้นบ้าน พ่อตาแม่ยายเปิดทาง ให้ลูกเขย ในอนาคตว่า ไม่ต้องกังวลอะไรมาก ขอแต่ให้มีมีดพร้าติดตัวมาก็พอใจแล้ว แต่ในความหมาย ที่แฝงซ้อนอยู่ก็คือ ต้องใช้ มีดพร้านั้นแหละหักร้างถางพงความจนให้หมดไป จุดหมายปลายทาง ก็คือลืมตา อ้าปากได้ มีบ้านช่อง ที่นาทำกินไม่อายชาวบ้าน วันเวลาที่ผ่านไปหลายปี ก็ยิ่งเพิ่มพูน ทรัพย์สินมากขึ้น จากนาไร่เดียวเป็นร้อยไร่ จากเงินเดือนหลักพันเป็นหลักหมื่น หลักแสน จากตำแหน่ง นายร้อย เป็นตำแหน่งนายพล ความเคลื่อนตัวของสมบัติ จะบ่งบอก ถึงความพยายาม ของการตั้ง ครอบครัวของคนทุกเหล่าชุมชนเสมอ

ฉะนั้นคนจนมักจะไม่ค่อยมีโอกาสเท่ากับคนรวย และคนรวยทำอะไรผิดพลาด มักได้รับการแก้แทน เสมอ แม้คนจนจะพยายามทำสิ่งที่ดีปานใด ก็มักถูกหมิ่นเหม่ ว่าเป็นเพราะต้องการผลประโยชน์ แอบอิงอาศัยบารมี คนรวย โดยเอาตัวเอง มาเป็น ข้ารับใช้เป็น ใบเบิกทางก่อน บรรยากาศของคน ในสังคมเงินเป็นใหญ่ ความรวย เป็นเกียรติยศชื่อเสียง จึงเต็มไปด้วยการแก่งแย่งช่วงชิง และปากกัดตีนถีบ กันและกัน ตลอดเวลา แม้ผู้นั้นจะเดินทางไปถึงความรวยดังปรารถนา แต่เขาก็ยัง รู้สึกว่า หัวใจ ยังแห้งแล้งอ้างว้าง หาคนจริงใจไม่ได้ หาเพื่อนสนิท เพื่อนตาย ได้ยาก เพราะระแวงว่า มารักเขาเพราะเขาคือเขา หรือรักเขาเพราะความรวยของเขา

คนจนที่ขยันจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หากพากเพียรทำการงานสิ่งใดแล้ว ไม่ได้ผล ตอบแทน คืนมา ตามจำนวนที่คาดคะเนหวัง จะกล่าวโทษพระพรหม พระเจ้าว่า อยุติธรรม มักมองเขม้นคนรวย อย่างคลางแคลงใจ เชิงริษยา ว่าไฉน เป็นคนด้วยกัน แต่ช่างแตกต่างกันนัก

คนจนน้อยคนที่ขยันแล้วไม่คิดจะรวยเพราะความขยันนั้น ถึงจะมีงานทำอยู่ เป็นหลักฐาน แล้วก็มิวาย ที่จะมองหาช่องทางอื่นเผื่อไว้อีก เนื่องจากไม่แน่ใจ ในความเป็น ปึกแผ่นของผลิตผลจากการงานนั้น มิหน้ำซ้ำยังอาจรู้สึกว่า ความขยัน ของคนจน ถูกตีราคาถูกกว่าคนรวยไปเสียอีก คนรวยคือคนที่ มีโอกาสดีมาแล้ว ก็ยังมีโอกาสดีอื่นๆ ต่อยอดขยายอาณาเขตขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณ กรณี เช่นนี้ จึงทำให้ คนจน คร้านที่จะขยันในบางคราว สังคมจึงเกิดหมู่กลุ่มคนจนที่ทอดธุระ ไม่คำนึงถึง การพัฒนาใดๆ อีก เพียงหาเช้ากินค่ำ จนกระทั่งหากินเดี๋ยวนี้ก็พอแล้วเพิ่มมากขึ้นทุกที จนทำให้แม้จะมีวิวัฒนาการ ด้านเทคโนโลยี ความรู้ และมีช่องทางมากหลาย ที่คน จะอาศัย เป็นเครื่องประกอบการสร้างความเป็นผู้มีความชำนาญ มีความสามารถ ด้านนั้นๆ แต่ก็ดูดาย ปล่อยเปล่า เพราะเขาคำนวณแล้วว่า เหนื่อยเปล่า หรือ ไม่คุ้มกับความเหนื่อย จึงไม่คิดยินดี ในโอกาสที่มาถึง ประเทศที่มีประชาชนในชาติ คิดเช่นนี้มากคนเมื่อไหร่ ประเทศนั้น ก็คงจะต้องนับว่า ถอยหลังแน่นอน

เพราะคนจนที่ไม่ยอมรับในความจน เพราะยังอยากรวย ยังมองหาหนทางที่จะรวย ให้ได้ แม้จะหวัง ไว้ชาติหน้า ชาติต่อไปก็ยอม ความอยากนี่แหละ ที่เป็นแรงผลักดัน ให้เขา กล้าเสี่ยงลงนรก เพียงขอรวยก่อน นรกที่รองรับอยู่เบื้องหน้า ไม่ได้ทำให้ หวาดหวั่น ท้อ หรือถอยจากจุดยืน ที่เขายึดมั่นแล้วว่า ต้องรวยให้ได้ คนจนเช่นนี้ จึงอาจเป็นคนขยันที่ มักจะหาคนจับตัว เทียบทันยาก นอนน้อย กินน้อย ใช้น้อย เก็บลูกเดียว จนอาจกลายเป็นคนตระหนี่ขี้เหนียว ตายก่อน จะรวยก็ได้ ส่วนคนจน ที่เกียจคร้าน แม้จะอยากรวยอย่างไรก็คงไม่มีทาง เพราะเขาจะใช้ความจน นั่นแหละ ไปสร้างความจนยิ่งขึ้นไป โดยการเสี่ยงโชคที่มีแต่เสียกับเสียมากกว่า

คนจนที่อยากรวยที่เพียรทำการงาน หนักเอาเบาสู้ ลำบากเพียงใดไม่ถอย จึงมีช่องทาง เป็นคนรวย ระดับเศรษฐีได้ตามๆ กัน ดังประวัติของเจ้าสัว มหาเศรษฐีในเมืองไทย หลายตระกูลแซ่ เป็นตัวยืนยันอยู่แล้ว

คนจนที่ไม่หวั่นไหวในความรวย ไม่รู้สึกว่าความจนเป็นความด้อย ความจนเป็น ความลำบาก ความจนเป็นเรื่องน่าดูหมิ่น ตามประสาคนจนที่คิดเช่นนี้ มีอยู่ไม่มากคน เขาจะเป็นคนจนที่รู้จัก ประมาณ ในการใช้จ่าย ขวนขวายหาหนทางในการทำกิน โดยไม่คิดถึงความรวย เพียงแต่ขอให้ มีกินอยู่ ก็พอแล้ว แต่ก็ไม่ว่างเว้นจากการทำงาน ใจไม่ได้พุ่งเพ่งในรายได้ เป็นตัวเงิน จากงานนั้น

แต่เขามีความรู้สึกใหม่ทดแทน คือความภาคภูมิในความเป็นคนดีที่ทำงาน ไม่เกี่ยงงาน มองว่า งานสร้างคน ให้เป็นคน คนที่มีนิสัยดีจะเป็นคนปลูกฝังงานดีๆ ให้เกิดขึ้น ในสังคม แม้ว่าอัตรา การแลกเปลี่ยน ระหว่างงานที่ทำกับแรงที่ลงไปนั้น จะมีช่องว่าง ห่างกันเพียงใดก็ตาม อาศัยเพียง ใจรัก ก็พอ คนชนิดนี้จึงเป็นคนที่พยุงสังคม การทำงานไว้เป็นหลัก ไม่โลภในเงิน ที่ถูกตีราคาจากงาน แต่เขาตีค่าจากงานที่ทำ จากแรงที่ลง จากใจที่ทุ่ม แม้จะได้เงินโดยปริยาย ตามประเพณียึดถือ ที่กำหนดไว้ ในสังคมแล้วก็ตาม ก็ไม่รู้สึกกระหยิ่มในการได้ตอบแทน เป็นเงินเหล่านั้น บางคน ไม่เคย จับเงินใช้เลย มีแต่คนอื่นจะลงบัญชี แจ้งตัวเลขไว้เป็นหลักฐานความมั่งคั่ง ของเขา ตามธนาคารเท่านั้น คนจนชนิดนี้ จะสนุกกับงานมากกว่า

เขาสนุกกับการทำลอง ฝึกงานเรื่อยไป เพื่อเพิ่มประสบการณ์และสมรรถนะของชีวิต แม้ได้เงิน มาตามเหตุผล ที่สมควร เขาก็จะรู้สึกว่ามากไปด้วยซ้ำ และจะนำออก แจกจ่ายให้คนอื่นๆ ที่มีน้อยกว่า ทานบารมีของเขา จะเพิ่มอัตราส่วนตามปริมาณ ของรายได้ และผลงาน เขาจึงมีความสุข กับการได้ให้ กับการได้ทาน กับการเฉลี่ย แจกจ่ายให้คนอื่นๆ ได้ร่วมมีร่วมใช้ด้วย

ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับคนรวยที่หลงความรวย คนที่เกิดมารวยแต่เกิด เพราะ พ่อแม่ เป็นคนทำให้รวย ถ้าคนรวยคนนั้นจะคิดว่าก็ฉันทำบุญมา ก็มีย่อมมีสิทธิ์ ที่จะได้รับผลเช่นนี้ คนที่เกิดมา ไม่เหมือนฉัน ก็เพราะก่อเหตุไม่เหมือนฉัน ก็ยุติธรรม ดีแล้ว ที่ไม่ควรมาร้องโวยวาย หรือริษยา คนรวยกว่า เพราะคนรวยคนนั้น เขาหลง ความรวย ว่าความรวยเป็นเรื่องดี และหลงว่าเขาดีเหลือหลาย ซ้อนเชิงอยู่กับ ความคิดนั้นด้วย เขาจึงไม่มีจิตสงสาร เห็นใจคนที่จนกว่า มิหนำซ้ำ อาจมองไปว่า คนจนน่ะแหละ คือคนที่ต้องมาบริการคนรวย เพราะคนจนทำไม่ดีไว้ ก็ต้องรับผล ของความไม่ดี ตามกติกา ลิขิตแห่งกรรม เขาไม่ได้ใจจืดใจดำ แต่เขารู้แจ้งแทงทะลุ ถึงสัจธรรมต่างหาก คนรวย ขี้โลภเช่นนี้ จึงโลภทุกอย่างที่ขวางหน้า ทั้งๆ ที่มีมาก จนล้นเหลือแล้ว ก็มิวายที่จะนำไปต่อ เพิ่มปริมาณ ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก จนในใจของเขา อาจลุกลามไปถึงว่า จะเกิดมาเสวยความรวยอีก จึงคิดทำทาน เพื่อขอให้รวย ยิ่งกว่า ที่รวยอยู่แล้ว จึงโลภ แม้แต่ความอยากรวย ไม่ได้โลภเฉพาะ ความรวย ความมากวัตถุ ข้าวของเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้จนแรงงาน จนปัญญา แต่เขาจนศีลธรรม จนคุณธรรม ที่พึงนำมาฝึกหัดขัดเกลาใจตน ให้ตนเป็นคนเห็นอกเห็นใจคนอื่นที่จนกว่า และควร ให้โอกาส แก่คนจนกว่า เป็นสำคัญ คนรวยที่มีน้ำใจดีจะไม่ขี้โลภ ไม่เหยียบย่ำ คนจนกว่า ด้วยประการทั้งปวง

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงตั้งแต่สมัยไหนๆ ความคิดเห็นเชิงถือตัวถือตนว่า เรารวย เพราะ เรามีบารมี เรารวยเพราะเราทำดีมาก่อน ฉะนั้นจึงหาใช่ความผิดของคนรวย อย่างเราไม่ คนรวยที่ ไม่อวดความรวย หรือเพิ่มพูนความรวย ให้ยิ่งขึ้นต่างหาก คือ คนรวยที่วางตัวไม่เหมาะสม ไม่ว่าคนรวยคนนั้น จะอยากถือนิสัย ให้เป็นคนเลี้ยงง่าย กินง่าย แม้นั่งกินตามริมถนนก็ได้ แต่คนเขาจะไม่ยอม เพราะเขา ได้อุปโลกน์ สวมหัวโขน ให้เบ็ดเสร็จว่า คนรวยต้องกินมากใช้มาก หากคนรวยคนไหน กินน้อย ใช้น้อย เขาก็ปรามาสว่า เป็นคนบาป เพราะมีกินก็ไม่กิน มีใช้ก็ไม่ใช้ ทำตัวไม่เหมาะสม คนรวยส่วนใหญ่ จึงต้องทำตัว ให้กินมากใช้มากไว้เพื่อรักษาสถานะความรวย ที่ปรากฏ ออกสู่สายตาคนหมู่มาก ตลอดมา

ถ้าหากจะมีคนรวยสักคนที่ทำตัวมอซอ ใช้จ่ายให้แก่ตัวเองน้อย แต่นำออกทำทาน หมดตัว ก็จะถูกกล่าวโทษ จากสังคมที่หลงผิดว่า ไม่รู้จักประมาณตัว ทำเกินไป กติกาที่สังคมคนอยากรวย ขีดเส้นตายไว้เช่นนี้ จึงเป็นแรงเหนี่ยวนำให้คนรวย ไม่อาจ ก้าวพ้นล่วงความโลภ ยิ่งขึ้นได้ คนรวยส่วนใหญ่ จึงรักษาหน้าตาของตน ด้วยการ ต้องทำรวย ไว้เสมอ ทั้งๆ ที่หากจะถามกันจริงๆ ว่าคนมีมาก แต่ไม่นำออกนั่นแหละ เป็นคนที่กำลังก่อความเดือดร้อนให้สังคม ตรงกันข้ามกับคนมีมาก ที่นำออกแจกจ่าย ให้คนอื่นๆ ได้ใช้ด้วย มิหนำซ้ำยังพร้อมจะให้ฟรีๆ แก่คนทั่วไปได้ด้วย เพราะมีความคิด ว่า ชีวิตเขาเป็นต่ออยู่แล้ว จึงไม่ควรที่จะมาลังเล เฉื่อยช้าในการต่อความดี ให้ยิ่งขึ้น

เพราะถึงจะรวยอย่างไร ก็ใช่จะนำติดตัว นำกลับไปพร้อมกับความตายได้สักคน สู้นำเอาความมีนั้น มาเพาะปลูกไว้เป็นพืชผล ให้คนอื่นๆ ที่เขายังมีชีวิตอยู่ ได้อาศัย ดีกว่า คนรวยที่ไม่โลภ ในความรวย เช่นนี้ เขาคือคนรวยที่แท้จริง เพราะรวยทรัพย์สิน รวยน้ำใจควบคู่กันไป

ถ้าเราจะวิเคราะห์ให้ตรงประเด็น ให้เด่นชัดเป็นกรณีไป ก็คงไม่ยากในการนำมา วินิจฉัยว่า คนทุกคน ที่เกิดมาแม้จะมีตัณหาเป็นตัวนำเกิด แต่เมื่อเกิดมาแล้ว เราสามารถ เรียนรู้ตัณหานั้นได้ และสามารถ ทำลายตัณหานั้นได้ด้วย มิฉะนั้นแล้ว ศาสนาที่ให้ดับตัณหาก็คงไม่เกิดขึ้นในโลก เจ้าศาสดาศาสนา ที่สอนเช่นนี้ ก็มีความรวยมาก่อน แต่ท่านก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างว่า ท่านไม่โลภในความรวย และ ไม่ใช้ความรวย เป็นหนทางสร้างสิ่งที่ตัวเองโลภ อื่นๆ อีก เพราะรู้ชัดแจ้งด้วยญาณ ปัญญาว่า ตัณหาคือ เหตุของความทุกข์ หากใครต้องการพ้นทุกข์ก็ดับตัณหาเสีย ทุกข์ก็จะหมดไป ใครดับตัณหาได้ ก็ข้ามวัฏสงสารได้

ผู้ที่เห็นทุกข์ในความมี ความเป็น ความได้ตามที่ตัณหาเรียกร้อง เขาจะคิดเป็น คิดถูกว่า แม้จะมีใคร มาบันดาลให้ภูเขาทุกลูกในโลกนี้เป็นทองคำ ก็ยังไม่พอแก่ตัณหาของคน ความรวยจึงไม่ใช่ เส้นทางที่ยุติความทุกข์ แต่การดับตัณหาต่างหาก คือหนทางแท้ๆ

ไม่เพียงแต่ศรัทธาเช่นนั้น ยังมีผู้ปฏิบัติตัวเองให้เป็นคนเช่นนี้อีก คือคนที่เคยรวย มาก่อน ระดับเจ้านาย เศรษฐี ก็ยังหยุดความรวยไว้เพียงแค่นั้น อุทิศความรวยที่ตนมี ออกสู่สาธารณชน สร้างโรงทาน ทิ้งสมบัติพัสถาน เหลือแต่ตัวเปล่าๆ มาทำสิ่งที่คนรวย และคนจนมองว่า เป็นความลำบาก แต่ความลำบากอย่างนี้ เป็นหนทางนำไปสู่ การทำลายความโลภ ความโลภที่ทำให้เกิดความทุกข์ ทั้งคนรวย และคนจน

คนรวยที่ไม่ขี้โลภอาจพบกับความสุขระดับหนึ่ง ที่คนรวยขี้โลภไม่มีโอกาสได้ลิ้มชิมรส มันเลย ตกฐานเดียว กับคนจนที่ขี้โลภเหมือนกัน แทนที่คนจนคนนั้นจะนั่งสบาย นอนสบาย เพราะคนจน ไม่มีใครมารบกวนขอ เหมือนกับคนรวยต้องพบผ่าน แต่คนจน ก็ยังคิดว่า ความรวยนั่นแหละ คือผลของบุญ ที่คนจนได้สร้าง คนจนจึงอดที่จะร้องขอ ความรวย ไม่ได้ในทุกครั้ง ที่ตนทำกิริยา ที่เรียกว่า ทำบุญ และจะหยุดสละออก ทานออก เมื่อไม่ได้ ดอกผลจากการนั้น

ส่วนคนที่มีปัญญาเข้าใจสัจธรรมจริง จะไม่ทำบุญเพื่อขอให้พ้นจากความจน หรือขอให้ ความรวย พูนเพิ่ม คนจนที่มีปัญญาจะยินดีอยู่อย่างจนๆ แต่รวยการทำงานสม่ำเสมอ รวยในการแจกจ่าย แรงงาน ช่วยเหลือคนอื่นเป็นปกติ โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องราคา ไม่คิดถึงเรื่อง ค่าตอบแทนใดๆ เพราะคนจน ที่ไม่ขี้โลภ ได้รับผลตอบแทนจากการคิด การกระทำอย่างนั้นของเขา โดยปริยาย เทียบวัดกันได้ ตรงที่เขาสบายใจ สุขใจ จากการพ้นความโลภทุกกรณีนั่นเอง

คนรวยที่หยุดความโลภได้ก็จะเขยิบ คุณธรรมขึ้นมาอีกระดับหนึ่งเหมือนกัน คือเขา จะเป็นคนจน อย่างสมัครใจ ไม่วิตกในการกิน การอยู่อย่างที่คนจนเขาเป็นกัน เพราะซาบซึ้ง ดีแล้วว่า ความโลภ ไม่ได้ทำให้ใครรวยได้จริง แม้จะเกิดมาเป็นคนรวย โดยกำเนิด จากชาติตระกูลที่ร่ำรวย แต่การเสียสละ ความรวยได้ โดยไม่กังวล ในความจนต่างหาก คือความรวยที่ล้างทั้งความโลภอื่นๆ ด้วย

สรุปลงที่ว่าไม่ว่าคนจนหรือคนรวย หากยังมีความโลภอยู่ตราบใด คนนั้นก็ยังต้อง ผจญกับ ความทุกข์ ความเดือดร้อน เท่ากัน ไม่มีใครมีความสุขกว่า ไม่ต้องมาริษยากัน ให้ใจแปดเปื้อนไปเปล่าๆ

คนที่ขยัน และตั้งใจเป็นคนดี ไม่ว่าจะเป็นคนรวย หรือคนจนมาก่อน ก็จะรักษา สภาพจิต ที่ไม่โลภ เป็นกำลังหนุนนำให้ตัวเองอยู่ผาสุกได้นั่นแหละ เป็นเนื้อหา ใจความแท้ที่สุด ฉะนั้น คนจนที่ขยัน เป็นคนดี ก็จะเป็นคนที่มีคุณค่าในตัวเอง โดยไม่ต้องไปตะเกียกตะกาย หาสิ่งมีค่าอื่นใด มาทำให้ตัวเองรวยขึ้น มีคุณค่า ขึ้น เพราะเขามีคุณค่าอยู่แล้วในตัว

เช่นเดียวกับคนรวยที่ไม่โลภ ก็จะขยันพากเพียรในการล้างความโลภ หันมาสร้าง ความเพียร ในการให้ การสละออก เผื่อแผ่คนอื่น คนรวยคนนั้นก็จะเป็นคนมีคุณค่า ที่ตัวเองยิ่งกว่า สิ่งมีค่าอื่นๆ ที่เป็นทรัพย์สินที่มี และคนในสังคมก็จะยกย่อง ชื่นชมเขา ที่คุณค่าตรงนี้ หาใช่ไปกำหนดคุณค่าเขา เช่นเก่าก่อน ตรงที่เขาเป็นคนรวยมาแต่เดิม

โลก สังคมที่มีคนรวย คนจนที่ขยัน และไม่โลภเท่านั้น คือโลกที่คนควรสร้างให้เกิดขึ้น มากกว่า ที่คนจะไปเสาะแสวงหาคนรวย หรือส่งเสริมคนจนให้รวย เพื่อแก้ปัญหาความ ยากจนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด นโยบายของบ้านเมืองใด น่าจะมุ่งเป้าหมาย อันประเสริฐนัยนี้ เพื่อความผาสุก อันเรียบง่าย ได้มาอย่างถูกต้องสัมมาทิฐิ สมกับ เป็นประเทศที่ได้ตรา ไว้ในรัฐธรรมนูญ ว่ายกพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ -