ใครดีใครเก่ง ใครเจ้าพ่อ
ติดตามข่าวการชิงตำแหน่งผู้ว่า กทม.ตลอดมา รู้สึกว่าคนดีคนเก่งจะแพ้เอาจริงๆ ทั้งแพ้ ตัวเอง และแพ้เลือกตั้งด้วย เจ้าพ่อ คงจะได้ครองเมือง ทำไมคนดีคนเก่งจึงมีอัตตามานะไม่ยอมรวมกัน ถ้าหาก ดร.มานะ ดร.นิติภูมิ คนใดคนหนึ่ง ยอมถอนตัวออกมาเป็นรองเป็นทีมงานผู้ว่าด้วยกัน ยกคะแนนเสียงให้แก่กัน ทำไมคนดี คนเก่ง ต้องแย่ง คะแนนเสียงกันเอง หรือว่าคนดีเป็นรองใครไม่ได้ น่าอายมากเลยนะคนดีบ้าอำนาจ หรือว่าชาวคิดอะไร คิดอะไร และก็ทำอะไรอยู่
* ไพร จริยา เชียงใหม่

- "ชาวเราคิดอะไร" คิดอะไรและทำอะไรอยู่? ก็คิดและทำ "เราคิดอะไร" นี่แหละพ่อคุณ คะแนนเสียง เป็นของ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งหน้าไหน จะประกาศิตยกให้คนโน้นคนนี้ได้ครับ ประกาศ ผลเลือกตั้งแล้ว ใครแพ้ตัวเอง และแพ้เลือกตั้งด้วย ใครได้ครองเมือง และครองใจคนเมือง คงรู้แล้ว นะครับ ที่วิตกว่าเจ้าพ่อ จะได้ครองเมืองน่ะ แห้วใช่ปล่าว!


สอบตกชั้นประถม
ผลงานวิจัยของ รศ.ดร.เนาวรัตน์ เจริญค้า และคณะ แห่งคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหิดล เรื่อง "การสูบบุหรี่ของพระภิกษุสงฆ์ในประเทศไทย" พบว่าพระสงฆ์ ๑ ใน ๔ ยังสูบบุหรี่ และ ร้อยละ ๗๒.๕ ต้องการเลิก แต่เลิกไม่ได้ จึงเสนอให้รณรงค์ไม่ให้ญาติโยมถวายบุหรี่แก่พระสงฆ์ ข้อเสนอของฝ่ายสงฆ์ตรงนี้ ทำให้หนูสับสนว่า ทำไมจึงรณรงค์ที่ญาติโยม ทั้งๆ ที่ผู้สูบบุหรี่ คือ พระสงฆ์ ประหลาดจังค่ะ
* เยาวชนข้างวัด กทม.

- หนูนี่ช่างคิดจริงๆ นะ มันก็ประหลาดจังค่ะอย่างหนูว่านั่นแหละ พระสูบบุหรี่แต่กลับไปโทษญาติโยม หาว่าเป็นตัวก่อการร้ายถวายบุหรี่ พระอดใจไม่ได้ก็เลย ฉลองศรัทธาซะเต็มคราบ แต่อีกมุมหนึ่งมองว่า พระที่ติดบุหรี่ท่านก็เป็นแค่สมมติสงฆ์ ใช่อาริยสงฆ์สักหน่อย จึงยังไม่เข้มแข็งพอ ที่จะเผชิญหน้า กับบุหรี่ได้ จำต้องขอร้องญาติโยมอย่าเอาบุหรี่มายั่วกิเลส ศีลข้อ ๕ ขาดป่นปี้ ก็น่าเห็นใจ ท่านที่ยัง รู้ตัวว่าบกพร่อง และจะพัฒนาตนเอง นึกว่าเป็นการอนุเคราะห์ท่านเถิดนะ นี่ถ้ากลั่นกรองคนเข้าบวช คัดเลือกเอาแต่คนที่ สอบผ่าน ฐานศีล ๕ ศีล ๘ ได้สบายตัวแล้ว ก่อนที่จะทะยานขึ้นไปสู่ฐานศีล ๑๐ และวินัยอีก ๒๒๗ ก็จะไม่เกิดปัญหานี้ พระมีหน้าที่ ช่วยชาวบ้านให้มีปัญญาแก้ปัญหา กลับเป็นตัว ปัญหาเสียเองแบบนี้ จะเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ ของชาวบ้าน ได้ยังไงกัน มีแต่จะกัดกร่อนศรัทธา ปสาทะ ชาวบ้านปะไร


ผู้ใหญ่นั่นแหละตัวดี
นักศึกษาอาชีวะส่วนหนึ่งของ 2 สถาบันย่านมีนบุรี ตะลุมบอนกันถึงตายและบาดเจ็บหลายคน กระทรวงศึกษา สั่งปิดโรงเรียน นักศึกษาที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง พ่อแม่ผู้ปกครองก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย การแก้ปัญหา เหมาโหลแบบนี้ คนดีกลับเดือดร้อน
* ผู้ปกครองเด็กดี มีนบุรี

- เยาวชนวันนี้คือผลพวงของสังคมที่พิกลพิการกลายเป็นสังคมจีเอ็มโอ คนกลายพันธุ์ จึงระบาด มิใช่จำเพาะ ในสถาบันศึกษา เท่านั้นหรอกครับ ในวงการเมืองการปกครอง การศาสนา การศึกษา ธุรกิจการเงิน ฯลฯ ก็ไม่เว้น กลายพันธุ์ เหตุร้ายครั้งนี้ก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมดาของสังคมใหม่ อย่าไปโทษเด็ก ที่ก่อปัญหา เรื่องนี้เลยครับ ต้องโทษคนรุ่นก่อน ที่สร้างปัญหาหมักหมมไว้ ให้คนรุ่น ปัจจุบัน ถ้าศาสนายังมีบทบาทแค่ทำให้คน สวดมนต์ไหว้พระ บูชาพระ ด้วยดอกไม้ธูปเทียน บนบาน อ้อนวอน ขอโน่นขอนี่ ทอดกฐินทอดผ้าป่า ทำบุญเลี้ยงพระ อุทิศกุศลให้คนตาย เคาะกะโหลก เจิมหน้ากันเป็นงานหลัก แต่ศีล 5 ไม่มีสักข้อ สังคมก็ต้องเป็นแบบนี้แหละครับ


ชาวนามีค่ากว่าเยอะ
ช่วงนี้ดิฉันรู้สึกว่าคนไทยกำลังเห่อ ๘ ฮีโร่โอลิมปิก เฉลิมฉลองแจกเงินทองของรางวัลกัน ไม่ยั้ง วงการ บันเทิง ต่างก็จ้อง ฉกฉวยโอกาส ชิงตัวฮีโร่ไปสร้างสีสัน สังคมไทยก็เป็นอย่างนี้แหละ มิได้ให้คุณค่า นักกีฬา แต่ให้ราคานักแข่งขัน และเชิดชูแต่ผู้ชนะ
* ชาวนาธรรมดา อยุธยา

- ไทยโด่งดังจากกีฬาโอลิปิกก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าเล่นกีฬาเพื่อกีฬา แต่ชัยชนะของชาติขนานนี้ ใช้กินอยู่ ยังชีพไม่ได้ เหมือนข้าวจากมือชาวนาหรอกครับ คนกินข้าวทุกวัน วันละหลายมื้อ แต่ชาวนา ไม่มี เงินทอง เด่นดังเฟื่องฟูเป็นวีรชน เหมือนคนชิงเหรียญกีฬา มาได้นานทีปีหน เหรียญรางวัลที่แห่กัน รอบเมือง กินแทนข้าวได้ซะที่ไหนล่ะ แต่นักกีฬา ต้องกินข้าว ของชาวนาทุกวัน


การเมืองการศาสนา
ฟังข่าวให้สัมภาษณ์ทางวิทยุและอ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ พระโพธิรักษ์ บอกว่าตั้งพรรค การเมือง ชื่อ พรรคเพื่อฟ้าดิน ชื่อพรรค ก็ประหลาดอยู่แล้ว ยิ่งท่านประกาศก้องว่า เป็นผู้ตั้งพรรคอีกด้วย ก็ยิ่ง ประหลาดใหญ่ ที่พระตั้งพรรคการเมือง จะให้ชาวพุทธ อย่างพวกเราเข้าใจอย่างไร
* สีมา บุรีรัมย์

- ท่านคงพูดจาประสาชาวบ้านให้เห็นชัดในบทบาทของพระต่องานการเมือง แต่แท้จริง ไม่ได้ตั้ง พรรคหรอก เพียงแต่ ส่งเสริมให้ตั้งพรรคการเมือง ที่ใช้ศาสนธรรมเป็นหลักบริหารจัดการ ทำงานเพื่อ บ้านเมือง มีพระสงฆ์ให้คำปรึกษา ให้ข้อคิดติงเตือน ให้งานการเมือง เป็นไปตามครรลองธรรม ตรงเป้าหมาย "เพื่อประโยชน์สุข แห่งมหาชนชาวสยาม" อย่างแท้จริง มิใช่ "เพื่อประโยชน์ทับซ้อน ของกูและพวกกู" บนหยาดเลือดและน้ำตา อาณาประชาราษฎร์ ที่รู้ไม่เท่า ตามไม่ทันเล่ห์กล

เรื่องนี้เห็นทีจะต้องคิดใหม่ทำใหม่กันจริงๆ แล้วละครับ ศาสนากับการเมืองต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยพระมีหน้าที่ ทำให้นักการเมือง ซื่อสัตย์ เสียสละ ลดละความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว มิใช่แอบอิง เสริมสร้างประโยชน์ ต่างตอบแทน ความโลภเห่อเหิม บ้ารวย บ้ายศบ้าใหญ่ในตำแหน่ง หลงสมณศักดิ์ พัดยศลาภสักการะฐานันดร พระที่จะทำหน้าที่ จุดนี้ได้แท้จริง ต้องมีอาริยคุณเป็นอาริยสงฆ์ มิใช่ สมมติสงฆ์ที่หลงตนว่าเป็นอาริยสงฆ์ ทั้งที่ยังเวียนว่าย ปลุกเสก พุทธาภิเษกวัตถุ ให้มีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ แทนที่จะปลุกเสกพุทธาภิเษกคนให้มีศีลแท้มีธรรมจริง ร่ายมาแค่นี้ พอจะมองเห็น ความต่าง ในความเหมือนบ้างไหมครับ ครองผ้ากาสาวพัสตร์เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน

- บรรณาธิการ -


บุคคลปทปรมะไม่ใช่คนโง่ ฉลาดด้วย ได้เปรียญ ๙ ก็มี ได้ปริญญาเอกก็มี ฟังมาก ท่องจำได้ ขึ้นใจ สอนเขา อยู่แจ้วๆ ได้ยศได้ศักดิ์ รู้เต็มหูเต็มหัว แต่ไม่ได้บรรลุ อะไรเลย นั่นแหละบุคคลประเภทที่ ๔ ที่จัดเป็นบัวใต้ตม ต้องให้เต่าปลากินไป คนชนิดนี้ มีอัตตา มานะมาก หลงดี ถือตน ทุกวันนี้ ยิ่งมีมาก

-สมณะโพธิรักษ์ จากหนังสืออโศกรำลึก ของโครงการหิ่งห้อย

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ -