จำลอง ศรีเมือง


อยู่บ้านนอกดีๆ ก็ต้องไปเมืองนอก ไปเพราะความเกรงใจ พูดอย่างนี้ออกจะเป็นการอวดตัว อวดตน มากเกินไป ใครๆเขามีแต่ จะยอมเสียเงินไป เพราะอยากท่องเที่ยวดูอะไรๆ สวยๆงามๆ หรือไม่ก็ไป เพื่อหาความรู้ หาปริญญาเพิ่มเติม ซึ่งสำหรับผมนั้น หมดยุคไปแล้ว สมัยหนุ่มๆ ละจริงตามนั้น

หมอญี่ปุ่นขอให้ผมพาคณะใหญ่ๆ ไปดูงาน เพื่อจะได้มั่นใจว่าเขาเอาจริง จะสร้างโรงพยาบาล ขนาด ๑,๐๐๐ เตียง พร้อมเครื่องมือ ทันสมัยให้เปล่าๆ ขอเพียงให้ผมรับคำเท่านั้น แล้วบริหารให้โรงพยาบาลที่จะสร้าง กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ระบบการรักษา พยาบาลในเมืองไทย ที่ทำเพื่อคนไข้อย่างแท้จริง ถือว่าคนไข้ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ว่าจะจนหรือรวย

ดูๆ ไปแล้วก็มีลักษณะคล้ายๆ โรงพยาบาลบุญนิยมนั่นเอง ผมไปตามคำเชิญยกกันไปทั้งหมด ๑๕ คน มีคุณปัทมาวดี วงศ์สายัณห์ เจ้าเก่าที่ตามช่วยผม กับคุณศิริลักษณ์ ติดต่อกันมาหลายปีดีดัก เป็นผู้ ประสานงาน และช่วยเป็นล่าม

คุณหมอโทขุดะ ซึ่งมีโรงพยาบาลและคลินิกรวม ๒๕๒ แห่ง (มากที่สุดในญี่ปุ่นและเป็นที่ ๒ ในโลก) ออกค่าใช้จ่าย ให้หมด ให้คณะพาไปดูหมดทั้งโรงพยาบาลแรก ถึงโรงพยาบาลล่าสุด รวมทั้ง สถานที่ ที่จะสร้างโรงพยาบาลเพิ่มเติมอีก ๒ แห่งในญี่ปุ่น เพื่อให้มั่นใจว่าเคยทำเป็นขั้นเป็นตอน ของการสร้าง โรงพยาบาล ทำมาหมดแล้ว จะสร้างให้ไทย เพียงแห่งเดียว ไม่เหลือบ่ากว่าแรงแน่

คนของหมอโทขุดะคนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ บอกผมว่าเจ้านายเขากะจะสร้างโรงพยาบาล ในต่างประเทศเร็วๆ นี้ เพิ่มอีก๒ ประเทศ คือโรงพยาบาลอาคิโนเม็มโมเรียล เพื่อเป็นเกียรติแก่ อดีตประธานาธิบดีอาคิโน ของฟิลิปปินส์ และอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ในประเทศไทย ซึ่งยังไม่ได้ตั้งชื่อ เพราะผมคัดค้านไว้ หมอโทขุดะ บอกผมเมื่อ ๒ ปีก่อนว่าจะสร้างโรงพยาบาลชื่อ "จำลอง เม็มโมเรียล" จะตั้งชื่อนี้ได้ ผมต้องตายก่อน ผมจึงไม่เห็นด้วย

คุณมอริ ลูกน้องหมอโทขุดะยืนยันว่าหมอโทขุดะตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว จะสร้างโรงพยาบาล ในประเทศไทย ให้เสร็จ ก่อนสร้าง ให้ฟิลิปปินส์ คุณมอริแกหลงนิยาย "คู่กรรม" มาก บอกว่า อ่านมาแล้ว ๕ จบ แกชอบเพราะชื่อแก ใกล้เคียงกับ ชื่อพระเอกญี่ปุ่น ในเรื่องนั้น คือโกโบริ ถ้ามีโอกาส มาเมืองไทย ขอกวนผมอย่างเดียวเท่านั้นพอ ขอให้ได้พบบุคคลสำคัญในดวงใจแก คือ คุณทมยันตี ผู้ประพันธ์ "คู่กรรม"

ผมเลยคุยทับว่า คุณทมยันตีกำลังแต่งหนังอีกเรื่องหนึ่ง ให้ผมแสดงนำ แกยิ่งตื่นเต้นใหญ่ คงนึกว่า ผมจะได้เป็นพระเอก แบบโกโบริ แท้ที่จริง จะแสดงเป็นคนแก่ต่างหาก

พูดถึงคำว่า "แก่" คุณหมอกวี ทังสุบุตร อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เล่าให้ฟังว่า เคยกระแหนะ กระแหนคุณแก้ว ภรรยา อย่างเป็นกันเอง โดยใช้คำผวน อาจจะหยาบไปนิดๆ ชี้ไปที่ เครื่องปรับอากาศ แล้วพูดว่า "แอร์กี่ๆ" คุณแก้วใช้เชาว์ไว ไหวพริบ พูดสวนขึ้นทันที "แอร์เก่งๆ"

ก่อนจะกลับ คุณหมอโทขุดะ ขอร้องผมอีกว่ากลับมาเมืองไทยแล้วรีบๆ สร้างโรงพยาบาล ให้เร็วๆ หน่อย คนไทยที่ไปด้วยกัน ต่างคิดว่าคงสำเร็จแน่ สำหรับผมจนวันนี้ แม้จะฟังมาแล้วหลายหน ไปดูด้วยตาก็หลายครั้ง ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่า ทำได้ เพราะไม่ใช่ เรื่องเล็กๆ การเจรจา ผมค้าน หมอโทขุดะว่า สร้างจากเล็กไปหาใหญ่ดีกว่า แทนที่จะสร้างโรงพยาบาล ๑,๐๐๐ เตียง เอาแค่ ๕๐ เตียงไปก่อน แกบอกว่า สร้างเล็ก สร้างใหญ่ มันก็เลือดตาเกือบกระเด็นเหมือนกัน สร้างทั้งที สร้างให้ใหญ่เลย ผมคิดว่า แล้วแต่แก เงินของแก อยากเสียมากๆ ก็ไม่เป็นไร

ผมร่ำเรียนมาทางวิชาฆ่าข้าศึก ฆ่าคน แล้วผมจะมายุ่งเรื่องช่วยชีวิตคน จะทำได้สักแค่ไหน อายุก็ขึ้นเลข ๗ แล้ว และตอนนี้ ผมและคุณศิริลักษณ์ ต้องดูแลช่วยเหลือสังคม รวม๗ เรื่องแล้ว ตั้งแต่เรื่องที่ ๑ ที่เป็นข่าวดังอยู่เต็มอาทิตย์คือ มูลนิธิชื่อผม ไปจนถึง สถาบันโรคไตและมะเร็ง ซึ่งเผยอไปแข่งกับ โรงพยาบาลของรัฐ

คุณหมอโทขุดะ คาดคั้นให้คณะของเรารับการตรวจโรคด้วยเครื่องมือทันสมัยให้ฟรีๆ ตรวจให้ ทั้งคนเป็นหมอ และไม่ใช่หมอ แม้ผมจะถูกตรวจ ที่นั่นมาแล้วเมื่อ ๒ ปีเศษๆ ก็ไม่เว้น

ใครๆ ในคณะเห็นผลการตรวจผมว่าความดันตัวเลขล่าง ๕๙ ก็ตกใจ ว่าผมแย่แล้ว โชคดี คุณหมอเฉก ธนะสิริ อยู่ที่นั่นด้วย ท่านยืนยันว่า เกือบเท่าของท่านเปี๊ยบ คนที่ห่วงก็คลายใจ ผลการตรวจสมอง หมอยืนยันกับผมหลายครั้งว่า ผมอายุ ๗๐ สมองมีความสมบูรณ์ เท่าคนอายุ ๕๐ นึกถึงเมื่อตอนผมอายุ ๕๐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระ จับผมตรวจโรค อย่างละเอียด และพูดกับผม อย่างจริงจัง ไม่ใช่พูดเล่นๆ ว่า หัวใจผมเต้นเท่าเขาทราย แกแล็กซี่ ผมยังคุยโวมาถึงวันนี้

หมอโทขุดะ สั่งลูกน้องทันที ให้เตรียมมาเมืองไทย เพื่อดูงาน ๔ คณะ ๔ เรื่อง คือ เรื่องที่ดิน ที่จะสร้าง โรงพยาบาล เรื่องการขาย อาหาร มังสวิรัติของร้าน บ้านสวนไผ่สุขภาพ เพื่อจะเปิดร้าน ที่กรุงโตเกียว เรื่องการปลูกผัก และไม้ผลไร้สารพิษ ของมูลนิธิชื่อผม ทั้งที่เมืองกาญจน์ และสุพรรณฯ เพื่อเอาไปขาย ที่ญี่ปุ่น และการรักษาพยาบาล แบบ เซลล์ซ่อมเซลล์

กลับจากญี่ปุ่นถึงดอนเมืองคืนวันที่ ๑๖ กันยายน ผมต้องรีบบึ่งไปเมืองกาญจน์ เพื่อให้ทัน บรรยายที่ โรงเรียนผู้นำ ตอนตีห้า ของวันรุ่งขึ้น พาผู้เข้ารับการฝึกอบรมปีนเขาเข้าถ้ำ แจกวุฒิบัตร กล่าวปัจฉิมนิเทศ เสร็จ รีบเข้ากรุงเทพฯ เก็บข้าวของ ใส่กระเป๋าเดินทางเกือบไม่ทัน เพื่อเดินทาง ไปประเทศ คาซัคสถาน

ก่อนถึงดอนเมืองแวะไปเคารพศพและสวดศพท่านอาจารย์พันเอกสุวรรณ ทังสุบุตร ผู้เคยเป็น ทั้งเจ้านายผม สมัยผมเป็นเด็กรับใช้ และเป็นอาจารย์ สมัยผมเป็นนักเรียนนายร้อย เมื่อวันครู ๑๖ มกราคม ผมโทรศัพท์ไปกราบท่าน เรียนไต่ถามท่าน ท่านยังบอกว่า สุขภาพดีอยู่เลย

เรื่องไปญี่ปุ่นยังเล่าไม่จบ เรื่องไปประเทศคาซัคสถานยังไม่ได้เล่าเลย จำเป็นต้องใช้เนื้อที่ หน้ากระดาษนี้ บันทึกเรื่องราวใหญ่โต ที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นหลักฐานไว้ และสรุปให้ท่านสมาชิก เราคิดอะไร ได้ทราบบ้าง

ตอนที่อยู่ในประเทศคาซัคสถาน ผมได้รับโทรศัพท์จากเมืองไทยว่า รัฐมนตรีผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ คนหนึ่ง กำลังกล่าวหาว่า มูลนิธิชื่อผม ทำผิดกฎหมาย บุกรุกที่ดินในเขต สปก. จะต้อง ยึดที่ดิน สถานเดียว ไม่มีอย่างอื่น พร้อมกับให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า ผมคงไม่รู้อะไร เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ คงทำผิดเอง (ทำเป็นเอาใจผม ปกป้องผม)

ขากลับ พอลงเครื่องที่แฟรงเฟิร์ต เยอรมัน ผมเขียนชี้แจงเรื่องราวด้วยลายมือทันที (ถ้าผมไม่รู้เรื่อง ผมจะเขียนได้อย่างไร) เพื่อแจกผู้สื่อข่าว ตอนกลับถึงสนามบินดอนเมือง เรื่องนี้รู้ไปถึงเยอรมัน ท่านกงศุลไทย ประจำนครแฟรงเฟิร์ต เสนอแนะให้ผม เตรียมตอบผู้สื่อข่าว ว่าผมต้องเจอแน่

น่าขำดี ผมใช้กระดาษของเยอรมัน เครื่องถ่ายเอกสารของเยอรมัน (ฟรี) เพื่อชี้แจงเรื่องยุ่งๆ ที่คนชาติเดียวกันทำกับผม

ผมขอนำข้อความที่ผมเขียนด้วยลายมือมาลงในเราคิดอะไรฉบับนี้ คือข่าวหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน ซึ่งหนังสือพิมพ์ ฉบับอื่นๆ ก็ลงข่าวทำนองเดียวกัน

ข้อที่ผมยืนยันว่าไม่ได้บุกรุก ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ผมไม่ได้ยกตัวอย่าง ผมเพิ่งพูดตอนให้ สัมภาษณ์สดว่า มูลนิธิฯ จะทำผิดกฎหมาย บุกรุกที่ดินทำไม ถูกต้องกฎหมายและได้เงินสบายๆ โดยไม่ต้องลงแรง เรายังไม่รับเงินเลย คือเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้มูลนิธิฯ ไปรับเงินช่วยเหลือ ๑ ล้านบาท พอทราบว่าเป็นเงินจากกองสลาก ผมก็ขอบคุณและขอไม่รับ

ประเด็นที่บอกว่ามูลนิธิฯ จะต้องถูกยึดที่ดินแปลงนั้น เพราะไม่มีเอกสาร ส.ป.ก. ปั๊ดโธ่ ! เรามีสิทธิ์ ได้เอกสารตามกฎหมาย แต่ทาง ส.ป.ก.บอกว่า ยังไม่พร้อม เมื่อยังไม่ให้ เราก็เลยยังไม่มี ตัว ส.ป.ก.หรือรัฐมนตรีผู้มีอำนาจเท่านั้น ที่มีสิทธิ์ให้ เมื่อยังไม่ให้ แล้วมาหาว่า เราผิดได้ยังไง ให้เมื่อไร ก็มีเมื่อนั้น ต่างกับแปลงที่กาญจน์ ส.ป.ก. กาญจน์พร้อม เราก็ได้เอกสารส.ป.ก. เรียบร้อยแล้ว

เรื่องนี้ผมเพิ่งทราบเจตนาที่แท้จริง หลังจากกลับจากคาซัคสถานว่า จงใจกลั่นแกล้งกันชัดๆ ด้วยหลักฐาน หลายอย่าง ที่ชี้ชัดว่า แกล้งแน่ๆ เขาทำเพื่ออะไร เข้าทำนอง ลูกน้องหวังดีต่อเจ้านาย ขยันแต่โง่ คำหลังนี้ ออกจะแรงไปหน่อย ผมได้รับการอบรมบ่มสอน จากโรงเรียนนายร้อย ว่าจบไปแล้ว อย่าเป็นข้าราชการขยันแต่โง่ จะทำให้ผู้บังคับบัญชา ต้องตามแก้อยู่เรื่อย

ผมกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ผมเป็นผู้ใหญ่ ไม่ต้องการตอบโต้รายวัน จึงเขียนรวมไว้ในคำชี้แจง หมดแล้ว สรุปก็คือ เมื่อผิดก็จับ จะยึดก็ยึด ยึดเท่าไร ก็ยึดไป เพราะมีอำนาจล้นฟ้าอยู่แล้ว ระวังคนเขาจะเกลียดชังมากขึ้น เท่านั้นเอง



"เนวิน" แฉ "มูลนิธิจำลอง" รุกที่ ส.ป.ก.กว่า ๕๐๐ ไร่

"เนวิน" เผย "มูลนิธิจำลอง" ที่สุพรรณฯ ครอบครองที่ ส.ป.ก.กว่า ๕๐๐ ไร่ ระบุต่อเจ้าหน้าที่ ไม่กล้าเข้าดำเนินการ เพราะเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้ง นักการเมืองชื่อดัง "ธวัชชัย อนามพงษ์" ติดร่างแห ครอบครองที่ดินที่จันทบุรี

วันนี้ (๒๐ ก.ย.) นายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผย ภายหลัง การเจรจากับผู้ถือครอง ที่ดินรายใหญ่เกินกว่า ๕๐๐ ไร่ ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ว่าได้เชิญผู้ถือครองที่ดินจาก ๑๑ จังหวัด ๔๒ ราย มาเจรจา เป็นครั้งแรก ได้แก่ จ.ตราด ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี เชียงใหม่ พิจิตร ชัยภูมิบุรีรัมย์ ชุมพร และจันทบุรี รวมทั้งหมด ๓๔๓ แปลง เนื้อที่ ๕๐,๘๘๐ ไร่ โดยผู้ถือครองมีทั้ง นักการเมือง และนักธุรกิจ เช่น จัดสรรที่ดินเหมืองแร่ สวนผลไม้ และทำสวนยาง ขนาดใหญ่ ส่วนนักการเมืองได้แก่ นายธวัชชัย อนามพงษ์ อดีต ส.ส.พรรคชาติพัฒนา ปัจจุบันย้ายไปสังกัด พรรคชาติไทย

ทั้งนี้ ได้ซักถามและทำความเข้าใจกับผู้ถือครองทุกรายว่าได้บุกรุกที่ดินของรัฐ ซึ่งทั้งหมดนี้ ได้ตั้ง คณะทำงาน พิสูจน์สิทธิ์ขึ้นมา เพื่อให้แต่ละราย ได้นำเอกสารสิทธิ์หรือภาพถ่ายทางอากาศ มาแสดง เพื่อให้เห็นว่า ได้มีการทำประโยชน์ในที่ดินมา ก่อนประกาศ เขตป่า โดยในส่วนภาพถ่ายทางอากาศ จะใช้ภาพถ่าย หลังการประกาศ เขตป่าเป็นป่าสงวน

ทั้งนี้ในส่วนรายที่ไม่มาเจรจาได้แก่ นายสุรชัย กิจบำรุง บริษัทชะอำคันทรีโฮม ครอบครอง ที่ดิน ส.ป.ก. ๑,๐๗๓ ไร่ ใน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในเขตป่าห้วยโป่ง ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำโครงการชะอำสักทอง อีกรายหนึ่ง ได้แก่ที่ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งไม่ทราบว่า กรณีเกิดขึ้นได้อย่างไร คือมีมูลนิธิ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง เข้าไปบุกรุกทำประโยชน์ ในพื้นที่ ตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ เนื้อที่ ๕๓๖ ไร่ โดยมี นายอุดม บัวละคร เป็นผู้ดูแล โดยใช้พื้นที่ประมาณ ๓๐ ไร่ปลูกผักปลอดสารพิษ

"ผมไม่ทราบว่าพล.ต.จำลองทราบเรื่องหรือไม่ แต่ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ไม่กล้าเข้าไปดำเนินการ เพราะเห็นว่า เป็นผู้ใหญ่ จึงได้ให้ คณะทำงาน ทำหนังสือไปยัง พล.ต.จำลองโดยตรงแล้ว เพื่อสอบถาม ถึงที่มาของการครอบครอง แปลงที่ดินดังกล่าว ซึ่งกรณีนี้ ต้องยึดที่ดินคืน เพียงอย่างเดียว เพราะเป็นการบุกรุก ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. ๔-๐๑ แตกต่างจากที่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งทาง พล.ต.จำลอง ได้ขออนุญาต ส.ป.ก.ใช้พื้นที่ ๒๐๐ ไร่ ทำโรงเรียนผู้นำและ ส.ป.ก.ได้อนุญาต ถูกต้อง

นายเนวินยืนยันว่าการดำเนินการครั้งนี้ทำตามหน้าที่ ไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ใช้หลักการ เดียวกันหมด คือหลักความเป็นธรรม ซึ่งทุกคน ที่มาเจรจาก็เข้าใจและบางคนยอมรับว่า ไม่มีเอกสารสิทธิ์จริง สำหรับกรณี พล.ต.จำลอง คงไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง เพราะได้ดำเนินการ ตรวจสอบเรื่องนี้มาก่อนที่ พล.ต.จำลองจะออกมาแสดงความเห็น วิจารณ์นายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่า เรื่องนี้มูลนิธิฯ อาจดำเนินการโดย พล.ต.จำลองไม่ทราบก็ได้

"ขออย่าเอาการเมืองมาเกี่ยว เพราะผมทำหน้าที่ของผมและกรณีที่สุพรรณบุรี ไม่ต้องมีการ พิสูจน์สิทธิ์ แต่สามารถยึดที่ดิน มากระจายสิทธิ์ให้เกษตรกร รายอื่นได้เลย ทั้งนี้ส่วนตัวคงไม่ต้องสอบถามไปยัง พล.ต.จำลอง ต้องให้เป็นเรื่องของระดับ เจ้าหน้าที่ ดำเนินการ" นายเนวินกล่าว

รมช.เกษตรฯกล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะมีการประชุมคณะทำงานกับผู้ถือครองรายใหญ่ ทุกวันจันทร์ โดยในสัปดาห์หน้า จะเชิญ ผู้ถือครองรายใหญ่ ใน จ.กาญจนบุรี ๒๐ ราย ๑๔,๓๐๐ ไร่ และ ฉะเชิงเทรา ๓๑ ราย ๒๙,๐๐๐ ไร่ สำหรับคนที่ไม่มาเจรจา จะทำหนังสือ เชิญไปอีกครั้ง หากไม่มา ถือว่าสละสิทธิ์ในที่ดินนั้นทันที ซึ่งมั่นใจว่า การเจรจากับผู้ถือครองรายใหญ่ จะทำให้ได้ที่ดิน กลับมา มากกว่า ๓ หมื่นไร่ จาก๕ หมื่นไร่ และเชื่อว่าอาจจะได้คืนมาเกือบทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม หากผู้ถือครองมีเอกสารสิทธิเป็น นส. ๓ ก. ต้องถือว่า ส.ป.ก. ประกาศเขต ปฏิรูปที่ดิน ทับที่ชาวบ้าน ก็ต้องกันที่ ออกจากเขตปฏิรูปที่ดิน โดยวันนี้ยึดการประกาศเขตป่าเป็นหลัก ใครจะมา อ้างว่า อยู่มาก่อนประกาศเขตป่าก็ไม่ได้ เพราะถือว่า บุกรุกป่าอยู่แล้ว จะมาเลี่ยงบาลีไม่ได้ ทั้งนี้จาก การตรวจสอบยังพบว่า บางกรณีมีการดำเนินการคล้ายที่ จ.ภูเก็ต คือในจ.ตรัง ซึ่งบริษัท เหมืองแร่ ที่ได้รับสัมปทานบัตร ๔-๕ ราย ได้ไปยื่นขอเอกสารสิทธิ จากกรมที่ดิน ซึ่งไม่สามารถ ดำเนินการได้

สำหรับในส่วนของ ๔๒ รายที่มาวันนี้จะต้องพิสูจน์เสร็จให้เรียบร้อยภายใน ๖๐ วัน และ ที่เหลืออีก ๑๐๐ กว่าราย จะต้องเจรจา ให้เสร็จภายในวันที่ ๒๗ กันยายนนี้ จากนั้นจึงจะดำเนินการ กับผู้ถือครองเกิน ๕๐ ไร่ต่อไป



คำชี้แจงของ พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผ่านสื่อมวลชน
เรื่องการที่มูลนิธิพลตรีจำลอง ศรีเมือง ถูกกล่าวหาว่า บุกรุกที่ดิน ส.ป.ก. จังหวัด สุพรรณบุรี
แถลงที่ ท่าอากาศยานดอนเมือง ๒๒ กันยายน ๒๕๔๗ เวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น.

มูลนิธิฯ ไม่ได้บุกรุกที่ดิน มูลนิธิฯ ที่ผมเป็นประธานไม่ทำผิดกฎหมายแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น มูลนิธิชื่อผม หรือ กองทัพธรรมมูลนิธิ ซึ่งถือหลัก และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ตลอดมาว่า "หวังและรับเฉพาะสิ่ง พึงได้ โดยชอบธรรมเท่านั้น" แม้ถูกกฎหมาย แต่ไม่ชอบธรรม เราก็ไม่รับ

เมื่อประมาณปลายปี ๒๕๓๕ คุณอุณารส เลิศปราสาทพร และคณะได้บริจาคที่ดนให้มูลนิธิฯ ๒๐๑ ไร่เศษ อยู่ในอำเภอ หนองปรือ กาญจนบุรี (ต่อมามีการจัดเขตที่ดินใหม่ กลายเป็นอยู่ในอำเภอ ด่านช้าง สุพรรณบุรี) เมื่อได้รับแจ้งทางอำเภอ ก็ส่งผู้ใหญ่บ้าน ไปดำเนินการ ตามหน้าที่

ผู้ใหญ่บ้านนัดคุณอุณารสและคณะ นัดผู้แทนมูลนิธิฯ พร้อมทั้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงทุกราย ไปชี้ที่ ให้ถูกต้อง ผู้ใหญ่บ้าน บันทึกการเปลี่ยนเจ้าของ เป็นหลักฐาน ต่อมามีการรังวัดที่ดิน สอบทาน อีกครั้งหนึ่ง ตรงกับจำนวนที่ดินที่บริจาค คือ ๒๑๑ ไร่ ๓ งาน ๙ ตารางวา (ไม่ใช่ ๕๓๖ ไร่ อย่างที่ กล่าวหา)

มูลนิธิฯได้เข้าไปใช้ประโยชน์ทีดินเพื่อสังคมโดยไม่ได้เงิน และโดยไม่ขัดเจตนารมณ์ของ กฎหมายเลย ตั้งแต่ เดือนมกราคม ๒๕๓๖ และติดต่อ ขอเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.กาญจนบุรี (ตอนนั้นที่ดินอยู่ใน กาญจนบุรี) ได้รับคำยืนยันว่า ตามกฎหมาย องค์กรที่ ไม่แสวงผลกำไร อย่างมูลนิธิเป็นต้น สามารถ ได้เอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.โดยถูกต้องอย่างแน่นอน แต่ทางราชการขณะนั้น ยังไม่พร้อม ต้องรอออก กฎกระทรวงก่อน

มูลนิธิฯ จึงรอเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ ๑๕ กันยายน ที่ผ่านมา ส.ป.ก.สุพรรณบุรีได้โทรศัพท์ถึงผม พร้อมกับส่งเอกสาร ประกาศ เชิญประชุม ผู้ครอบครองที่ดินรายใหญ่ (๕๐๐ ไร่ขึ้นไป) แม้มูลนิธิฯ จะครอบครองอยู่เพียง ๒๐๐ ไร่เศษก็ต้องไปชี้แจง เพราะรวม อยู่ในแปลงใหญ่ ๕๐๐ ไร่ เมื่อชี้แจง เสร็จแล้ว ให้มูลนิธิฯ ทำเรื่องขอเอกสาร ส.ป.ก.ได้เลย เพราะ ส.ป.ก.สุพรรณบุรีพร้อมแล้ว ผมได้รับเชิญ ให้ไปประเทศคาซักสถาน ขอให้คุณไพจิตร รัตนานนท์ กรรมการและเหรัญญิกมูลนิธิฯ เป็นผู้แทน

ทางราชการเคยตรวจสอบความถูกต้องของที่ดินแปลงนั้นแล้ว หลังจากมูลนิธิฯ เข้าไปใช้ที่ดิน ได้ไม่นาน กระทรวงทบวงกรม ที่เกี่ยวข้อง มีทั้งกรมป่าไม้ กรมที่ดิน ตำรวจป่าไม้ ตำรวจกาญจนบุรี และกระทรวงศึกษาธิการ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ ไปตรวจสอบที่ดิน บันทึกสรุป ผลการตรวจสอบยาว ๓๐ หน้าเศษ ว่าที่ดินแปลงนั้น ไม่ได้บุกรุกเขตป่าสงวน อยู่ในที่ดิน ส.ป.ก. ไม่ได้อยู่ในเขตทหาร ไม่ได้ตั้งโรงเรียนเถื่อน และไม่ได้ตัดไม้ ทำลายป่า

การดำเนินการของมูลนิธิฯ เกี่ยวกับที่ดินส.ป.ก. ดำเนินการตามขั้นตอนเหมือนกันทั้งแปลง ในจังหวัด กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี ต่างกันตรงที่ ส.ป.ก.กาญจนบุรี พร้อมก่อน แจ้งให้มูลนิธิฯ เสนอเรื่องขอใช้ที่ดิน ส.ป.ก.เมื่อปีที่แล้ว ได้รับอนุมัติเรียบร้อยแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้เอง

การใช้ที่ดิน ส.ป.ก. แปลงที่อยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี เดิมมูลนิธิฯ เตรียมทำประโยชน์ดังนี้ คือ
๑.สร้างสถาบันฝึกอบรมผู้นำ
๒.ทำโครงการ "เกษตรอยู่รอด" สนับสนุนเกษตรกรให้เป็นตัวอย่างของเกษตรกรรายย่อย ที่สามารถ ช่วยตัวเอง ให้เอาตัวรอดได้ ด้วยการลดต้นทุนการผลิต (ไม่ใช้สารเคมีเลย) และเลิกอบายมุข ทุกชนิด

๓.ผลิตงาไร้สารพิษและเผยแพร่การรับประทานงาเพื่อสุขภาพ เนื่องจากมีผู้บริจาคที่ดิน ที่เหมาะสม ให้อยู่ในเขต ส.ป.ก. กาญจนบุรี มูลนิธิฯ จึงสร้างสถาบันฝึกอบรมที่นั่น ซึ่งใกล้กรุงเทพฯเข้าไปอีก ๙๐ กม. ที่ดินแปลง ส.ป.ก.สุพรรณบุรี จึงใช้ประโยชน์ในข้อ ๒ และ ๓ มูลนิธิฯ เตรียมจะใช้เป็นที่ขายส่ง ปุ๋ยอินทรีย์ราคาเท่าทุน ให้เกษตรกร (ปุ๋ยเคมีที่น้ำหนัก และคุณภาพเท่ากัน ท้องตลาดขายถุงละ ๔๕๐ บาท เราขายปุ๋ยอินทรีย์ ๑๙๐ บาท)

การใช้ที่ดินตามข้อ ๒ นั้น ปัจจุบันมีเกษตรกรครอบครัวตัวอย่าง ๕ ครอบครัว ใช้พื้นที่ ครอบครัวละ ๖ ไร่ (นอกนั้นมูลนิธิฯ ปลูกงา เต็มพื้นที่) ส่งผักและผลไม้ไร้สารพิษ ๑๐๐ % ไปขายที่กรุงเทพฯ ติดต่อ กันมากว่า ๑๐ ปี ครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นที่ประชุม สัมมนา เกษตรอินทรีย์ ๔ ชาติ (ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย)

การกล่าวหาเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ไม่เป็นความจริง ขอเตือนผ่านสื่อมวลชนว่า

"ผู้มีอำนาจอย่ารังแกชาวบ้าน และอย่าเลือกปฏิบัติ" มูลนิธิฯ ถูกรังแก มูลนิธิฯไม่เดือดร้อน เพราะไม่ได้หาเงิน จากการใช้ที่ดิน ส.ป.ก. แต่ถ้ารังแกชาวบ้าน เขาเดือดร้อนแน่ เพราะต้องใช้ที่ดิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ทุกวัน

"อย่าคิดว่ามีอำนาจแล้วจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ
เจ้าของอำนาจที่แท้จริงคือ ประชาชน ไม่ใช่นักการเมือง
นักการเมืองเป็นเพียงผู้รับใช้ที่ประชาชนจ้างเข้ามาใช้งาน เท่านั้นเอง"

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
ดอนเมือง
๒๒ ก.ย. ๔๗


สถาบันฝึกอบรมผู้นำ (อ.เมือง จ.กาญจนบุรี)
โดย มูลนิธิ พลตรีจำลอง ศรีเมือง
กำหนดวันอบรมประจำปี ๒๕๔๗-๒๕๔๘
รุ่นที่ ๓๘ ๒๓-๒๖ ก.ย. ๒๕๔๗
รุ่นที่ ๓๙ ๒๕-๒๘ พ.ย. ๒๕๔๗
รุ่นที่ ๔๐ ๑๓-๑๖ ม.ค. ๒๕๔๘
รุ่นที่ ๔๑ ๓-๖ มี.ค. ๒๕๔๘
รุ่นที่ ๔๒ ๒๘ เม.ย.-๑ พ.ค.๒๕๔๘
รุ่นที่ ๔๓ ๑๖-๑๙ มิ.ย. ๒๕๔๘
รุ่นที่ ๔๔ ๔-๗ ส.ค. ๒๕๔๘
รุ่นที่ ๔๕ ๑๕-๑๘ ก.ย. ๒๕๔๘
รุ่นที่ ๔๖ ๑๐-๑๓ พ.ย. ๒๕๔๘

ขอใบสมัครที่ สถาบันฝึกอบรมผู้นำ ๖๗๙/๔๔ ถ.อิสรภาพ แขวงวัดอรุณ
เขตบางกอกใหญ่ กทม. ๑๐๖๐๐
โทรศัพท์ ๐-๑๘๕๓-๕๐๐๐, ๐-๑๓๘๓-๒๕๒๘ โทรสาร ๐-๒๔๖๖-๖๒๒๙
ค่าอบรม ท่านละ ๒,๕๐๐ บาท