ชีวิตนี้มีปัญหา ๒ - สมณะโพธิรักษ์ -


 

ตรงนี้แหละที่เป็นบทสำคัญยิ่งของผู้ปฏิบัติที่ต้องศึกษา กล่าวคือ เมื่อมีกรอบของ"ศีล"ที่เรากำหนด สมาทาน ตามความพอเหมาะกับตนแล้ว เราก็ต้องปฏิบัติโดยสำรวมรักษาทั้งกายทั้งวาจา และต้องอ่านเข้าไปรักษา ทั้งใจด้วย ซึ่งต้องมี "สติ" นั่นเอง ที่เป็นขั้นแรกของ"โพชฌงค์"หรือ"สติปัฏฐาน ๔" แล้วก็ฝึก "สัมปชัญญะ" ให้อ่านเข้าไปใน "จิต" ของเรา วิจัยธรรมในกาย-ในอารมณ์-ในจิต (มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์) เลือกเฟ้นธรรม ให้รู้แจ้งเห็นจริง ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วปฏิบัติด้วย "ความรู้ ๓" (ปริญญา ๓) ที่เราต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า สิ่งที่เราจะต้องรู้นั้นคืออะไร เราก็ทำความรู้จักรู้แจ้งสิ่งนั้นให้ถูกตัวตน ของมัน (ญาตปริญญา) แล้วพิจารณา ด้วยการวิจัย จนรู้แจ้งตัดสินได้ว่าตัวกิเลสเป็นอย่างไร(ตีรณปริญญา) ขั้นสำคัญก็รู้ว่าได้กำจัดกิเลสนั้นๆ (ปหานปริญญา) ในตอนที่มี "กาย-เวทนา-จิต-ธรรม" เกิดจริงเป็นจริงอยู่ขณะนั้น ซึ่งเป็นการปฏิบัติกับสิ่งที่ กำลังเกิดขึ้นจริง -กำลังตั้งอยู่จริง-และเรากำลังพากเพียรกำจัดมันให้ดับจริง จนเป็น "นิโรธอาริยสัจ" ได้ผล (ปหานปธาน) ในขณะที่มีความจริงเป็นความจริงนั้นๆ อย่างรู้อยู่เห็นอยู่เป็นปัจจุบันหลัดๆ นั่นเทียว ฉะนี้แล คือ ปฏิบัติขั้น "สัมมาปฏิบัติ"

การปฏิบัติตามวิธีดังที่อธิบายมาคร่าวๆนี้ คือ การปฏิบัติ "สมาธิแบบพุทธ"ของพระพุทธเจ้าค้นพบ เรียกว่า "สัมมาสมาธิ"

แต่ทุกวันนี้ การปฏิบัติ"สมาธิ" ก็ไม่ได้ปฏิบัติกันอย่างที่กล่าวมานั้นเลย เพราะแยก"ศีล" ไปเป็นการปฏิบัติ ส่วนหนึ่ง ได้เจริญกายวาจา แต่ส่วน"ใจหรือจิต" จะเจริญได้ก็แยกไปปฏิบัติตามวิธีทำ "สมาธิ" แบบฤาษีดาบส ก็วิธีนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปในภวังค์นั่นแหละ มันก็ไปได้แค่"สมาธิ" แบบโลกีย์ ที่สอนกันมานาน ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด มีกันมาแต่ดั้งแต่เดิม จึงเท่ากับไม่ได้ฝึก "สัมมาสมาธิ" ตามคำสอน ของพระพุทธเจ้า จึงไม่สามารถเข้าถึง "ปรมัตถธรรม" อันเป็นอาริยะ เป็นโลกุตระ ตามที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน "มหาจัตตารีสกสูตร" (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๒-๒๘๑)

คนที่ปฏิบัติ"ศีล"เป็นสัมมาตามที่ได้กล่าวมาแล้ว

[มีต่อฉบับหน้า]

- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๗๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ -